[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
21 ธันวาคม 2567 23:21:52 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: คาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้าไม่ใช่คาถาเรียกลาภ  (อ่าน 930 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1210


ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 119.0.0.0 Chrome 119.0.0.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2566 17:54:00 »

คาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้าไม่ใช่คาถาเรียกลาภ





คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ใช่คาถาเรียกลาภ

เป็นคาถากรรมฐานเหมือนพุทโธ.. เหมือนอิติปิโสภควา..

พอท่านทำกรรมฐานเป็นฌาน ๔ ท่านบอกอย่างนั้นนะ

เป็นประกายพรึกแบบนี้.. มีอยู่รายหนึ่ง เอาที่ไปจำนองธนาคารไว้ (นี้หลวงพ่อฤาษีฯ เล่าให้ฟัง)

มันจะขาดอีกอาทิตย์หนึ่งเนี่ย เพิ่งรู้ตัวหาเงินให้เค้าไม่ได้ ก็เอาเรื่องมาบอกนายห้างประยงค์

บอกนายห้างเป็นคนดีช้วยไถ่เอาไว้ แล้วนายห้างก็เอาไปเถอะฉันไม่เอาอะไรหรอก

ก็ยังไงฉันก็สูญเปล่าอยู่แล้วคุณประยงค์ก็ให้เงินโยมคนนั้นไปใช้ตามสมควรและก็ไปไถ่โฉนดมา

สมมุติโฉนดราคาหนึ่งล้านบาท หลายสิบไร่ ก็ปรากฏพอมาอยู่ในอำนาจคุณประยงค์ประมาณครึ่งเดือน

คนจีนใต้หวันจะมาสร้างโรงงานแถวที่ดินตรงนั้น หาที่ดินไม่ได้สมัยก่อนก็ไม่อยากจะสร้าง

อยากจะมาสร้างตอนนี้ก็มาขอซื้อกับคุณประยงค์ได้ราคาเพิ่มเป็น๕เท่าตัว

ทำไมหละ! สมมุติท่านทำบุญไป๕แสนบาทใจผ่องใสปั๊บ!

แล้วซื้อที่ดินมาอีกสามล้าน ได้มาเป็นสิบล้านมันสองเท่า สามเท่าของห้าแสนใหม

ลาภจะมาแบบนี้..

คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ใช่คาถาเรียกลาภ เป็นคาถากรรมฐานเหมือนพุทโธ..

เหมือนอิติปิโสภควา.. แต่อันนี้ท่องไปแล้วนึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วศัพท์เสียงคาถานี้

ไม่เพราะเหมือนอิติปิโสภควา เป็นคาถาโบราณ ห้ามแปล!

ตอนท่องคาถาต้องท่องให้เป็นกรรมฐาน ให้จิตผ่องใส มีศีลห้าบริสุทธิ์อยู่แล้ว เคารพพระพุทธ

พระธรรม พระสงฆ์อยู่แล้ว เชื่อมั่นในพระนิพพาน นใพรหมเทวดา

ในคุณความดีของพ่อแม่ในอดีตชาติอยู่แล้ว เริ่มเบื่อหน่ายร่างกาย อยากจะไปนิพพานอยู่บ้าง

ตามสมควรแล้ว ถึงจะได้ผลแบบคุณประยงค์ ลืมบอกไปว่า

คนที่เจริญคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า มีกฏอยู่อย่างนึงคือ ต้องใส่บาตรทุกเช้า

ใส่บาตรให้พระสงฆ์ที่ผ่านมาหน้าบ้าน


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1210


ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 119.0.0.0 Chrome 119.0.0.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2566 17:54:42 »



หรือไปใส่ที่ไหนก็ได้ เพื่อตั้งอธิษฐานขอข้าวน้ำของเราจงเป็นชีวิตของพระสงฆ์สืบพระศาสนา

ตลอดห้าพันปีไปแบบนี้ วันไหนถ้าใส่บาตรไม่ได้ เพราะมีธุระอะไรก็ตามให้เอาเงินเท่าราคาที่เราจะใส่บาตร

แต่ละวันใส่ในขันหรือตรงไหนก็ได้ จำนวนหนึ่งท่องคาถาเงินล้านเหมือนท่องต่อหน้าพระปัจเจกพุทธเจ้า

เวลาจะใส่บาตร เขาก็เอาขันข้าวท่องคาถา ‘วิระทะโย วิระโคนายัง’ พอจบเสร็จพระมาพอดี..

เขาก็ตักของเชาอย่างนี้ เวลาเราจะจบคาถาหยอดในบาตร เราก็ท่องคาถา เหมือนประหนึ่งว่าพระสงฆ์

มายืนอยู่ตรงหน้า และก็ท่องคาถา ก็มี ๓จบ ๕จบ ๗จบ ๙จบ ในสมัยหลวงปู่ปานต้องการแค่๙จบสูงสุด

ท่องเสร็จก็เอาตังค์หยอดไว้ รุ่งขึ้นพระสงฆ์มาก็ใส่บาตรตามปกติ ส่วนเงินจำนวนนี้พอได้ตามสมควรแล้ว

เราก็เอาไปหาพระที่เราเคารพห่อไปเลยยังไงก็ได้

เอาไปแล้วไปบอกว่า พระคุณเจ้าเงินนี้เป็นเงินขอถวายค่าอาหารพระสงฆ์

ในการสืบอายุพระศาสนา ขอจงรับไว้เป็นบุญแก่ฉัน เป็นการแทนคุณเจ้าของพระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยเถิด

เพราะฉะนั้นครูบาอาจารย์สมัยนี้จึงบอกเช้าตื่น่ขึ้นมาสวดมนต์แล้ว ก็สวดคาถาเงินล้านนี้

คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ ถ้าต้องการให้ทรงตัวอยู่ได้แบบไม่อดอยาก ก็ท่อง๓จบ

ถ้าหากจะมีเหลือพอทำบุญด้วย ก็๕จบ มีเหลือเก็บก็ ๗จบ ๙จบ

แล้วแต่ความเพียรในการบูชาคาถาเป็นกรรมฐานอยู่แล้วเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว

ส่วนความสงสัยที่ว่าเราก็ยังมีพระสัมมาพระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นที่พึ่งอยู่ ถ้าบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าจะขัดกันมั้ย

หลวงตาก็เคยคิด ตอนนั้นหลวงพ่อฤษีท่านเรียกหลวงตาเข้าไปก่อนจะบวช ท่านบอก

“วัชระชัย แกท่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นกรรมฐานเลย”

หลวงตาก็เถียง”แล้ว พุทโธ ละครับ “

ท่านดุเอา”ไอ้นี่ ของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน คิดว่าเป็นคาถา พระพุทธเจ้าได้ผลเหมือนกัน เป็นฌานสมาบัติเหมือนกัน”

เป็นกรรมฐานเหมือนกัน เป็นความดีเหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ห้าม เป็นอารมณ์กรรมฐาน

พอหลวงพ่อฤาษีให้เปลี่ยนมาใช้คาถานี้ เราอยากจะกลับไปพุทโธ ยังไงก็ตามคาถานี้ก็จะตีขึ้นมาในใจเสมอ

ก็จะใช้อยู่เป็นประจำ

บันทึกการเข้า
Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1210


ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 119.0.0.0 Chrome 119.0.0.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2566 17:55:11 »




ได้มีโอกาสพูดถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าและคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าให้ลูกหลานฟังแล้ว..

หลวงตาขอพูดถึงพระเทวทัต หลวงตาเรียกหลวงปู่เทวทัตเลยนะ เพราะท่านเป็นรุ่นพระพุทธเจ้าเรานะ

รุ่นสมเด็จพ่อสมณโคดมบำเพ็ญบารมีคู่กันมา บำเพ็ญมาไม่ใช่ว่าทำความเลวคู่กับท่านนะ

ดีก็ทำมา แต่ก็พลั้งเผลอไปทำร้ายกันสลับฉากไปด้วย ถ้าท่านเลวจริงๆ ตกนรกไปในชาติก่อนๆ

เกิดมาไม่ทันพระพุทธเจ้าหรอก ท่านก็เจอผูกพันกันมาตลอด แสดงว่าท่านก็มีบารมีที่เข้มแข็งกันอยู่พอสมควร

พอชาติสุดท้ายคู่กันนี่! เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อของเราเนี้ยแล้วองค์นี้(พระเทวทัต)ก็ส่งเสริมกัน

เหมือนกับสีขาวกับสีดำ ชี้ให้เห็นความดีคืออะไร.. ความไม่ดีคืออะไร..

หลังจากท่านลงไปเสวยกรรมอยู่ในนรกแล้ว ถ้าขึ้นมาความดีของท่านจะไม่ให้ท่านใช้หรือ?

ท่านทำมาพอกับพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นตามพระไตรปิฏกตามพระสูตร หรือตามพระเถระผู้ใหญ่

อย่างหลวงพ่อฤาษี หลวงปู่ปานท่านเล่าต่อักันมา ก็คือว่าหลังจากที่ท่านลงไปใช้กรรมในส่วนนี้แล้ว

ท่านจะเสด็จขึ้นมาตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ในยุคพุทธันดร

หลายคนจะว่าท่านตอนท่านเลวต่อพระพุทธเจ้าก็ว่าไปเถอะ! แต่ว่าในปัจจุบันท่านหยุดเลวของท่านแล้ว

ท่านรับกรรมของท่านแล้ว ต่อไปข้างหน้าท่านหมดกรรม แล้วได้รับผลดีนี่ จะไปด่าท่านยันพุทธันดรหน้าได้อย่างไร

หลวงพ่อฤาษีท่านสอนเสมอว่า มนุษย์ทุกคนที่เห็นหน้ากันอยู่ ทั้งไก่ทั้งหมู ทั้งหมา ทั้งงู

เขามีดวงจิตไปเสวยชาติเป็นเดรัจฉานอยู่ เสวยมนุษย์ที่เป็นมิจฉาทิฐิอยู่ เป็นสัมมาทิฐิอยู่

หลังจากที่ละความเลวตามสมควรแล้ว ทำความดีจนถึงพร้อมใจผ่องใสแล้ว ทุกดวงจิตต้องเป็นพระอรหันต์

อย่างใดอย่างหนึ่ง หนึ่งในสามนี้แน่นอนอนาคต แต่กาลเวลาของท่านยาวนานแค่ไหนอยู่ที่ท่านทำเอาเอง

แต่ผลสุดท้ายเมื่อท่านสิ้นกรรมเลวแล้ว ท่านต้องเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ก็พระปัจเจกพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันตสาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแน่นอน

ปี๓๕ หลังจากรับใช้พระศพท่านในศาลา ๑๒ไร่ จนเข้าวิหารแก้วแล้ว หลวงตาก็ออกมาอยู่สระบุรี

ในปี ๓๘ ไปอยู่ศูนย์พุทธศรัทธา ๘ - ๙ เดือน แล้วย้ายมาอยู่ตรงนี้โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์

วัดสระเกศราชวรมหาวิหารกับเจ้าคุณพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศองค์ปัจจุบัน

ท่านเป็นเณรวัดนี้แล้วไปอยู่วัดสระเกศ วัดนี้มีอยู่ก่อนหลวงตามาแล้ว ท่านพามาเป็นเจ้าอาวาสตรงนี้



บันทึกการเข้า
Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1210


ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 119.0.0.0 Chrome 119.0.0.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2566 17:55:48 »



ทีนี้พอมาปั๊บในใจก็นึกถึงแม่อ๋อยตลอดเวลา เพราะยี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่ได้สร้างรูปหล่อพระปัจเจกให้ท่าน

พอมาถึงที่นี้ก็ลงมือบอกบุญ เรื่องทองคำสร้าง ก็รวบรวมสร้างได้ในหน้าตัก ๙ นิ้ว เป็นทองคำบริสุทธิ์

น่าจะ ๙๖.๕ ที่จะแข็งตัวเป็นพระได้ น้ำหนัก ๘ กิโลกรัม ทีนี้หลวงตาจะเอาไว้ในกุฏิก็ไม่ได้

หลวงตาก็เลยคิดว่าจะสร้างวิหารสักหลังหนึ่ง แล้วเนื่องจากจะต้องใช้เป็นคาถา หลวงตาเลยนึกถึงคำว่า

เงินบริสุทธิ์ขึ้นมา.. ก็เลยอธิษฐานขอสร้างเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เป็นเงินบริสุทธิ์อีกองค์หนึ่งเท่าตัวคน

จะสร้างเป็นพระประธานในวิหารพระปัจเจกพุทธเจ้า และข้างบนก็จะเป็นมณฑปองค์พระทองคำ

ตรงหน้าจะมีบาตรเงิน มีคาถาตัวทองให้ทรงคุณค่าของพระคาถา ติดแอร์ให้สบายใจ มีระบบเสียงเปิดวน ๒๔ชม.

ใครเข้ามากราบจะนั่นฟังคาถาภาวนาไป นั่งดูพระให้เพลินก็ได้ หรือจะท่องไปด้วยตามใจ

ซึ่งลงมือสร้างแล้ว อยู่ท้ายโบสถ์เห็นพระครูวินัยธรนิพพานบอกว่า ในวันเกิดหลวงตาในเดือน ก.ค. นี้

จะให้เสร็จรับแขกได้ พอรับแขกได้แต่ยังไม่ 100% ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้าที่จะหล่อด้วยเงินบริสุทธิ์นี้

จะใช้เงินประมาณ 300 กิโลกรัม ตอนนี้ได้สักประมาณ 250 กิโลกรัม เพราะฉะนั้นมาร่วมกันได้ ถ้าจะเอาเงินมาให้ทางวัด

ต้องเอาเงินเป็นเม็ดๆนะ ถ้าเป็นสร้อยจะไม่บริสุทธิ์พอ เราจะหล่อกันในวันอาทิตย์ที่ 18 มิ.ย. นี้

คนที่เลื่อมใสคาถาอยู่.. หรือว่ารู้จักหลวงตาเป็นส่วนตัว.. หรือเคารพหลวงปู่ปานกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

บูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็มาร่วมได้ทุกคน

จริงๆแล้วก็ถือเป็นงานประจำปี คือในปีนึงเนี่ย! หลวงตาขออนุญาตท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล

พระอาจารย์อนันต์ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง ขอเอาวัดเขาวงเป็นจุดรวมท่านเจ้าอาวาสหรือเจ้าสำนักในสายหลวงพ่อทุกองค์

มาเจอกันปีละครั้ง เอาวัตถุมงคลของตัวเองที่สร้างทั้งปีเอามารวมกันในถ้ำนารายณ์ มานั่งอธิษฐานจิตรวมกัน

ในตอนเช้าก็บำเพ็ญกุศลกัน ประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ ก็พุทธาภิเษกเสร็จแล้วก็พักกันหน่อย แล้วก็หล่อพระกัน

หลวงตาขอรับภาระ.. ถ้าใครสงสัยคำพูดหลวงตาในด้านความงมงาย สงสัยในคุณพระพุทธ

พระธรรม พระสงฆ์ หลวงตาขอรับผิดชอบ มาคุยกันมาพูดให้ฟังจะละเอียดกว่านี้ จะรับภาระตรงนี้

จะยืนว่าเป็นความจริงทุกอย่าง แต่ไม่แน่ใจความสามารถของตัวจะพูดได้สมอย่างที่ใจอยากจะพูดใหม

ในบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อ หลวงตาถือว่าเป็นท้ายแถว และเป็นคนสุดท้ายของท้ายแถวด้วย

เพราะว่าในบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อทั้ฤาษีลิงดำ คุณหลวงปู่ปานมีจริง คุณของพระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้ามีจริง

แต่สุดวิสัยจะให้คนไม่เชื่อ หรือคนมีทิฐิมานะสูงเชื่อได้ แต่ก็จะคุยเฉพาะคนที่คุยกันรู้เรื่อง มาคุยกันที่นี้ก็จะคุยกันได้ตลอดเวลา






บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.254 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 19 ธันวาคม 2567 16:07:10