[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
23 พฤศจิกายน 2567 20:01:08 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สุญญตา ~พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช~  (อ่าน 3462 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 6.0.2 Firefox 6.0.2


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 15 กันยายน 2554 14:06:15 »





สุญญตา
~พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช~

พวกเราคงเคยได้ยินคำว่า..'สุญญตา' หรือ..'มหาสุญญตา'
กันบ่อยๆและอาจเคยพบเพื่อนชาวพุทธบางท่าน
โดยเฉพาะปัญญาชนที่สนใจศึกษาเรื่องสุญญตาด้วยการอ่าน การฟัง
การคิด และการถกแถลงธรรม
ท่านเหล่านี้ได้รับความอิ่มอก
อิ่มใจ ว่ามีความรู้ความเข้าใจพระพุทธศาสนาลึกซึ้งเพียงพอ
แล้ว
จนไม่สนใจการเจริญสติ
ซึ่งเราคงเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรด้วยไม่ได้
 
แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือเพื่อนผู้สนใจการปฏิบัติบางท่านกลับ
พยายามเจริญสติด้วยการใช้สุญญตาเป็นอารมณ์กรรมฐาน
ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดพลาดมาก เพราะพระพุทธเจ้า
ทรงสอนให้ใช้สุญญตาหรือความว่างเป็นอารมณ์แต่อย่างใด

บางท่านถึงกลับนำพระไตรปิฎกมาอ้างว่า พระพุทธเจ้าก็ทรง
สอนให้ใช้สุญญตาเป็นอารมณ์กรรมฐานเหมือนกัน
เนื้อหาของพระไตรปิฎกนี้มีอยู่ว่า... โมฆราชมาณพ พร้อมด้วย
เพื่อนร่วมสำนักผู้เป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรีรวม 16 ท่าน

ได้ไปเฝ้าทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า ท่านเหล่านี้ภายหลังได้อุปสมบท
และบรรลุเป็นพระอรหันต์ชั้นแนวหน้าทั้งสิ้น เฉพาะท่่านโมฆราชนั้น
ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าถึง 3 ครั้งว่า...
"บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจะไม่เห็น...?"

พระอรรถกถาจารย์ท่านอธิบายว่า เหตุที่ท่านโมฆราชต้องถาม
ถึง3 ครั้ง ก็เพราะพระพุทธเจ้าทรงรอให้โมฆราชมาณพมีอินทรีย์
แก่กล้าเสียก่อน จึงยังมิได้ทรงตอบเมื่อทูลถามปัญหาสองครั้งแรก
ต่อจากท่านอชิตะและท่านติสสเมตเตยยะ

เมื่อท่านโมฆราชทูลถามเป็นครั้งที่ 3 โดยได้ถามเป็นบุคคล
ลำดับที่ 15 แทนที่จะได้ถามเป็นท่านที่ 2 หรือ 3 จึงทรงตอบว่า..
"ดูกร โมฆราช ท่านจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโลก
โดยความเป็นของว่างเปล่าเถิด จงถอนตามความเห็นว่าเป็นตัวตน
เสียแล้ว พึงเป็นผู้ข้ามพ้นมัจจุราชได้ด้วยอาการอย่างนี้
บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอยู่อย่างนี้ มัจจุราชจึงจะไม่เห็น
"

เมื่ออ่านคำตอบตรงนี้แล้ว ท่านที่ชอบเรื่องสุญญตาก็มักจะสรุปเอา
เลยว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติด้วยการคิดพิจารณาให้เห็นว่า
โลกเป็นของว่างเปล่าหรือเป็นสุญญตา

ความจริงพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น แต่ท่านระบุชัดเจนว่า...
จงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ...แสดงว่าท่านสอนให้เจริญสติ ถ้าถามต่อไปว่า
ท่านให้เจริญสติโดยใช้สิ่งใดเป็นอารมณ์กรรมฐาน ก็ตอบได้ว่าพระพุทธเจ้า
ทรงสอนให้ใช้..'โลก' เป็นอารมณ์กรรมฐาน และคำว่าโลกก็หมายถึง
'รูปนาม'...นั่นเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้ใช้สุญญตาหรือความ
ว่างเป็นอารมณ์กรรมฐาน เพียงแต่ทรงแนะนำ

'ให้ตามรู้รูปนามในแง่มุมของความว่างเปล่าจากตัวตนหรืออนัตตา'
เท่านั้นเอง เพราะท่านโมฆราชผู้มีปัญญามาก จึงเหมาะที่จะบรรลุธรรม
ด้วยสุญญตาวิโมกข์ คือ...การเห็นรูปนามเป็นอนัตตา ทั้งนี้ฝ่าย
บรรดาคณะศิษย์ของพรามหม์พาวรีทั้ง 16 ท่านนั้น พระไตรปิฎกกล่าวถึง
ฉายาต่อท้ายชื่อไว้2 ท่าน คือท่านโมฆราชผู้มีปัญญา กับ
ท่านปิงคิยะผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ แสดงว่าท่านโมฆราชน่าจะมีจุดเด่น
ในด้านมีปัญญามากจริงๆ
เพียงแต่ไม่ถึงระดับท่านพระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกผู้เลิศด้วยปัญญานั้น

มีคำอธิบายเพิ่มเติมในพระไตรปิฎก (โมฆราชมาณวกปัญหา
นิทเทส
พระไตรปิฎกเล่มที่ 30 ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส). ว่า...
"บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญด้วยเหตุ 2 ประการคือ
(1) ด้วยสามารถความกำหนดว่า..ไม่เป็นไปในอำนาจ...
หมายความว่า ใครๆย่อมไม่ได้อำนาจในรูป ในเวทนา ในสัญญา
ในสังขาร ในวิญญาณ และ
(2) ด้วยสามารถการพิจารณา...เห็นสังขารโดยเป็นของว่างเปล่า...
หมายความว่า ใครๆย่อมไม่ได้แก่นสารในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร
ในวิญญาณ ที่ไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสารปราศจากแก่นสาร
เพราะไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา


มีคำที่อาจก่อความสับสนได้อีกคำหนึ่งคำว่า..."พิจารณา" บางท่าน
ตีความหมายว่าการพิจารณาคือการคิด
แท้จริงคำว่าพิจารณาหมายถึง การเจริญสติตามรู้รูปนามนั่นเอง
ไม่ใช่การคิดเรื่องรูปนาม เพราะการคิดเรื่องรูปนามว่าเป็นความว่างนั้น
ไม่สามารถจะทำให้เห็นรูปนามเป็นความว่างได้ แต่ถ้าเจริญสติ
โดยมีรูปนามเป็นอารมณ์ จึงจะเห็น
อนัตตลักษณะของรูปนามได้

สรุปแล้ว...พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้ใช้ความว่างเป็นอารมณ์
ของวิปัสสนากรรมฐาน และไม่ได้ให้คิดเรื่องความว่าง
แต่ทรงสอนให้มีสติตามรู้รูปนาม จนเห็นรูปนามว่างเปล่าจากความ
เป็นตัวตน หรือไร้แก่นสารทั้งปวง...

ดังนั้น พวกเราจึงควรลงมือเจริญสติตามรู้รูปนามไปเลย ดีกว่าจะ
เที่ยวคิดหรือเที่ยวแสวงหาสุญญตาจนลืมการเจริญสติ
แล้ววันหนึ่ง พวกเราจะได้เห็นโลกคือรูปนามอันประกอบขึ้นเป็น
สรรพสิ่งทั้งหลายนั้น แม้มีอยู่ แต่ก็ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน
และหาแก่นสารใดๆ ไม่ได้เลย...ฯ


~พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์



ขอบพระคุณที่มาจาก :http://www.teenee.com/
:http://agaligohome.com/index.php?topic=4839.new#new

Pics by : Google
สุขใจดอทคอม * ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต
อกาลิโกโฮม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
คำค้น: พิจารณาหมายถึง การเจริญสติ อนัตตลักษณะ รูปนาม 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.332 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 17 พฤศจิกายน 2567 00:58:34