คำว่า ทุกขัง แปลว่า ทนยาก หรือดูแล้วน่าระอาใจ หรือว่าง อย่างน่าเกลียด
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ลักษณะแห่ง ความเป็นทุกข์ นี้ แฝงอยู่ใน ลักษณะ
แห่ง ความไม่เที่ยง โดยใกล้ชิด ในบางกรณี ท่านไม่กล่าวถึง ลักษณะนี้ เพราะ
นับรวมเข้า ด้วยกันเสียก็มี แต่ความหมายนั้น มีอยู่ต่างกัน อนิจจัง หมายถึง
การเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ ทุกขัง หมายถึง ลักษณะแห่ง ความทนทรมาน
หรือทำความทุกข์ ให้เกิดขึ้น แก่ผู้ที่เข้าไปยึดถือ
หลักใหญ่ๆ มีอยู่ว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นย่อมเป็นทุกข์
ข้อนี้หมายความว่า เพราะ ความเปลี่ยนแปลง นั่นเอง ทำให้เกิด ลักษณะอาการ
ที่เรียกว่าเป็นความทุกข์ ขึ้นมา ถ้าไม่มี การเปลี่ยนแปลง
ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นต้น ก็มีไม่ได้ หรือพิจารณา
ดูแล้วก็จะไม่น่าระอาใจ หรือ ไม่ดูเป็น ของไร้จากตัวตน โดยสิ้นเชิง
เกี่ยวกับ ทุกขลักษณะนี้ ควรพิจารณา ให้เห็นลักษณะอาการแห่ง ความเป็นทุกข์
อย่างหนึ่ง ให้เห็นข้อที่ความทุกข์ เนื่องมาจาก ความเป็นอนิจจัง ดังที่กล่าว
มาแล้ว อย่างหนึ่ง ความเห็นอย่างแรก ทำให้เกิดการเบื่อหน่าย ต่อสิ่งที่เป็นทุกข์
ความเห็นอย่างหลัง ทำให้เกิดโอกาส และ พบวิธี แห่งการปล่อยวาง
คำว่า อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน คือ เป็นสิ่งที่ไม่ควร ถือว่า เป็นตัวตน
เป็นเพียงธรรมชาติล้วนๆ ที่หมุนไปตามอำนาจแห่งเหตุ และปัจจัย อยู่เป็น
เนืองนิจ ลักษณะแห่ง ความเป็นอนัตตา นี้ ท่านแสดงไว้ต่างๆ กัน แต่รวม
ใจความแล้ว ก็มุ่งหมาย ให้เกิดความรู้สึกว่า สิ่งที่เรียกว่า ตัวตน นั้น ไม่มี
จริง เป็นเพียง ความไม่รู้ และสำคัญผิด ยึดถือ ว่าตัว ว่าตนขึ้น ด้วยอำนาจ
สัญชาตญาณ คือ ความรู้สึก ที่เกิดได้เอง ตามธรรมชาติ ของสิ่งที่มีชีวิต
ชนิดหนึ่ง เท่านั้น ท่านสอนให้พิจารณา ว่า คนๆ หนึ่ง ประกอบอยู่ด้วย
ส่วน ๕ ส่วน คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละส่วนๆ ก็ไม่ใช่
ตัวตน ของมันเอง เป็นเพียงสังขาร ที่เปลี่ยนแปลง ไปตามเหตุ ตามปัจจัย
ดังที่กล่าวแล้วในตอน อันว่าด้วย สังขาร เมื่อแต่ละส่วน ไม่ใช่ตน แล้ว
ทั้งหมดนั้น จะเป็นตน ไปได้อย่างไร แม้ว่า จะมีลักษณะอาการแปลก
ประหลาด หรือ วิจิตร ประณีต ยิ่งไปกว่าเดิมมาก ที่ว่า แต่ละส่วนๆ
ไม่ใช่ตัวตนนั้น ท่านสอนให้พิจารณาว่า แต่ละส่วนๆ ย่อมเป็นไปเพื่อ
อาพาธ คือ การบุบสลาย ชำรุด ทรุดโทรม ถ้าแต่ละส่วน เป็นตัวตน
แท้จริงแล้ว มันจะไม่ควร ชำรุด ทรุดโทรม หรือ เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
เพราะเหตุที่มีการชำรุดทรุดโทรม หรือ เปลี่ยนแปลงเป็นเป็นอย่างอื่น
เพราะเหตุที่มีการ ชำรุดทรุดโทรม ไม่อยู่ในอำนาจ ในตัวของ
มันเอง จึงถือว่า มันไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง คือ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง
มีแต่ตัวกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างหนึ่ง นี่เรียกว่า
พิจารณา โดยถือเอาการชำรุด ทรุดโทรม หรือที่เรียกว่า อาพาธ
เป็นหลัก อีกอย่างหนึ่ง ให้เริ่มพิจาณาโดยเอาความเปลี่ยนแปลง
เป็นหลัก เช่น ตั้งปัญหาว่า ส่วนประกอบ ส่วนหนึ่งๆ ที่กล่าวนั้น
เป็นของไม่เที่ยง ถ้าไม่เที่ยงจะเป็นสุขหรือทุกข์ ถ้าเป็นทุกข์
เพราะความไม่เที่ยง แปรปรวน เป็นธรรมดา จะถือว่า มันเป็นเรา หรือ
เป็นของเราได้อย่างไรกัน เพราะ มันมีลักษณะเหมือนของที่ฝันเห็น
ครั้นตื่นขึ้นมาก็หายไป หรือเหมือนกับของที่ยืมเขามา
ไม่เท่าไรก็ต้องส่งคืน หรือเหมือนกับสิ่งที่พบเข้ากลางทาง เสร็จแล้ว
ก็ต้องเดินเลยไป ทิ้งมันไว้ที่ตรงนั้น ดังนี้ เป็นต้น รวมความแล้ว
ก็คือ มีลักษณะ แห่งการที่ใครๆไม่อาจจะเข้าไป เป็นเจ้าของได้ และเป็น
เจ้าของตัวมันเอง ก็ไม่ได้ จึงได้เรียกว่า "อนัตตา" ดังนี้