[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 13:29:38 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: นรก ๑๐ ขุม โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) วัดพิชโสภาราม จ.อุบลราชธานี  (อ่าน 1493 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1117


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 103.0.5060.114 Chrome 103.0.5060.114


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2565 16:02:14 »



นรก ๑๐ ขุม
(22/07/2019)
โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) วัดพิชโสภาราม จ.อุบลราชธานี


           ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานแล้วพร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า ขอโอกาสคณะสงฆ์ ขอเจริญพรญาติโยมสาธุชนผู้ใคร่ในการประพฤติปฏิบัติธรรมทุกท่าน

            วันนี้ก็ถือว่าเป็นราตรีที่ ๕ คือเราขึ้นมานัตต์แล้ว ๒ วัน การประพฤติปฏิบัติธรรมของเราก็ไปได้ เรียกว่าได้ประพฤติปฏิบัติ ได้อธิษฐานได้สมาธิแล้ว แล้ววันนี้ก็ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ มีเด็กได้มาร่วมประพฤติปฏิบัติธรรมด้วย ซึ่งเด็กที่มานี้ก็ถือว่าเป็นอนาคตของชาติที่จะต้องฝากไว้กับพวกเขา ถ้าพวกเขาได้เป็นผู้ที่มีศีลาจารวัตร มีขนบธรรมเนียมประเพณี มีจิตใจที่ดีงาม ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ประเทศชาติของเรานั้นพัฒนาเจริญรุ่งเรือง ซึ่งเด็กที่เข้ามาประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เขาจะต้องทำความเข้าใจก็คือ เรื่องบุญกับบาป บุญกับบาปนี้เด็กได้ยินเป็นประจำ ก็ขอให้ลูกๆ ทั้งหลายได้เอาสติตั้งไว้ที่หู กำหนดว่า “ได้ยินหนอๆ” หรือกำหนดว่า “เสียงหนอๆ” เรื่อยไปจนกว่าจะพูดธรรมะเสร็จ จนกว่าบรรยายธรรมะเสร็จ

            คำว่าบุญกับบาปนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่เด็กๆ ชาวพุทธเราได้เข้าใจได้รู้กันอยู่เป็นประจำ หรือในคำว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” ได้ยินกันอยู่เป็นประจำ แต่ไม่เข้าใจว่าสวรรค์ที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร สวรรค์ตามคำของพระพุทธศาสนานั้น หรือว่านรกในความเป็นจริงมันเป็นอย่างไร นรกตามหลักของพระพุทธศาสนานั้นเป็นอย่างไรอันนี้ยังไม่ทำความเข้าใจชัดเจน

            เพราะฉะนั้นวันนี้จะได้เอาความหมายของคำว่านรกนั้นมาอธิบายให้ลูกๆ ทั้งหลายได้ฟังว่า นรกนั้นเป็นสภาพที่ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นเดือดร้อน กระวนกระวาย ทำไมนรกนั้นจึงเป็นสภาพที่เดือดร้อน ที่ว่าสวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจก็คือเราทำความเดือดร้อน เช่นเราไปด่าคนอื่น เราไปว่าบุคคลอื่น เราไปลักเล็กขโมยน้อย ก็เกิดความเดือดร้อนใจขึ้นมาทันที หรือว่าเราทำบาปทันทีเราก็ได้รับทันที หรือว่าเราไปกินเหล้าผิดศีลผิดธรรม เรากินในขณะนั้นเราก็เมาทันที นรกได้เกิดขึ้นมาในจิตในใจของเราขึ้นมาทันที เพราะฉะนั้นคำว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจจึงหมายถึงความหมายประเภทนี้

            แต่ที่อาจารย์ได้นำมากล่าวในวันนี้ไม่ใช่ว่าสวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ แต่นรกนี้ท่านกล่าวไว้ในพระมาลัยสูตร ซึ่งปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ท่านกล่าวไว้ว่า นรกนั้นเป็นสภาพที่ร้อน สภาพที่ต้องได้รับความเร่าร้อนอยู่เป็นประจำ คือนรกนั้นเป็นสภาพที่สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ตกลงไปแล้วต้องได้รับความเดือดร้อนตามบาปกรรมที่ตนทำ ถ้าตกนรกขุมใหญ่ก็เดือดร้อนมากถ้าตกนรกขุมเล็กก็เดือดร้อนตามสภาพกรรม บาปกรรมที่ตนเองได้ทำ

            นรกนั้นแปลว่าสภาพที่ทำจิตทำใจของสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นให้เหือดแห้งไปจากบุญจากกุศล สัตว์ทั้งหลายที่ตกในนรกนั้นจะไม่มีโอกาสที่จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจะได้รับแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนอยู่เป็นประจำ ความสุขในขณะที่หายใจเข้าก็ไม่มี ความสุขในขณะที่หายใจออกก็ไม่มี มีแต่ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นนรกนั้นก็ถือว่าเป็นสภาพที่ยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้เหือดแห้งไปจากความสุข ยังจิตใจของสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นเหือดแห้งไปจากบุญกุศล

            นรกนั้นท่านกล่าวไว้ว่ามีถึง ๔๕๖ ขุม ขุมใหญ่ๆ นั้นมีอยู่ ๘ ขุม คือ สัญชีวนรก กาฬสุตตนรก สังฆาตนรก โรรุวนรก มหาโรรุวนรก ตาปนนรก มหาตาปนนรก นรกชั้นสุดท้ายก็คืออเวจีมหานรก แต่ถ้ารวมโลกันตมหานรก ก็เป็น ๙ ขุมพอดี นรกใหญ่ตั้งแต่สัญชีวนรก จนถึงอเวจีมหานรกนี้จะมีนรกขุมเล็กขุมน้อยตั้งอยู่เรียงรายต่อมาทั้งนอกทั้งในเรียงกันแล้วก็จะได้ ๔๕๖ ขุม แล้วแต่บาปกรรมของแต่ละท่านที่จะไปตกนรกขุมนั้นๆ แต่อาจารย์จะนำมาอธิบายให้นักเรียนทั้งหลายได้ฟังคือ นรก ๑๐ ขุม ที่จะนำมาอธิบายนี้เป็นนรกขุมเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในนรกทั้ง ๘ ขุม

            นรกขุมที่ ๑ โลหกุมภีนรก คือนรกที่เต็มไปด้วยหม้อทองแดงใหญ่ มีความกว้างถึง ๓ หมื่นโยชน์ มีความลึกถึง ๓ หมื่นโยชน์ มีน้ำทองแดงเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา นายนิรยบาลทั้งหลายก็จับสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ไปตกนรกขุมนี้ทิ้งลงไปในหม้อทองแดง น้ำทองแดงมันก็เดือดเอาสัตว์ทั้งหลายจุ่มลงไปในหม้อ แล้วก็ผุดขึ้นมาเหมือนกับเราทิ้งเม็ดข้าวลงในหม้อเดือดแล้วก็วิ่งขึ้นไปวิ่งขึ้นมา หรือว่าจมลงไปถึงท้องหม้อ แล้วก็โผล่ขึ้นมาแล้วก็จมลงไป กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น

            บุคคลผู้ที่ตกนรกขุมนี้แล้วก็ต้องได้รับความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ต้องแช่อยู่ในน้ำร้อนน้ำทองแดงที่มันร้อน ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นบาปกรรมของตนเอง บุคคลที่ตกนรกขุมนี้ท่านกล่าวไว้ว่า เป็นบุคคลผู้ที่ชอบทุบตีสมณะ ชอบด่าพระ ด่าสงฆ์ ด่าชี ด่าเณร หรือว่าด่าลูก หรือว่าด่าพ่อด่าแม่ ด่าผู้ที่มีศีลมีธรรมตายไปแล้วจะไปตกนรกขุมนี้ ลูกหลานคนไหน พ่อแม่มีศีลมีธรรมเข้าวัดเข้าวาเป็นประจำ ลูกหลานก็ไปด่าพ่อด่าแม่ เถียงพ่อเถียงแม่ หรือว่าพระท่านมีศีลมีธรรมอยู่ดีๆ ก็มาด่าท่านว่าท่าน แม่ชีมีศีลอยู่ดีๆ ก็มาด่าท่านว่าท่าน ตายไปเราก็จะไปตกนรกขุมนี้

            หรือบุคคลผู้ที่ชอบทำ ทารกรรม คือชอบคบชู้สู่สมกับสามีบุคคลอื่นภรรยาบุคคลอื่น ตายไปก็ไปตกนรกขุมนี้เหมือนกันดังมีตัวอย่างที่ท่านกล่าวไว้ ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ มีบุตรชายเศรษฐี ๔ คน บุตรชายเศรษฐีคนนี้มีทรัพย์มาก มีทรัพย์คนละ ๔๐ โกฏิ รวมกันแล้วก็ประมาณ ๑๖๐ โกฏิ เมื่อมีทรัพย์สมบัติมากขนาดนี้ลูกชายทั้ง ๔ คน ก็เลยปรึกษากันว่าทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่ของเราหามาได้นี้มันมากมายเหลือเกิน เราจะกินไปจนถึงตายมันก็ไม่หมด เราจะทำอย่างไรหนอเราถึงจะมีความสุขในการใช้สอยทรัพย์ของเรา ถ้าเราตายไปแล้วเราคงจะไม่ได้ใช้สอยทรัพย์ ทรัพย์ก็จะตกเป็นของบุคคลอื่น อย่ากระนั้นเลยพวกเรามาคิดพิจารณาว่าเรานั้นจะทำอย่างไร เราจึงจะมีความสุขจากการมีทรัพย์

            ลูกชายเศรษฐีก็ตกลงกันประชุมกัน เมื่อประชุมกันแล้วก็พูดขึ้นมาว่า เราต้องไปหาเหล้าดีๆ มีสีแดงเหมือนกับเท้านกพิราบมา เหล้าดีๆ กินแล้วก็มีเนื้ออะไรมาย่างมันถึงจะอร่อย อีกคนหนึ่งก็เลยบอกว่า เราต้องมีข้าวที่ดีๆ เหมือนกัน ข้าวที่เขาเก็บไว้ ๒ ปีบ้าง ๓ ปีบ้าง มีกลิ่นหอมเอามาบริโภคแล้วก็มีเนื้อมีอาหารดีๆ มากินด้วย อีกคนหนึ่งก็บอกว่าเรานั้นนอกจากกินเหล้า กินกับแกล้มที่ดีๆ กินอาหารที่ดีๆ แล้วยังไม่พอ อีกคนหนึ่งก็กล่าวว่า เราต้องหานารี ถ้ามีเหล้าแล้วไม่มีนารีมันก็ไม่สมบูรณ์ เราก็เอาเงินของเราไปหาหญิงสาวก็ดี ภรรยาของบุคคลอื่นก็ดี ลูกสาวของบุคคลอื่นก็ดี เอาเงินไปล่อ เอาเงินไปจ้างเอาเพราะว่ามีเงินมาก เอามาบำรุงบำเรอพวกเราทั้งหลาย เราหาความสุขจากสิ่งเหล่านี้คงจะได้รับประโยชน์อย่างมาก หาความสุขจากการมีทรัพย์มากที่สุด ก็เลยตกลงกันตามนั้น

            ในที่สุดลูกชายของเศรษฐีก็เลยประพฤติตัวเป็นคนเหลวไหล กินเหล้าเมายาทุกวัน แล้วก็กินกับแกล้มตีกลองร้องเพลงเป็นประจำ มีสนมนารีมาบำรุงบำเรอ ไม่สนใจในการบำเพ็ญการให้ทาน รักษาศีล ไหว้พระ ทำวัตร สวดมนต์จนลูกชายของเศรษฐีนั้นตายไป เมื่อตายไปแล้วก็ไปเกิดในนรกชื่อว่า โลหกุมภีนรกถูกยมบาลนั้นทิ้งลงไปในโลหกุมภีนรก ขณะที่น้ำทองแดงร้อนๆ นั้นร้อนตั้งแต่ปากหม้อจนไปถึงก้นหม้อ ลึกถึง ๓๐,๐๐๐ โยชน์ ต้องใช้เวลาถึง ๓๐,๐๐๐ ปีมนุษย์ ต้องจมตั้งแต่ปากหม้อไปถึงก้นหม้อ กว่าที่จะลอยตุ๊บป่องขึ้นมาปากหม้อต้องใช้เวลาถึงอีก ๓๐,๐๐๐ ปี ได้รับความทุกข์ทรมานมาก ลูกชายของเศรษฐีทั้ง ๔ คนที่ไปตกนรกขุมนั้นก็จมลงไปสิ้น ๓๐,๐๐๐ ปี ในสมัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะก็ลอยขึ้นมาอีกถึงปากหม้อ ๓๐,๐๐๐ปี ในขณะที่ลอยถึงปากหม้อนั้นแหละ เปรตทั้ง ๔ ตนก็ขึ้นมาพร้อมหน้ากัน จะกล่าวกันจะทักกันมันก็ทักไม่ได้ เปรตตัวแรกก็ว่า “ทุ” เปรตตัวที่ ๒ ก็ว่า “สะ” เปรตตัวที่ ๓ ก็ว่า “นะ” เปรตตัวที่ ๔ ก็ว่า “โส” คือไม่สามารถที่จะพูดเต็มประโยคได้ พอโผล่ขึ้นมาแล้วก็ดำผุดลงไปอีกด้วยแรงแห่งบาปกรรมได้รับความทุกข์ทรมาน

            เปรตตัวแรกที่กล่าวว่า “ทุ” นั้นหมายถึง ทุชชีวิตัง เปรตตัวนั้นหมายถึง ชีวิตของข้าพเจ้าเกิดมานั้นเป็นคนประมาท เป็นคนประพฤติชั่ว กินแต่เหล้าเมาแต่ยา ไปประพฤติผิดศีลผิดธรรม ไม่เคยให้ทาน ไหว้พระ รักษาศีล เจริญภาวนา เปรตตัวนี้มันจะกล่าวว่า “ทุชชีวิตัง” แต่กล่าวไม่ได้กล่าวได้แต่ “ทุ” ชีวิตของข้าพเจ้านั้นเป็นชีวิตที่ทุศีล ไม่บำเพ็ญศีล ไม่บำเพ็ญทาน ไม่บำเพ็ญภาวนาประกอบแต่สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์

            เปรตตัวที่ ๒ กล่าวว่า “สะ” หมายความว่า สฏฺฐีวสฺสสหสฺสานิ แปลว่า พันแห่งปีหกสิบ ก็หมายถึงว่า ๖๐,๐๐๐ ปี ในที่นี้หมายความว่า ข้าพเจ้าจมอยู่ในหม้อนั้นตั้งแต่ปากหม้อจนถึงก้นหม้อ จากก้นหม้อจะมาถึงปากหม้อนั้นใช้เวลาถึง ๖๐,๐๐๐ ปี ได้รับความทุกข์ทรมานเหลือเกิน อยากจะกล่าวอย่างนี้แต่กล่าวไม่ได้ กล่าวเพียงแต่ว่า “สะ” ไม่ได้ออกหมดว่า สฏฺฐีวสฺสสหสฺสานิ ได้

            เปรตตัวที่ ๓ ที่ว่า “นะ” นะ ในที่นี้หมายความว่า นตฺถิ อนฺโต กุโต อนฺโต กล่าวไม่หมด นตฺถิ แปลว่า ไม่มี อันโต แปลว่า ที่สุด ที่สุดแห่งทุกข์ของข้าพเจ้านั้นไม่มี มันทุกข์เหลือเกิน ทุกข์มากเพราะถูกน้ำทองแดงนั้นมันลวก กุโตอันโต ที่สุดแห่งความทุกข์ของข้าพเจ้าจะมีแต่ที่ไหน คือไม่รู้จักวันว่าจะพ้นไปจากหม้อทองแดงนั้นได้รับความทุกข์ทรมาน

            เปรตตัวที่ ๔ กล่าวขึ้นว่า “โส” โสในที่นี้หมายความว่า โสหํ นูน อิโต คนฺตวา  โสหังแปลว่าข้าพเจ้านั้น คันตะวา ครั้นไปแล้ว อิโต จากที่นี้ นูน แน่ แปลว่า ข้าพเจ้าไปจากที่นี้แน่แล้วนั้นข้าพเจ้าจะบำเพ็ญแต่คุณงามความดี จะให้ทาน ไหว้พระ รักษาศีล เจริญภาวนา ข้าพเจ้าจะไม่ประมาทอีกแล้ว อยากจะกล่าวอย่างนี้แต่มันกล่าวไม่ได้ ก็ได้แต่กล่าวว่า “ทุ สะ นะ โส”

            บุคคลผู้ที่ทำความประมาทในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ๖๐,๐๐๐ ปี ลงไป ๓๐,๐๐๐ ปี ลอยขึ้นมาอีก ๓๐,๐๐๐ ปี มาพูด ทุ สะ นะ โส ในสมัยนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลกำลังบรรทมอยู่ดีๆ ได้ยินคำว่า “ทุ สะ นะ โส” ก็ตกพระทัยขึ้นมาสะดุ้งขึ้นมา กลัวว่าตนเองนั้นจะได้รับอันตรายจากเสียงอันพิลึกสะพรึงกลัวนั้น ก็เลยเข้าไปกราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้านอนหลับไปเมื่อคืนนี้ ได้ยินเสียงแสนพิสดารว่า “ทุ สะ นะ โส” ดังขึ้นมามันจะเป็นเสียงอะไรหนอ มันจะมายึดเอาพระราชสมบัติ หรือว่าจะเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองขอให้พระองค์ช่วยพยากรณ์ คลายความสงสัยให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าก็เลยตรัสว่า ไม่ใช่เสียงอะไรหรอก แต่เป็นเสียงของเปรตที่เป็นลูกชายของเศรษฐีครั้งแต่ก่อน แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสเรื่องทั้งหมดให้พระเจ้าปเสนทิโกศลฟัง พระเจ้าปเสนทิโกศลฟังแล้วก็เกิดความสลดสังเวช ตั้งจิตตั้งใจที่จะบำเพ็ญคุณงามความดี ตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในการบำเพ็ญทานจนเป็นผู้ที่ค้ำจุนพระพุทธศาสนาอีกคนหนึ่ง อันนี้เป็นอุทาหรณ์ของนรกชื่อโลหกุมภี

            นรกขุมที่ ๒ เรียกว่า สิมพลีนรก สิมพลีนั้นแปลว่าต้นงิ้วนรก แปลว่า นรกที่มีต้นงิ้วมากมายเต็มไปหมด ต้นงิ้วนั้นเป็นต้นไม้ที่สูงมาก มีสัตว์นรกที่ไปตกในนรกชื่อว่าสิมพลีนรกนั้นก็จะถูกนายนิรยบาลเอาหอกบ้าง เอาแหลมบ้าง เอาหลาวบ้าง เอาดาบบ้างไล่ฟัน เมื่อไล่ฟันแล้วก็วิ่งขึ้นต้นงิ้วหนามที่สูงเป็นโยชน์ โยชน์หนึ่งก็ ๑๖ กิโล ต้นงิ้วนั้นสูงเป็นโยชน์ พอวิ่งขึ้นต้นงิ้วแล้วหนามงิ้วมันจะงอลงมา หนามงิ้วนั้นมันมีความยาวถึง ๑๖ นิ้ว งอลงมาเกาะ มาแทงสัตว์ทั้งหลายที่วิ่งขึ้นไปนั้นแหละ ขณะที่วิ่งขึ้นไปแล้วถ้าหยุดอยู่ยมบาลก็เอาหอกยิงบ้าง เอาธนูยิงบ้าง จำเป็นต้องตะเกียกตะกายขึ้นไป พอขึ้นไปถึงสูงสุดแล้วก็มีแร้งสบเหล็ก (แร้งที่มีจะงอยปากเป็นเหล็ก) ที่มีตัวเท่ากับช้างสารบินมาแล้วก็สับหัวของสัตว์นรกเหล่านั้น สัตว์นรกเหล่านั้นทนไม่ได้ก็ต้องตะเกียกตะกายลงมา

            ขณะที่ตะเกียกตะกายลงมางิ้วหนามมันก็งอขึ้นไปแทงเอาสัตว์นรกเหล่านั้นได้รับความทุกข์ทรมาน นายยมบาลก็เอาธนูยิงใส่บ้าง บ้างก็เอาแหลม เอาหลาวซัดขึ้นไปใส่บ้างได้รับความทุกข์ทรมาน บางครั้งก็ทนไม่ไหวก็ตกลงมา เมื่อตกลงมาก็มีหมาใหญ่ หมาใหญ่นั้นตัวเท่ากับช้างสาร มีฟันเป็นเพลิง มีฟันคมเหมือนกับมีดโกนวิ่งมาแล้วก็กัดกิน ทนไม่ได้บางคนก็วิ่งหนีขึ้นไปบนต้นงิ้ว บางคนก็วิ่งทัน บางคนก็วิ่งขึ้นไม่ทัน ถ้าสัตว์นรกบางตัววิ่งไม่ทันก็ถูกหมานั้นมันกัดขาขาดบ้าง เนื้อสะโพกหลุดไปบ้างรับความทุกข์ทรมาน

            บุคคลผู้ตกนรกขุมนี้ ท่านกล่าวไว้ว่าเป็นบุคคลผู้ทำทารกกรรม คือไปทำชู้กับภรรยาบุคคลอื่น ไปทำชู้กับสามีบุคคลอื่น นอกใจสามีตนเองแล้วก็ไปทำชู้กับสามีบุคคลอื่น นอกใจภรรยาตนเองแล้วก็ไปทำชู้กับภรรยาบุคคลอื่น เมื่อตายไปแล้วก็จะไปตกในนรกขุมนี้ บางครั้งนายนิรยบาลก็จะเอาไปผูกไว้กับกิ่งของต้นงิ้วแล้วห้อยหัวลงมา ขณะที่ชายชู้ห้อยหัวลงมานี้นายนิรยบาลก็เอาหอกแทง ยิงธนูใส่บ้าง ได้รับความทุกข์ทรมานจนกว่าจะสิ้นบาปกรรมของตนเอง ถ้าไม่สิ้นบาปกรรมก็ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ กี่หมื่นปี กี่แสนปี กี่ล้านปี จนกว่าจะสิ้นบาปกรรมของตนเอง

            บุคคลผู้ที่ทำบาปกรรมในเรื่องนี้ ท่านกล่าวไว้ว่า มีหญิงคนหนึ่ง ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ หญิงคนนั้นได้สามีดี สามีของเธอนั้นเป็นผู้รักษาศีล ไหว้พระ ทำวัตร สวดมนต์ ถวายทานกับพระสงค์องเจ้าเป็นประจำ บางครั้งก็ไปรักษาศีลอุโบสถ นางคนนี้ที่ได้สามีดีก็ไปตามสามี สามีพาไปรักษาศีลอุโบสถก็ไป สามีพาไปให้ทานก็เอา ตามสามีไม่กล้าขัดสามี แต่ใจของนางนั้นไม่ยินดี ทำเพราะว่าสามีชอบเท่านั้นเอง วันหนึ่งสามีไม่อยู่ นางก็อดใจไม่ไหวก็ทำชู้สู่สมเป็นชู้กับสามีของบุคคลอื่น เมื่อทำชู้นั้นสามีก็จับได้ แต่จับไม่ได้คาหนังคาเขา คนนั้นก็ว่าภรรยาของท่านมีชู้นะ คนนั้นก็ว่าคนนี้ก็ว่า คอยดูแล้วคอยดูอีก สังเกตดูแล้วสังเกตดูอีกก็ไม่เห็น ก็เลยตกลงว่าเรียกภรรยามาถามดีกว่า ภรรยาก็ว่าไม่เคยนอกใจสักทีถ้าไม่เชื่อขอสาบานก็ได้ ถ้าข้าพเจ้าได้ทำจริงๆ ข้าพเจ้าได้เกิดภพใดภพหนึ่งขอให้ถูกสุนัขนั้นกัดกินอยู่เป็นประจำทุกภพทุกชาติ กล่าวคำสาบานต่อสามี

            พอนางนั้น กาลัง กัตวา ครั้นกระทำกาละไปแล้วคือตายไปแล้วก็ไปตกนรกโอบต้นงิ้วหนามอย่างนี้แหละ เมื่อสิ้นบาปกรรมแล้วก็มาเกิดเป็นเปรต เป็นนางเวมานิกเปรต กลางวันนั้นเสวยความสุขคือการรักษาศีลอุโบสถด้วยใจที่ไม่ยินดีนั้นแหละ ตอนกลางวันก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เป็นเทพธิดามีนางสนมกำนัลแวดล้อม มีอาหารอันเป็นทิพย์ เครื่องทรงอันเป็นทิพย์อยู่ในวิมาน นางก็เสวยความสุขอยู่ในวิทานนั้น แต่พอตอนกลางคืนที่นางสาบานว่าไม่เคยทำชู้สู่สมกับสามีนั้นแหละ บาปกรรมนั้นก็ตามมาไม่นานนั้นนางก็กลายเป็นร่างเปรต หมามันมาแล้วมายื้อแย่งกัดกินเนื้อของนาง นางก็ทนทุกข์ทรมานโอดโอยจนตายไป ตายไปแล้วก็ฟื้นขึ้นมาหมาก็กัดกินอีก ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาหมาก็กัดกินอีกทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น จนพระเจ้าพาราณสีพระองค์หนึ่งเสด็จไปล่าเนื้อ แล้วก็ไปเห็นนางเวมานิกเปรต ก็เลยเกิดความชอบใจกับนางเวมานิกเปรตก็ไปเสวยกามคุณกับนางเวมานิกเปรตตอนกลางวัน แต่สังเกตว่านางคนนี้ตอนกลางวันก็อยู่กับเรา ตอนกลางคืนไปไหนหนอ ก็พิจารณาไปพิจารณามาไม่เห็นอยู่สักคืนก็เลยเสด็จตามออกมา

            เมื่อเสด็จตามออกมาแล้วก็เห็นหมา มากัดกินเนื้อแข้งบ้างมากัดกินตามเนื้อตามตัวตามแข้งตามขาบ้างนางก็ร้องครวญครางอยู่ พระเจ้าพาราณสีก็ยื้อดาบแล้วก็ไปตัดหมาฟันหมา ฟันครั้งหนึ่งหมาก็ตัดขาดออกเป็น ๒ ตัว ฟันครั้งที่ ๒ ก็แยกออกเป็น ๔ ตัว ฟันครั้งที่ ๓ หมาตัวนั้นก็แยกออกเป็น ๘ ตัว ฟันยังไงหมาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก นางก็เลยบอกว่าถ้าท่านอยากจะให้บาปกรรมเหล่านี้มันหายไป พระองค์ก็ทรงถ่มน้ำลายแล้วก็เอาเท้าขยี้หมาพวกนี้มันจะหายไป ถือว่าเป็นการแก้เคล็ดบาปกรรม พระองค์ก็ทรงทำอย่างนั้นหมาทั้งหมดก็หายไป นางเวมานิกเปรตก็หมดจากกรรมตั้งแต่วันนั้นมา พระเจ้าพาราณสีก็ไม่พอใจในนางแล้วก็กลับไปครองเมืองเหมือนเดิม

            เรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์ว่าบุคคลผู้ที่ทำบาป ทำชู้สู่สมกับบุคคลอื่นก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ต้องโอบต้นงิ้วหนาม ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เหลือที่จะหลีกเร้นได้ เพราะว่าบาปกรรมนี้เป็นบาปกรรมที่ทำร้ายจิตใจของบุคคลอื่นให้ได้รับความทุกข์ทรมาน เพราะว่าบุคคลใดมีเมียแล้วเมียไปมีชู้ คล้ายๆ กับว่าตกนรกทั้งเป็น ถ้ารู้แล้วก็เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น ไม่สามารถที่จะทำใจยอมรับได้ ถ้าบุคคลใดมีสามีแล้วสามีไปมีชู้ก็เหมือนกับว่า เราตกนรกทั้งเป็นไม่สามารถที่จะมีความสุขเรียกว่าทำร้ายจิตใจของบุคคลอื่น ทำให้จิตใจของบุคคลอื่นนั้นตกนรกทั้งเป็นก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้รับความทุกข์ ได้รับความเดือดร้อนก็เลยไปตกนรกขุมนี้

            นรกขุมที่ ๓ ท่านกล่าวไว้ว่า อโยทกนรก เป็นนรกที่เต็มไปด้วยน้ำร้อน เต็มไปด้วยน้ำเดือดพล่าน แต่เป็นน้ำเหล็ก อโย มาจากคำว่า อยะ แปลว่าเหล็ก บวกกับอุทก แปลว่าน้ำ แปลว่าน้ำเหล็ก จึงแปลว่า นรกที่มีน้ำเหล็กนั้นเดือดพล่านอยู่เป็นประจำ สัตว์นรกที่ตกลงไปนี้ก็จะถูกจมลงไปในน้ำนรกนั้น พอจมลงในน้ำนรกนั้นนายนิรยบาลก็เอาตะขอเหล็กนั้นเกี่ยวปาก เกี่ยวปากแล้วก็ลากสัตว์นรกนั้นลากไปลากมาในน้ำร้อนๆ จนกว่าจะตายไป ฟื้นขึ้นมาก็ลากไปลากมาอยู่นั้นแหละ ทนทุกข์ทรมานไม่รู้กี่กัป กี่กัลป์ กี่แสนปี กี่ล้านปี จนกว่าจะสิ้นบาปกรรม บุคคลผู้ทำบาปแล้วไปตกนรกขุมนี้ก็คือ พวกที่ชอบจับสัตว์เป็นๆ ลงไปในน้ำเดือดๆ เช่นเราต้มน้ำเดือดๆ แล้วก็เอาปลาทิ้งลงไป ปิดฝาหม้อเอาไว้ หรือว่าต้มน้ำเดือดๆ แล้วก็ทิ้งปลาไหลลงไป หรือว่าทิ้งกบลงไปแล้วก็ปิดไว้ หรือว่าต้มน้ำร้อนๆ ลงไปแล้วก็ทิ้งกุ้งบ้าง ปลาซิวบ้างลงไปแล้วก็ปิดหม้อไว้ เราฆ่าสัตว์ที่เป็นๆ อยู่นี่ตายไปแล้วเราก็จะไปตกนรกขุมนี้ หรือว่าพวกที่ชอบใส่เบ็ด ตกปลา ก็จะถูกนายนิรยบาลเอาตะขอ เกาะปากแล้วก็จมอยู่ในหม้อทองแดงแล้วก็ดึงไปดึงมา ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจนกว่าจะสิ้นบาปกรรม อันนี้เรียกว่า อโยทกนรก

            นรกขุมที่ ๔ ก็คือ ธุสนรก ธุสนรกนั้นเป็นนรกที่มีน้ำใสสะอาด แต่สัตว์นรกที่ไปเกิดนั้นเป็นผู้ที่หิวน้ำมาก เมื่อหิวน้ำเห็นน้ำใสสะอาดแล้วก็วิ่งกันไปกินน้ำ ขณะที่กินน้ำอยู่น้ำนั้นก็กลายเป็นแกลบ เป็นแกลบเพลิงลุกไหม้ท้องของคนนั้นได้รับความทุกข์ทรมานตายแล้วก็ฟื้นขึ้นมาอีกหิวน้ำอีกก็กินน้ำอีก น้ำกลายเป็นแกลบเพลิงอีก ได้รับความทุกข์ทรมานอีกอยู่อย่างนี้ร่ำไป จนกว่าจะสิ้นบาปกรรมได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส บาปกรรมที่ทำให้ตายไปแล้วไปตกในนรกขุมนี้นั้น ท่านกล่าวว่าเวลาไปขายข้าวก็ดี เอาแกลบเอาข้าวลีบไปผสมกับข้าวที่มันเม็ดดีแล้วก็ไปขายให้บุคคลอื่นเขาเรียกว่าโกง โกงข้าวเขา โกงการขาย บางคนก็ไปขายผัก ขายผักกาดก็ดี ขายมะเขือก็ดี ขายพริกก็ดี เวลาไปขายก็เทน้ำใส่ให้มันเปียกๆ แล้วก็ไปโกงเขา บางคนเอารถไปขายข้าวบรรทุกข้าวไปแล้วก็ไปชั่งเอาข้าวแล้วไปเทน้ำใส่ในข้าว โกงการค้าการขายเขาเรียกว่า อยากเงินมากๆ เมื่อตายไปแล้วก็จะไปตกนรกชื่อว่า ธุสนรก อดอยาก หิวน้ำแล้วก็วิ่งไปกินน้ำ น้ำก็กลายเป็นเพลิงแกลบไหม้ไส้ไหม้ท้องรับความทุกข์ทรมานจนกว่าจะสิ้นบาปกรรมของตนเอง

            นรกขุมที่ ๕ ท่านเรียกว่า สุนขนรก เป็นนรกที่เต็มไปด้วยหมาที่ตัวใหญ่เท่ากับช้างสาร มีฟันเป็นเพลิงแล้วก็มีฟันคมเหมือนกับมีดโกน ในนรกนั้นมีหมาตัวเท่านี้แหละเต็มไปหมด สัตว์นรกที่ตกลงไปแล้วก็จะถูกหมาไล่กัด วิ่งหนีขึ้นไปบนภูเขาแล้วหมาก็ไล่กัดกินอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาได้รับความทุกข์ทรมาน บางครั้งหมากัดกินก็ยังไม่หมด มีแร้งบ้าง มีนกตะกรุมบ้าง มาเจาะ มากิน มาจิกเอาได้รับความทุกข์ทรมานจนกว่าจะสิ้นบาปกรรมของตนเอง บุคคลที่จะไปตกนรกขุมนี้ท่านกล่าวไว้ว่า คือบุคคลที่ชอบตระหนี่ ไม่ให้ทาน เห็นบุคคลอื่นให้ทานก็ไม่พอใจห้ามคนอื่นไม่ให้ให้ทาน ว่าอย่าไปทำทานเลยไม่ได้บุญได้กุศลหรอกเรามีเงินมีทองเราเก็บไว้ใช้ เก็บไว้ซื้อกินไม่ดีเหรอ เอาแกงไปมันก็หมด เอาปิ้งปลาไปปิ้งปลามันก็หมด เอาอะไรไปก็หมดพระฉันหมด แม่ชีฉันหมด ไม่เหลือเห็นไหมไม่เหลืออะไรเป็นบุญ อะไรเป็นตัวบุญ ก็ห้ามไม่ให้คนอื่นให้ทาน ตนเองเป็นคนตระหนี่แล้วยังไม่พอ ยังห้ามไม่ให้บุคคลอื่นให้ทานเป็นผู้ที่บาปมาก เพราะการห้ามบุคคลอื่นไม่ให้ทานถือว่าเป็นการทำลายประโยชน์ของบุคคลอื่น คือทำลายประโยชน์ของผู้รับแล้วก็ทำลายประโยชน์ของผู้ให้ และทำลายประโยชน์ของตนเองด้วย เรียกว่าทำลายประโยชน์ทั้ง ๓ ฝ่าย จึงเป็นบาปมาก เมื่อตายไปแล้วเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ไปตกในนรกชื่อว่า สุนขนรก ถูกสุนัขนั้นมันรุมกัดกินอยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะสิ้นบาปกรรมของตนเอง อันนี้เป็นบาปของบุคคลผู้ชอบตระหนี่ หรือป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมาทำทาน เวลาจัดปริวาสกรรมมีผู้ใหญ่บ้านมาประชุมประชาสัมพันธ์แล้วก็บอกให้ญาติโยมมาทำบุญทำทาน แต่บุคคลนั้นก็พูดบ่ายเบี่ยงว่าวันนี้ไม่ต้องไปหรอก ไปพรุ่งนี้ดีกว่า พอพรุ่งนี้ก็ว่ามะรืนนี้ผลัดกันไป ห้ามบุคคลอื่นไม่ให้มาทำบุญทำทาน ตายไปแล้วก็จะได้ตกนรกขุมนี้

            นรกขุมที่ ๖ ท่านกล่าวว่า ปิสสกปัพพตนรก คือนรกที่มีภูเขาเพลิงผุดขึ้นทั้ง ๔ ด้าน สัตว์นรกที่ตกลงไปในภูเขาทั้ง ๔ ด้านนั้น ภูเขาเมื่อผุดขึ้นมาแล้วก็จะกลิ้งมาบดสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นจุนให้ตายไป เมื่อตายไปแล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ก็ถูกบดอีก อยู่ในลักษณะอย่างนี้จนกว่าจะพ้นบาปกรรมของตนเอง บุคคลที่ตายไปแล้วไปตกนรกขุมนี้คือ บุคคลที่ชอบฆ่าสัตว์ ฆ่าด้วยการบด ฆ่าด้วยการโขลก ใช้ครกโขลกบ้าง อะไรบดบ้าง เหมือนกับเราตำส้มตำ ตำถั่วก็ดี นี้เราเอาพวกมดแดงมาใส่ ใส่แล้วก็ตำเข้าไปในลักษณะอย่างนี้ก็เหมือนกับเราฆ่าสัตว์ด้วยการโขลก การตำ ตายไปแล้วก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ไปตกนรกขุมนี้ เรียกว่า ปิสสกปัพพตนรก ถูกภูเขาที่ผุดขึ้นทั้ง ๔ ด้านนั้นกลิ้งเข้ามาบด ได้รับความทุกข์ทรมานตายแล้วก็เกิดขึ้นมาถูกบดอีกตายอีกแล้วก็เกิดขึ้นมาแล้วก็ตายอีก ในลักษณะอย่างนี้จนกว่าเราจะสิ้นบาปกรรม

            นรกขุมที่ ๗ ก็คือ ตัมโพทนรก ตัมพะ ก็คือ ถ้วยตวง อุทก ก็คือ น้ำ คือนรกที่เต็มไปด้วยถ้วยตวงน้ำ ถ้วยตวงน้ำในที่นี้หมายถึงถ้วยตวงน้ำทองแดง นรกนี้จะเต็มไปด้วยน้ำทองแดงอันเดือดพล่าน แล้วก็มีถ้วยตวงคือ ตัมพ นี้ คือถ้วยตวงน้ำทองแดง สัตว์นรกที่ตายไปแล้วก็จะตกลงในนรกนั้น เมื่อตกในนรกนั้นนายนิรยบาลก็จะเอาคีมคาบปาก งัดปากออกแล้วก็เอาหม้อตวงน้ำทองแดงแล้วก็เทลงไปในปาก ทำให้สัตว์นรกนั้นได้รับความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก สัตว์ที่ถูกนายนิรยบาลทำน้ำทองแดงกรอกปากนี้ก็ตายไป ตายไปแล้วก็ฟื้นขึ้นมา แล้วก็จับเอาคีมงัดปากแล้วก็เอาหม้อน้ำทองแดงแล้วก็กรอกเข้าไปในปากอีกได้รับความทุกข์ทรมานตายแล้วก็ฟื้นขึ้นมาอีก เป็นในลักษณะอย่างนี้หลายแสนปี หลายล้านปี หลายกัป หลายกัลป์จนกว่าจะสิ้นบาปกรรมของตนเองที่ทำมา บุคคลผู้ที่ตกนรกขุมนี้ก็เพราะว่า บุคคลผู้ที่ชอบหลอกลวงบุคคลอื่น เรียกว่าชอบพูดเท็จ ชอบหลอกลวงบุคคลอื่นให้บุคคลอื่นนั้นได้หลงกลของตนเองทำให้บุคคลอื่นนั้นต้องเสียทรัพย์ ทำให้บุคคลอื่นนั้นต้องเดือดร้อน เป็นคนชอบพูดปด พูดส่อเสียด ทำให้บุคคลอื่นแตกร้าวสามัคคีกัน ทำให้บุคคลอื่นเสียประโยชน์ ตายไปแล้วจะไปเกิดในนรกขุมนี้ ได้รับความทุกข์ทรมานด้วยการกรอกน้ำทองแดงเข้าไปในปาก

            เรื่องนี้มีอุทาหรณ์ที่ท่านกล่าวไว้ในเรื่องของสุกรเปรต ในสมัยหนึ่ง มีภิกษุ ๒ รูปอาศัยอยู่ในอารามวัดแห่งหนึ่ง สนิทสนมกัน ภิกษุรูปหนึ่งมีพรรษา ๖๐ ภิกษุอีกรูปหนึ่งมีพรรษา ๕๙ ภิกษุสองรูปนี้รักใคร่กันมาก ภิกษุผู้ที่มีพรรษา ๕๙ นี้ก็ถวายอุปถัมภ์อุปฐากภิกษุผู้ที่มีพรรษา ๖๐ นี้ เหมือนกับสามเณรน้อย ถวายความอุปถัมภ์อุปฐากครูบาอาจารย์ ถวายความอุปถัมภ์อุปฐากด้วยความรักใคร่ สนิทสนมกัน ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกัน ญาติโยมก็เคารพศรัทธา พอดีมีพระอาคันตุกะมาเห็นภิกษุ ๒ รูปอยู่ด้วยกันแล้วก็เกิดความรักใคร่สนิทสนมกัน ญาติโยมก็ศรัทธามากมาย มีอาหารการอยู่การกินมากมาย แล้ววัดวาอารามก็รื่นรมย์ดีก็เลยอยากจะเอาวัดนี้เป็นของตัวเอง ก็เลยไปพูดกับพระเถระว่า ภิกษุผู้เป็นอนุเถระว่าให้ท่านว่าเป็น อลัชชี ไม่มีศีลเป็นที่รัก แล้วก็มาพูดกับภิกษุผู้เป็นอนุเถระว่าพระที่เป็นเถระนั้นเป็นคนไม่ดี ชอบพูดส่อเสียด เป็นผู้ไม่มีศีล อย่าไปคบกับบุคคลเช่นนั้นเลย

            พระเถระก็เลยเกิดความเข้าใจผิดกันก็เลยเกิดความทะเลาะกัน ไปบิณฑบาตก็ไม่ไปด้วยกัน ต่างคนต่างไป แต่ก่อนเคยไปด้วยกัน แต่พอเกิดการทะเลาะกันแล้วก็ต่างคนต่างไป ในที่สุดพระเถระทั้งสองก็แตกแยกกันไป เมื่อแตกแยกกันไปจนอายุได้ ๑๐๐ ปี เมื่ออายุได้ ๑๐๐ ปีแล้วภิกษุทั้ง ๒ นั้นก็มาพบกันอยู่ในอารามแห่งหนึ่งอาวาสแห่งหนึ่งแล้วก็เจอกันเห็นกันแล้วก็ถามข่าวคราวว่าไปไหนมา เป็นอย่างไรมีสุขมีทุกข์อย่างไร ก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ก็รู้ว่าภิกษุที่เป็นอาคันตุกะนั้นต้องการที่จะแย่งเอาวัดของตัวเองก็เลยกลับมา พากันขับไล่ภิกษุที่เป็นอาคันตุกะนั้นออกไป เมื่อภิกษุที่เป็นอาคันตุกะนั้นตายไปแล้วก็ไปตกนรก ในอเวจีมหานรก แล้วเหลือเศษกรรมก็มาตกนรกในนรกชื่อว่า ตัมโพทกนรกนี้อีกได้รับความทุกข์ทรมาน เมื่อพ้นจากนรกนี้แล้วก็กลายไปเป็นเปรตหัวเป็นหมูตัวเป็นคน แล้วก็มีหางงอกอกมาในปาก หางที่งอกออกมาในปากนั้นก็เป็นหางที่เน่าเปื่อย แล้วก็มีหนอนเจาะชอนไชยั้วเยี้ยแล้วก็มีกลิ่นส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่วทุกสารทิศ บุคคลผู้ที่เข้าไปใกล้ก็เข้าไปไม่ได้

  

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 กรกฎาคม 2565 16:05:05 โดย Maintenence » บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1117


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 103.0.5060.114 Chrome 103.0.5060.114


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2565 16:04:06 »


นรก ๑๐ ขุม

            ในขณะนั้นพระโมคคัลลานะกำลังลงมาบิณฑบาต แล้วก็เห็นแล้วแย้มมุมปาก เห็นด้วยทิพพจักขุญาณของท่านแล้วก็เข้าไปกราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงตรัสว่า ภิกษุนี้เป็นคนชอบพูดส่อเสียด พูดหลอกลวง ไม่พูดคำจริง เป็นคนพูดเท็จ ตายไปแล้วก็เลยไปตกนรกตามที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้นบุคคลชอบพูดส่อเสียดก็ดี พูดโกหกก็ดีตายไปแล้วก็จะไปตกนรกขุมนี้ พ้นจากนรกเศษกรรมก็จะนำมาเกิดเป็นเปรต มีหัวเป็นหมูมีหางงอกออกมาในปาก มีหางที่เน่าเหม็นมีหนอนชอนไช ได้รับความทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น อันนี้เป็นบาปกรรมของบุคคลผู้ที่ชอบโกหก ชอบส่อเสียด

            นรกขุมที่ ๗ ก็คือ อโยคุฬนรก นั้นก็หมายถึงว่า นรกที่มีก้อนเหล็กแดงเต็มไปหมด หมายความว่าเมื่อสัตว์นรกที่ตายไปแล้วไปเกิดในนรกขุมนี้แล้ว นายนิรยบาลก็จะเอาคีมงัดปากของสัตว์นรกเหล่านั้นแล้วก็เอาก้อนเหล็กแดงนั้นยัดลงไปในปากให้ได้รับความทุกข์ทรมานแล้วก็ตายไป ตายไปแล้วก็เกิดขึ้นมาอีก เกิดขึ้นมาแล้วก็จับปากอีกยัดเหล็กแดงลงไปอีก ได้รับความทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้จนสิ้นบาปกรรม ไม่รู้ว่ากี่กัป กี่กัลป์ แล้วแต่บุญบาปของบุคคลนั้นจะทำไว้มากน้อยขนาดไหน บาปกรรมที่ทำให้มนุษย์ไปตกนรกขุมนี้ก็คือ การที่เขาไปปล้น  ไปปล้นธนาคารก็ดี ไปลักวัวลักควายก็ดี ลักเป็ด ลักไก่ก็ดี หรือว่าไปปล้นบ้าน ปล้นแท็กซี่ ที่เราเห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็ไปเกิดในนรกขุมนี้ พวกลักวัวลักควายสมัยก่อน ลักเป็ดลักไก่หรือลักสิ่งของของบุคคลอื่น ที่เขาไม่ให้ ตายไปแล้วก็ไปตกนรกขุมนี้ชื่อว่า อโยคุฬนรก ต้องถูกนายนิรยบาลนั้นจับคีมขึ้นมาแล้วก็งัดปากเอาทองแดงนั้นยัดลงไปในปาก ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

            นรกขุมที่ ๙ ก็คือ อสินขนรก อสิก็คือ ดาบ นข ก็คือ เล็บ เมื่อสัตว์นรกตายไปแล้วไปเกิดในนรกขุมนี้แล้วนี่ เล็บมือก็จะกลายเป็นดาบ กลายเป็นหอก กลายเป็นแหลม กลายเป็นหลาว เล็บเท้าก็เช่นเดียวกัน เมื่อเล็บมือกลายเป็นดาบ เป็นหอก เป็นแหลม เป็นหลาวแล้ว สัตว์นรกแออัดกันมากมาย เหมือนกับข้าวสารที่มันอยู่ในถัง มันจะแออัดกันขนาดไหน สัตว์นรกที่แออัดกันอยู่ขนาดนั้นก็เอาดาบฟันกัน แทงกันด้วยบาปกรรมที่ทำมาได้รับความทุกข์ทรมานบางคนก็แทงกันตายแล้วก็ฟื้นขึ้นมาอีก แทงกันอีกตายแล้วก็ฟื้นขึ้นมาอีกแทงกันอีก ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่อย่างนั้น บุคคลผู้ที่ตายจากมนุษย์แล้วไปเกิดในนรกขุมนั้น ก็เพราะว่าเป็นพวกที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นผู้ที่ฉ้อโกงบุคคลอื่น คือไปเอาทรัพย์สมบัติของหลวงมาเป็นของตนเอง โกงที่นา โกงไร่ของเขา โกงที่ดินเขา ไปปลูกต้นไผ่ ไปปลูกต้นไม้ แล้วก็โกงเอาที่เขา พ่อแม่เขาตายไป ลูกหลานเขาไปกรุงเทพฯ ก็ไปโกงเอาที่ของเขา เขาย้ายเขตแดนไปในลักษณะอย่างนี้ตายไปแล้วก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ไปเกิดในนรกชื่อว่า อสินขนรก หรือว่าบุคคลใดที่ชอบชก ชอบต่อยกัน ชอบแทงกัน ชอบยิงกัน เวลาตายไปแล้วจะไปตกนรกขุมนี้ หรือว่าไปงานบุญแล้วก็ไปต่อยกัน ไปแทงกัน ไปยิงกัน ตายไปแล้วก็จะไปตกในนรกขุมชื่อว่า อสินขนรก ตกไปแล้วก็มีเล็บเป็นดาบ มีเล็บเป็นหอก เป็นอะไร แล้วก็แทงกันตาย ตายแล้วก็ฟื้น ฟื้นแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ฟื้น แทงกันอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะสิ้นบาปกรรม

            นรกขุมที่ ๑๐ ท่านเรียกว่า ยันตปาสาณนรก ยัน ก็คือ ยนต์ เครื่องยนต์ ปาสาณ ก็คือก้อนหิน คือก้อนหินยนต์ คือก้อนหินที่หมุนได้ ก้อนหินนี้จะมีเปลวเพลิงลุกขึ้นมา ก้อนหินนั้นจะหมุนคล้ายๆ กับล้อรถยนต์ใหญ่ กลิ้งเข้ามาๆ ไล่กลิ้งบดสัตว์นรก สัตว์นรกก็วิ่งหนีไป บางครั้งหนีพ้นก็พ้น หนีไม่พ้นก็ถูกบดแบนแล้วก็ตายไป เรียกว่าบดไปเป็นจุน เกิดขึ้นมาด้วยแรงกรรมก็ถูกบดอีกในลักษณะอย่างนี้อยู่เป็นชั่วกัป ชั่วกัลป์เป็นแสนปี เป็นล้านปี จนกว่าจะสิ้นบาปกรรมของเรา มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปตกนรกในขุมนี้ก็เพราะว่า เป็นคนที่ชอบยิงสัตว์ เป็นคนที่ชอบทำร้ายสัตว์บุคคลอื่น เป็นคนที่ชอบล่าสัตว์ ไปยิงหนูก็ดี ไปยิงนกก็ดี ไปยิงเป็ดยิงไก่ หรือว่าเอาฉมวกไปแทงปลาก็ดี เอาปืนไปยิงปลาก็ดี ที่เราเห็นการหาอยู่หากินตามภาคอิสานของเรา พวกนี้ตายไปแล้วก็ไปตกนรกชื่อว่า ยันตปาสาณนรก ถูกก้อนหินยนต์กลิ้งบดได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ตายแล้วก็ฟื้นขึ้นมาอีกก็ถูกบดอีกอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

            เรื่องนี้มีเรื่องเล่าไว้ว่า มีบุคคลหนึ่งชอบฆ่าสัตว์ เขาชอบฆ่าวัว ฆ่าควาย ฆ่าอยู่เป็นประจำ ฆ่าอยู่ประมาณ ๕๕ ปี เมื่อฆ่าแล้วก็จะเอาเนื้อไว้กิน คือต้องกินเนื้ออยู่เป็นประจำ ไม่กินเนื้อไม่ได้ แล้วเนื้อที่เหลือก็เอาไปขายตลาด เมื่อขายแล้วก็เอาเงินมาให้ภรรยาเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียตามประสาคนฆ่าโค วันหนึ่งเขาฆ่าวัว เมื่อฆ่าเรียบร้อยแล้วก็เอาเนื้อก้อนหนึ่งมาให้ภรรยา บอกภรรยาว่าเนื้อก้อนนี้อย่าไปขายให้ใครนะ เอาไว้ปิ้งให้เรากิน เราจะต้องรับประทานอาหารต้องกินเนื้อทุกวัน แล้วก็เอาเนื้อไปขายหมด เมื่อขายหมดแล้วก็กลับมาจากขายเนื้อแล้วเขาก็ไปอาบน้ำชำระร่างกาย ขณะที่ไปอาบน้ำเพื่อนของสามีมาถึงแล้วก็ว่ามีเนื้อขายให้ไหม พอดีมีแขกมาจากทางไกลไม่มีเนื้อที่จะทำเลย ไม่มีเนื้อที่จะเลี้ยงแขก ภรรยาของคนฆ่าเนื้อก็เลยบอกว่า มีแต่เนื้อที่เหลือไว้เพื่อสามีของตนเองเท่านั้น เนื้ออย่างอื่นไม่มี เพื่อนของสามีก็เลยบอกว่า แขกมาให้ฉันเสียก่อนฉันไม่มีอะไรที่จะทำเลี้ยงแขกเลย ภรรยาก็ว่าให้ไม่ได้ เพราะว่าไม่มีเนื้อแล้วสามีของฉันก็จะไม่ทานอาหารเลย เพราะว่าเขาขาดเนื้อไม่ได้ บุคคลผู้ที่เป็นเพื่อนนี้ก็ถือเอาเลย แล้วก็ไปประกอบอาหารเลี้ยงแขก

            สามีกลับขึ้นมาจากอาบน้ำแล้วก็ถามหาอาหาร ภรรยาก็ยกอาหารมาให้ เปิดดูแล้วมันไม่มีเนื้อ ก็เลยบอกว่า เนื้อไปไหนภรรยาก็เลยพูดให้ฟัง พอพูดให้ฟังแล้วคนที่ฆ่าเนื้อก็เลยจับมีดอันคมกริบเดินลงไปใต้ถุนบ้าน แล้วก็เอามือสอดเข้าไปในปากของโค แล้วก็จับลิ้นวัวดึงออกมาแล้วก็เอามีดอันคมนี้ตัดลิ้นของวัว แล้วเอามาโยนให้ภรรยาเอาไปปิ้ง เอาไปประกอบอาหารมาให้ทาน ภรรยาก็ไปย่างมาให้แล้วตัวเองก็นั่งรอที่จะกินลิ้นวัว ขณะที่ภรรยาเอาใส่จานมาแล้วสามีก็จับเอาลิ้นวัวที่ย่างหอมๆ นั้นมาจะกิน พอเอาลิ้นวัววางลงในปากเท่านั้นแหละ ลิ้นของตัวเองก็ขาดออกมา เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ใจขาดแล้วก็ตายไป วัวที่ถูกตัดลิ้นก็ตายไปพร้อมๆ กัน บุคคลผู้ที่ตายไปก็ไปเกิดในอเวจีมหานรก พ้นจากอเวจีมหานรกแล้วก็มาเกิดในนรกที่ชื่อว่า ยันตปสาณนรกได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก อันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้

            เพราะฉะนั้นเราผู้เป็นพุทธบริษัท เราเป็นเด็กต้องเรียนรู้เรื่องบาป เรื่องบุญ ถ้าเราไม่รู้เรื่องบาปเรื่องบุญไม่มีหิริ คือความละอายต่อบาป ไม่มีโอตตัปปะ คือความเกรงกลัวต่อบาป เราก็จะทำอะไรต่างๆ ได้มากมาย เถียงพ่อก็ได้ เถียงแม่ก็ได้ ลักของคนอื่นก็ได้ พูดเท็จ พูดเพ้อเจ้อ พูดเหลวไหลก็ได้ สิ่งเหล่านี้มันบาปทั้งนั้น เถียงพ่อเถียงแม่ ด่าพ่อด่าแม่ผู้มีศีลก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ตกโลหกุมภีนรกตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น หรือว่าเราไปทำชู้สู่สมบุคคลอื่นก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ต้องไปตกนรกชื่อว่า สิมพลีนรกได้รับความทุกข์ทรมาน ถ้าเราไปโกหกบุคคลอื่น ชอบพูดส่อเสียดบุคคลอื่น ก็เกิดเป็นเปรตมีหางงอกออกมาที่ปากได้รับความทุกข์ทรมาน เพราะฉะนั้นเราผู้เป็นเด็ก เด็กในวันนี้เราควรที่จะเรียนเรื่องนรก เรื่องสวรรค์

            ทางคณะครูบาอาจารย์ก็ดี ทางญาติโยมก็ดี ทำอย่างไรเราจึงจะพ้นจากนรกเหล่านี้ได้ การที่จะพ้นจากนรกเหล่านี้ได้ก็คือ การที่พวกเราทั้งหลายได้มาเดินจงกรม นั่งภาวนานี้แหละ ทางอื่นไม่มี เราจะให้ทานมากน้อยขนาดไหนก็ตามก็ไม่สามารถที่จะพ้นจากนรกได้ เราจะรักษาศีลดีขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะพ้นจากนรกได้ เราจะเจริญสมถกรรมฐานจนได้รูปฌานที่ ๑ รูปฌานที่ ๒ รูปฌานที่ ๓ รูปฌานที่ ๔ หรืออรูปฌานที่ ๑ เรียกว่า อากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน หรือว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ก็ไม่สามารถป้องกันนรกได้

            แต่ถ้าเรามาเดินจงกรมนั่งภาวนา กำหนดอาการขวาย่างซ้ายย่าง กำหนดขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ กำหนดอาการพองอาการยุบ เราสามารถที่จะปิดประตูอบายภูมิได้ ท่านกล่าวไว้ว่าถ้าเรามาเดินจงกรมนั่งภาวนา ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอนี้ ถ้าวิปัสสนาญาณที่ ๑ เรียกว่า นามรูปปริจเฉทญาณเกิดขึ้นมา เพียงแต่เรารู้ว่าต้นยกเป็นอย่างไร กลางยกเป็นอย่างไร สุดยกเป็นอย่างไร ต้นเหยียบ กลางเหยียบ สุดเหยียบเป็นอย่างไร ต้นพอง กลางพอง สุดพอง ต้นยุบ กลางยุบ สุดยุบ เป็นอย่างไร ท่านเรียกว่า นามรูปปริจเฉทญาณเกิดขึ้นมาแล้ว รู้ว่าเท้าขวาของเรานี้เป็นรูป ใจที่นึกนี้เป็นนาม รู้ว่าเท้าที่เหยียบลงไปนี้เป็นรูป ใจที่นึกนี้เป็นนาม แค่นี้ก็เรียกว่า นามรูปปริจเฉทญาณเกิดขึ้นมาแล้ว แต่เราต้องรู้เอง ไม่ใช่บุคคลอื่นนั้นไปบอก เรารู้เองด้วยจิตด้วยใจของเรา เมื่อนามรูปปริจเฉทญาณเกิดขึ้นมา ท่านกล่าวไว้ในสติปัฏฐานสูตร ด้วยอานิสงส์การเจริญสติปัฏฐานสูตรนั้น เราจะไม่ไปสู่อบายภูมินั้น ๑ ชาติถ้าไม่ประมาท

            แต่ถ้าเราเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ หรือว่าพองหนอ ยุบหนอ ต่อไปจนเป็นเหตุให้ ปัจจยปริคคหญาณเกิดขึ้นมาเรียกว่ารู้ญาณที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย รู้ใจของรูปของนาม เมื่อญาณนี้เกิดขึ้นมาแล้ว เรียกว่าเป็นจุลโสดาบัน เป็นผู้ที่ถึงกระแสของพระนิพพานน้อยๆ ตายไปแล้วจะไม่ไปสู่อบายภูมิ ๒-๓ ชาติ ถ้าไม่ประมาท

            ถ้าเราประพฤติต่อไปอีก เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิด สัมมสนญาณเกิดขึ้นมา คือเรากำหนดอาการพองอาการยุบไป อาการพองอาการยุบของเรามันเร็วขึ้นๆๆ แล้วก็หายไป หรือว่าอาการพองอาการยุบของเรามันแน่นขึ้นๆๆ แล้วก็หายไป หรือว่าอาการพองอาการยุบของเรามันแผ่วลงๆๆ แล้วก็จางหายไป คล้ายๆ กับเราเทน้ำใส่ทะเลในกองทราย น้ำมันก็หายวับไปทันที อาการของท้องพองท้องยุบนั้นมันก็เร็วขึ้นๆๆ แล้วก็หายไป อาการพองอาการยุบที่มันแน่นขึ้นๆๆ แล้วก็หายไป อาการท้องพองท้องยุบมันแผ่วลงๆๆ แล้วก็หายไป ถ้ามันเป็นในลักษณะอย่างนี้เรียกว่าเรานั้นถึง สัมมสนญาณแล้ว ถ้าเราถึงญาณนี้แล้วจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยไม่ไปสู่อบายภูมิ ๓-๔ ชาติถ้าไม่ประมาท         

            หรือว่าบุคคลใดนั่งไปๆๆ แล้วเห็นนิมิต เห็นภูเขาบ้าง เห็นแม่น้ำบ้าง เห็นทะเลหลวงชลาลัยบ้าง เห็นพระปฐมเจดีย์ พระธาตุพนมนี้ก็ถือว่า ถึงวิปัสสนาญาณที่ ๓ แล้ว หรือว่านั่งไปๆ บางคนแขนใหญ่ขึ้นมา ตัวใหญ่ขึ้นมา ตัวยืดขึ้นมา บางคนก็แขนยาว บางคนก็ขายาว บางคนก็ตัวใหญ่ขึ้นสูงขึ้นฟ้าก็มี ในลักษณะอย่างนี้ก็ถือว่า เราถึงญาณที่ ๓ แล้ว หรือว่าบางคนบางท่านนั่งไปๆ แล้วแสงมันพุ่งออกมาจากหัวใจ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วก็แตกออกมาเป็นสีเขียวบ้าง สีแดงบ้าง สีเหลืองบ้าง ก็แสดงว่าบุคคลนั้นถึงญาณที่ ๓ แล้ว หรือว่าบุคคลนั่งไปๆ แล้วมันเกิดนิมิต เห็นวิมานของเทวดา เห็นเครื่องทรงของเทวดา อะไรทำนองนี้ก็ถือว่าถึงญาณนั้นแล้ว ถ้าเราประพฤติถึงญาณนี้แล้วเราไม่ประมาทก็ถือว่า เราจะไม่ไปสู่อบายภูมิ ๓-๔ ชาติ

            แต่ถ้าเราไปเกิดเป็นเทวดา ก็จะเป็นเทวดาที่มีแสงสว่างในตัวเองมาก เป็นเทวดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นเทวดาที่ไม่ประมาทในการบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญทาน บำเพ็ญกุศล แต่ถ้าเรามาเกิดเป็นมนุษย์เราก็จะเป็นผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ถ้าเราเดินจงกรมนั่งภาวนาต่อไป ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ กำหนดการเดินจงกรม นั่งภาวนาอยู่เป็นประจำถึงจะเลิกจากการปฏิบัติแล้วเราก็มาเข้าวัด มาเดินจงกรมกับพระอาจารย์อยู่เป็นประจำ เมื่อเดินจงกรมอยู่เป็นประจำก็เป็นปัจจัยให้เกิดอาการพองยุบมันเร็วขึ้นๆๆ แล้วก็ดับฟุบลงไป หรือว่า แน่นขึ้นๆๆ แล้วก็ดับฟุปลงไป หรือว่าแน่นขึ้นๆ แล้วสัปหงกวึบลงไปขาดความรู้สึกไป ๑ ขณะจิต หรือว่าขณะที่เราบริกรรมไปท้องพองท้องยุบของเรามันชัดเจนขึ้นๆ เมื่อชัดเจนขึ้นแล้วก็เริ่มแผ่วลงๆๆ ก็เริ่มเบาลงๆๆ เมื่อเบาลงเต็มที่แล้วมันก็ดับฟึบลงไป ขาดความรู้สึกไป ๑ ขณะจิต ขณะที่ขาดความรู้สึกไป ๑ ขณะจิตนั้นเหมือนกับว่าเรากระพริบตา หรือว่าเหมือนกับเราเอาไม้ขีดลงไปในน้ำ หรือเหมือนกับฟ้าแลบ เพียงแค่นี้แหละมันดับลงไป ๑ ขณะจิต เรียกว่าจิตใจของเรามันขาดไป ๑ ขณะจิต สันตติมันขาดไป ๑ ขณะจิต ความสืบต่อแห่งรูปแห่งนามมันขาด ถ้ามันเกิดขึ้นมาในลักษณะอย่างนี้ก็แสดงว่าเราถึงญาณที่ ๔ แล้ว บุคคลนั้นจะไม่ไปสู่อบายภูมิ ๓-๔ ชาติ ถ้าไม่ประมาท ๓-๔ ชาตินี้จะไม่ไปสู่อบายภูมิเด็ดขาด

            ถ้าบุคคลนั้นไปเกิดเป็นเทวดาก็จะเป็นผู้มีศักดิ์มาก มีรัศมีมากกว่าเทวดาที่ยังไม่ได้วิปัสสนาญาณที่ ๔ เกิดขึ้นมา เรียกว่ามีเดชมีอำนาจมากกว่าเทวดาบุคคลอื่น ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็จะเป็นคนมีเดช มีอำนาจ บุคคลเกรงใจ เคารพ นับถือ ถ้าเกิดขึ้นมาแล้วก็จะเป็นบุคคลที่มีบุญวาสนาบารมี เป็นผู้ที่เลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะไม่ไปเกิดเป็นคนหูหนวกตาบอด จะไม่ไปเกิดในที่ห่างไกลจากพุทธศาสนา ไม่ไปเกิดในประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนา จะได้ไปเกิดในประเทศที่มีพระพุทธศาสนา แต่ถ้าเกิดในกัปที่ไม่มีพุทธศาสนา ถ้าบำเพ็ญบารมีมาครบ ๒๐ ทัศน์ ก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เรียกว่าเป็นผู้ที่มีบุญมาก ถ้าปฏิบัติมาถึงญาณที่ ๔ แล้วถ้าเป็นพระก็ไม่ต้องอาบัติปราชิก ถ้าบุคคลใดต้องอาบัติปราชิกแล้ว วิปัสสนาญาณที่ ๔ มันจะไม่เกิด แต่ถ้าวิปัสสนาญาณที่ ๔ เกิดแล้วแสดงว่าภิกษุรูปนั้นไม่ต้องอาบัติปราชิก แล้วภิกษุรูปนั้นมีโอกาสที่จะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน มีโอกาสที่จะได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี มีโอกาสที่จะได้บรรลุเป็นพระอนาคามี หรือว่ามีโอกาสที่จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ชั้นใดชั้นหนึ่งตามอำนาจวาสนาบารมี ตามอำนาจวาสนาความเพียรของเราที่บำเพ็ญภาวนา

            เพราะฉะนั้นบุคคลผู้ที่เจริญวิปัสสนาถึงญาณที่ ๔ นี้ ถือว่าเราปิดประตูอบายภูมิ ๓-๔ ชาติแล้ว แต่ถ้าเราไม่ประมาทเราเจริญไปเรื่อยๆ ถึงญาณที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ นับตั้งแต่ ภังคญาณ ภยตูปัฏฐานญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ แล้วก็ สังขารุเปกขาญาณ ถึงญาณที่ ๑๑ แล้วก็โอนข้ามไปสู่อนุโลมญาณ เมื่ออนุโลมญาณเกิดขึ้นแล้วก็ส่งไปสู่ โคตรภูญาณ โอนจากโคตรปุถุชน ไปสู่อริยโคตร จากนั้นก็ส่งไปให้มรรคญาณ มรรคญาณก็ส่งให้ผลญาณ ผลญาณก็ส่งให้ปัจจเวกขณญาณ บุคคลนั้นก็ถือว่าสำเร็จเป็นพระโสดาบัน เมื่อสำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้วจะไม่ไปสู่อบายภูมิ คือจะไม่ตกนรกตามที่อาตมาได้กล่าวไว้แล้ว

            เพราะฉะนั้นหนทางที่เราจะปิดประตูอบายภูมิ คือปิดประตูนรกก็คือการเดินจงกรม นั่งภาวนาเหมือนกับที่เราทั้งหลายได้ทำไว้อยู่ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นขอให้คณะครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จนถึงญาติโยมทั้งหลาย ตลอดถึงลูกๆ ทั้งหลายจงตั้งใจบำเพ็ญคุณงามความดี เพราะว่าเราเกิดขึ้นมาแล้วโอกาสที่เราจะไม่ทำบาปนั้นเป็นไปไม่ได้ เราต้องเผลอต้องพลั้งทำบาปโดยประการใดประการหนึ่ง แต่ถ้าเราไม่มีวิปัสสนาญาณเป็นเครื่องการันตีแล้ว บางครั้งเราตายไปแล้วเราก็อาจจะไปตกนรกก็ได้ แล้วได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เพราะฉะนั้นทางออกของเราที่ดีที่สุดก็คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

            เพราะฉะนั้นวันนี้อาตมภาพ กระผมได้น้อมนำเอาธรรมะ ในเรื่องนรก และหนทางที่จะปิดประตูอบายภูมิ หรือว่าหนทางที่จะปิดประตูแห่งนรกนั้นก็คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ตามที่กล่าวมาแล้วก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา ในท้ายที่สุดนี้ก็ขอให้ ญาติโยมทั้งหลายตลอดถึงลูกๆ ทั้งหลายที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น จงตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วจงนำหิริคือความละอายนั้นไปไว้ที่ใจของตนเอง นำโอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาปนั้นไปไว้ที่ใจตนเอง เป็นคนที่ละอายต่อบาป เป็นคนที่เกรงกลัวต่อบาป รู้จักเคารพคุณของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ รู้จักคุณของพระมหากษัตริย์ รู้จักคุณของพระพุทธศาสนา รู้จักคุณของผู้มีคุณแล้วก็ให้ลูกๆ หลานๆ นั้นจงเจริญรุ่งเรืองด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ ธรรมสารสมบัติ ขอให้ลูกๆ นั้นได้มีโอกาสได้มาประพฤติวัตร ปฏิบัติธรรม นำตนให้พ้นจากทุกข์ ถึงสุขอันไพบูลย์ กล่าวคือมรรคผลนิพพานด้วยกันจงทุกท่านทุกคนเทอญ.
บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.804 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 20 ธันวาคม 2567 11:38:11