[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 18:00:30 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: Moving ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ก็ยังเป็นเพียงแค่ ‘คนธรรมดา  (อ่าน 281 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Linux Linux
เวบเบราเซอร์:
Chrome 120.0.0.0 Chrome 120.0.0.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 12 มกราคม 2567 09:13:30 »






ด้วยเลือด หยาดเหงื่อ คราบน้ำตา : Moving ซีรีส์เกาหลีที่ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ก็ยังเป็นเพียงแค่ ‘คนธรรมดา

เวลานี้ คงไม่มีคอซีรีส์เกาหลีคนไหนที่ไม่รู้จัก Moving ซีรีส์แนวดราม่า/แอ็กชัน/แฟนตาซีที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ที่ต้องคอยหลบซ่อนจากสังคม ทั้งยังต้องคอยปกป้องครอบครัวของตน ซึ่งด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจจากโปรดักชันที่ทุ่มทุนแบบอลังการงานสร้าง พลังทางการแสดงของดาราหลากรุ่น และเรื่องเล่าอันเข้มข้นซ้อนปม ก็ทำให้ตัวซีรีส์มีผู้คอยติดตามรับชมไปทั่วโลก กลายเป็นซีรีส์เกาหลีที่มีคนดูมากที่สุดใน 7 วันแรกของช่อง Disney+ จนถึงขั้นถูกขนานนามว่าเป็น ‘Squid Game ของปีนี้’ กันเลยทีเดียว

• สิ่งแรกที่โดดเด้งออกมาจนต้องกล่าวถึงเป็นลำดับแรก ก็คืองานออกแบบโปรดักชันที่ทุ่มทุนสร้างอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ก็เพราะเรื่องราวของ Moving ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อดังนั้น เล่าถึงกลุ่ม ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ในเกาหลีที่ต้องหลบซ่อน ‘ตัวตนที่แท้จริงอันแตกต่าง’ ของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้ และยังต้องคอยปกป้องสมาชิกในครอบครัวของตน ซึ่งว่ากันว่ามีการลงทุนในซีซั่นนี้อยู่ที่ประมาณ 50,000-60,000 ล้านวอนเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีการใช้ซีจีมากกว่า 7,000 ชอต โดยเป็นผลงานการสร้างสรรค์จากบริษัทซีจีชั้นนำหลายแห่งใน 9 ประเทศทั่วโลก

• อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้งานโปรดักชัน ก็คือพลังของทีมนักแสดงที่ประสานมือแท็กทีมกันมาร่วมถ่ายทอดตัวละครต่างๆ ชนิดที่เรียกได้ว่า ‘ไม่มีใครยอมใคร’ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่ที่ถ่ายทอด ‘ตัวละครผู้ใหญ่’ ที่หลากหลาย ออกมาได้อย่างเปี่ยมมิติจนเราอยากยกนิ้วให้ หรือรุ่นเยาว์ที่ก็คว้าหัวใจของผู้ชมเอาไว้ได้ ด้วยค่าที่พวกเขาสามารถถ่ายทอดความน่ารัก การตั้งคำถามต่อชีวิต และความน่าเห็นใจของตัวละครรุ่นลูกออกมาได้ค่อนข้างหมดจดงดงาม

• แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำให้ Moving กลายมาเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ทุกคนต่างพูดถึงในปีนี้ ก็คือ เรื่องเล่าของมันที่ว่าด้วยการเลือกทางเดินชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ แต่ละคน ซึ่งเป็นการใช้ขนบ ‘การปิดบังตัวตน แต่ก็ยังต้องต่อสู้เพื่อคนรอบข้าง’ ของเรื่องเล่าแบบ ‘ซุปเปอร์ฮีโร่’ มาเป็นเครื่องมือถ่ายทอดประเด็นสำคัญๆ ที่ซุกซ่อนเอาไว้มากมาย – โดยยังสามารถรับชม Moving ได้ทาง Disney+ Hotstar ทุกวันพุธ (ความยาว 20 ตอนจบ)




<a href="https://www.youtube.com/v//Y7TV9FZpgMg" target="_blank">https://www.youtube.com/v//Y7TV9FZpgMg</a> 

https://youtu.be/Y7TV9FZpgMg?si=EG8Hzd7VGQLXNwcc


สำหรับคอซีรีส์เกาหลีในช่วงนี้ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Moving ซีรีส์แนวดราม่า/แอ็กชัน/แฟนตาซีที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ที่ต้องคอยหลบซ่อนจากสังคม ทั้งยังต้องคอยปกป้องครอบครัวของตน ซึ่งด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจจากโปรดักชันที่ทุ่มทุนแบบอลังการงานสร้าง พลังทางการแสดงของดาราหลากรุ่น และเรื่องเล่าอันเข้มข้นซ้อนปม ก็ทำให้ตัวซีรีส์มีผู้คอยติดตามรับชมไปทั่วโลก กลายเป็นซีรีส์เกาหลีที่มีคนดูมากที่สุดใน 7 วันแรกของช่อง Disney+ จนถึงขั้นถูกขนานนามว่าเป็น ‘Squid Game ของปีนี้’ กันเลยทีเดียว

ขณะที่เขียนบทความชิ้นนี้ ซีรีส์ได้ดำเนินมาถึงตอนที่ 13 แล้ว (จากทั้งหมด 20 ตอน) และความสนุกก็ดูจะทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกตอน เราจึงอยากชวนคุณมาสำรวจว่า เหตุใด Moving จึงสามารถครองใจผู้ชมได้มาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าซีรีส์จะยังไม่สามารถคาดเดาไปถึงบทสรุปสุดท้ายได้ก็ตาม



งานโปรดักชันทุนหนา ที่พาเราไปสัมผัสฉากหลังย้อนยุค และงานซีจีสุดเนี้ยบแบบเกาหลีใต้

สิ่งแรกที่โดดเด้งออกมาจนต้องกล่าวถึงเป็นลำดับแรก ก็คืองานออกแบบโปรดักชันที่ทุ่มทุนสร้างอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ก็เพราะเรื่องราวของ Moving ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อดังนั้น เล่าถึงกลุ่ม ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ในเกาหลีที่ต้องหลบซ่อน ‘ตัวตนที่แท้จริงอันแตกต่าง’ ของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้ และยังต้องคอยปกป้องสมาชิกในครอบครัวของตน โดยเฉพาะลูกๆ ที่ส่วนใหญ่ก็มักรับเอา ‘พลังพิเศษ’ ของพ่อหรือแม่ไปด้วย ให้รอดพ้นจากกลุ่มคนที่เข้ามาคุกคามพวกเขาด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งก็รวมถึงสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ ที่เคยเป็นสถานที่ทำงานแบบลับๆ ของพวกเขาในอดีต

และเมื่อการบอกเล่าถึงชีวิตครอบครัวของคนเหล่านี้ ต้องถูกเท้าความย้อนไปถึงช่วงยุค 80 ก่อนจะค่อยๆ เล่าผ่านแต่ละช่วงเวลา และย้อนกลับมายังยุคปัจจุบัน จึงทำให้ Moving ต้องมีการแสดงภาพบริบททางสังคมของเกาหลีในเรื่องออกมาให้ ‘สมจริง’ มากที่สุด เช่น การถ่ายทอดภาพผู้คนและบรรยากาศของออฟฟิศ ผับบาร์ หรือชุมชนในยุคต่างๆ ขึ้นมา โดยมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจะได้เห็นเฉพาะในช่วงเวลานั้นปรากฏอยู่ และการสร้างฉากแอ็กชันที่มีทั้งการใช้ซีจีหรือเทคนิคพิเศษทางภาพ และการออกแบบการถ่ายทำที่ ‘บ้าพลัง’ จนผู้ชมต้องอ้าปากค้าง

ด้วยความที่ต้องสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมา Moving จึงถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่มีการใช้ทุนสร้างมหาศาลเกินมาตรฐานทั่วไปของซีรีส์เกาหลี ซึ่งว่ากันว่ามีการลงทุนในซีซั่นนี้อยู่ที่ประมาณ 50,000-60,000 ล้านวอนเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีการใช้ซีจีมากกว่า 7,000 ชอต โดยเป็นผลงานการสร้างสรรค์จากบริษัทซีจีชั้นนำหลายแห่งใน 9 ประเทศทั่วโลก



ทีมนักแสดงต่างช่วงวัย ที่ช่วยเสริมพลังให้กับ ‘ตัวละครเหนือมนุษย์’ ผู้มีความซับซ้อน

อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้งานโปรดักชัน ก็คือพลังของทีมนักแสดงที่ประสานมือแท็กทีมกันมาร่วมถ่ายทอดตัวละครต่างๆ ชนิดที่เรียกได้ว่า ‘ไม่มีใครยอมใคร’ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่ หรือรุ่นเยาว์

โดยกลุ่มนักแสดงผู้ถ่ายทอด ‘ตัวละครผู้ใหญ่’ ที่หลากหลาย ออกมาได้อย่างเปี่ยมมิติจนเราอยากยกนิ้วให้ ก็เช่น ฮันฮโยจู ที่รับบทเป็น อีมีฮยอน คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทำร้านขายทงคัตสึไปพร้อมกับดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ซึ่งแท้จริงแล้ว เธอมีประสาทสัมผัสที่เป็นเลิศในทุกด้าน

รยูซึงรยง ที่รับบทเป็น จางจูวอน คุณพ่อผู้เพิ่งเปิดกิจการร้านขายไก่ทอดเพื่อหาเลี้ยงลูกสาว ที่เบื้องหลังนั้นมีร่างกายที่สามารถรักษาตัวเองได้ในแทบจะทันที

และ โจอินซอง นักแสดงขวัญใจสาวๆ ผู้ร้างลาจอซีรีส์ไปเกือบสิบปี ที่รับบทเป็น คิมดูชิก สามีของอีมีฮยอนผู้หายสาบสูญไปจากครอบครัวด้วยสาเหตุบางประการ ซึ่งเขาเป็นผู้ที่พุ่งทะยานไปบนฟ้าได้ด้วยความเร็วสูง




ขณะที่กลุ่มนักแสดงวัยเยาว์ ก็คว้าหัวใจของผู้ชมเอาไว้ได้ ด้วยค่าที่พวกเขาสามารถถ่ายทอดความน่ารัก การตั้งคำถามต่อชีวิต และความน่าเห็นใจของตัวละครรุ่นลูกออกมาได้ค่อนข้างหมดจดงดงาม

ทั้ง อีจองฮา ที่ต้องตั้งใจเพิ่มน้ำหนักถึง 30 กิโลกรัมเพื่อรับบท คิมบงซอก ลูกชายผู้ว่านอนสอนง่ายของอีมีฮยอนที่มีความสามารถพิเศษในการลอยตัวได้แบบพ่อ แต่ต้องคอยเก็บกดมันเอาไว้ด้วยการเพิ่มน้ำหนักตัวและถ่วงด้วยอุปกรณ์เสริมตามคำสอนของแม่ผู้คอยเป็นห่วงเป็นใย จนเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังใช้ชีวิตอย่างไร้อิสระมากขึ้นไปทุกขณะ

โกยุนจอง ในบท จางฮีซู ลูกสาวผู้มุ่งมั่นของจางจูวอนที่มีร่างกายที่สามารถรักษาตัวเองได้เหมือนพ่อ ซึ่งช่วยให้เธอรอดพ้นจากอันตรายต่างๆ เรื่อยมา นับจากอุบัติเหตุรถคว่ำในตอนเด็กที่ทำให้เธอต้องเสียแม่ไป มาจนถึงเหตุการณ์ที่เธอต้องถูกรุมทำร้ายจากนักเรียนสิบกว่าคนที่มาบูลลี่เธอในโรงเรียนเก่า แต่กลับ ‘ไม่เป็นอะไรเลย’ จนเพื่อนๆ ร่วมชั้นพากันหวาดกลัว

หรือจะเป็น คิมโดฮุน ในบท อีคังฮุน หัวหน้าชั้นของคิมบงซอกและจางฮีซู ที่แม้เราจะยังไม่ได้รู้ถึงภูมิหลังครอบครัวของเขามากนัก แต่ก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่มีพลังพิเศษในแง่ของความเร็วและพละกำลัง ซึ่งหากซีรีส์ไม่ได้มีเส้นเรื่องเสริมอื่นใด พ่อที่ดูเหมือนจะมีภาวะออทิสติกของเขา น่าจะมีส่วนเกี่ยวพันกับสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติแบบพ่อแม่ของเด็กคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน – รวมถึงตัวเขาเองที่ก็น่าจะมีปมทางใจบางอย่างที่ผู้ชมยังไม่รู้แน่ชัด ซึ่งเราคงต้องติดตามกันต่อไป




เรื่องเล่าสุดสะเทือนอารมณ์ของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ที่ยังเป็นเพียงแค่ ‘คนธรรมดา’ เหมือนกับเรา

แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำให้ Moving กลายมาเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ทุกคนต่างพูดถึงในปีนี้ ก็คือ เรื่องเล่าของมันที่ว่าด้วยการเลือกทางเดินชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ แต่ละคน ซึ่งเป็นการใช้ขนบ ‘การปิดบังตัวตน แต่ก็ยังต้องต่อสู้เพื่อคนรอบข้าง’ ของเรื่องเล่าแบบ ‘ซุปเปอร์ฮีโร่’ มาเป็นเครื่องมือถ่ายทอดประเด็นสำคัญๆ ที่ซุกซ่อนเอาไว้มากมาย

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการก้าวข้ามผ่านวัยอันยากลำบากของวัยรุ่น อย่างการค้นหาตัวเอง หรือการรับมือกับมิตรภาพ ความรัก และการกลั่นแกล้งรังแกกันภายในสังคมโรงเรียน, การสู้ทนเพื่อเติบโตผ่านความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักหรือคนในครอบครัวเดียวกัน ที่ถึงอย่างไรก็ต้องมีทั้งด้านดีงามและเลวร้ายผ่านเข้ามาให้ได้เผชิญหน้าและแก้ปัญหา หรือแม้กระทั่งเรื่องใหญ่ๆ อย่างการที่ประชาชนต้องถูกคุกคามจากระบบสังคมและกลไกของรัฐอำนาจนิยม ซึ่งไม่ควรถูกปล่อยให้เป็นเรื่องปกติธรรมดาอีกต่อไป

โดยสิ่งเหล่านี้ถูกขับเน้นให้เราเห็นอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งในระหว่างที่บางตัวละครกำลังออกปฏิบัติการ ‘เพื่อชาติ’ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงไหม, บางตัวละครกำลังปรับตัวให้เข้ากับการมีลูก มีครอบครัว และบางตัวละครกำลังค้นพบสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจของตน และผู้คนรอบข้าง ซึ่งทำให้พวกเขาต้องแลกมาด้วยการสูญเสียเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อ และทิ้งเอาไว้แค่เพียงคราบน้ำตา





อย่างไรก็ดี สิ่งที่ช่วยให้เรื่องราวหลากมิติของซีรีส์ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือการแบ่งโครงสร้างอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน

โดยใน 7 ตอนแรก ที่ปล่อยฉายพร้อมกันทีเดียวในวันที่ 9 สิงหาคม เป็นการเล่าถึงเรื่องราวในยุคปัจจุบันของเหล่าลูกๆ ของกลุ่มผู้มีพลังพิเศษอย่างคิมบงซอก จางฮีซู และอีคังฮุน ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังดูซีรีส์ว่าด้วยมิตรภาพและชีวิตรักวัยเรียน ที่ต้องดีลกับ ‘พลัง’ ของตน และความสัมพันธ์รอบข้างไปพร้อมๆ กัน

และก็ยังมีเส้นเรื่องอื่นๆ มาคอยเล่าสลับกันไปมาเพื่อตัดเลี่ยนอยู่เป็นระยะ ทั้งเส้นเรื่องแนวแอ็กชันไล่ล่าที่ว่าด้วย แฟรงก์ (รับบทโดย รยูซึงบอม) หนุ่มเกาหลีที่เคยไปเติบโตและถูกฝึกให้กลายเป็น ‘นักล่า’ ในอเมริกา ซึ่งเป็นผู้มีพลังพิเศษแบบเดียวกับจางจูวอนที่ถูกหน่วยงานสาขาต่างชาติส่งมากำจัดเหล่า ‘อดีตสมาชิกที่เกษียณแล้ว’ ของสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ และเส้นเรื่องแนวดราม่าที่พูดถึงชีวิตที่ค่อยๆ ดิ่งลงเหว ทั้งการงาน และความสัมพันธ์กับพ่อ ของคนขับรถประจำทางอย่าง จอนกเยดู (ชาแทฮยอน) ซึ่งแท้จริงแล้วเป็น ‘มนุษย์ไฟฟ้า’ และต้องการล้างแค้นแฟรงก์ที่เป็นคน ‘เก็บ’ พ่อของเขา



ขณะที่ในตอนที่ 8-13 ก็เป็นการย้อนกลับไปเล่าถึงชีวิตของฝั่งพ่อแม่ของเด็กๆ เหล่านี้ นับจากยุค 80 เป็นต้นมา ซึ่งแต่ละตอนก็มีส่วนผสมของความหวานแบบซีรีส์รักโรแมนติกชวนให้อมยิ้ม ความขมแบบซีรีส์ดราม่าพาน้ำตาไหล และความเผ็ดแบบซีรีส์แอ็กชันเลือดสาด ที่แตกต่างรสชาติกันออกไป

โดยตอนที่ 8-9 เป็นเรื่องสัมพันธ์รักที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างอีมีฮยอนกับคิมดูชิก พ่อแม่ของคิมบงซอก ในวันที่พวกเขายังเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจลับให้กับสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งบรรยากาศในตอนนี้แทบจะไม่ต่างอะไรกับหนังรักโรแมนติกดีๆ สักเรื่อง

ตอนที่ 10-11 เป็นเรื่องเส้นทางชีวิตของจางจูวอน พ่อจางฮีซู ที่ชีวิตต้องพลิกผันจากการเป็นสมาชิกของแก๊งอันธพาล การพบเจอว่าที่แม่ของลูกที่ในตอนนั้นยังเป็นเพียง ‘สาวขายกาแฟ’ ที่คนดูถูก มาสู่การเป็นคู่หูของคิมดูชิกในสำนักงานฯ โดยมีไฮไลต์อยู่ที่ฉากลองเทคสุดมันในระหว่างที่เขาต้องต่อสู้กับกองทัพอันธพาลยกแก๊ง และสามารถจัดการพวกมันได้ทั้งหมดเพียงลำพัง ซึ่งให้อารมณ์สุดเดือดแบบหนัง Oldboy เลยทีเดียว

และตอนที่ 12-13 เป็นเรื่องชีวิตครอบครัวถัดจากนั้นของพ่อแม่คิมบงซอก และพ่อจางฮีซู ที่ต่างฝ่ายต่างต้องรับมือกับอุปสรรคยากๆ ทั้งเรื่องครอบครัว และหน้าที่การงาน ซึ่งเราจะได้เห็นอีมีฮยอนและคิมดูชิกค่อยๆ กลายเป็นพ่อคนแม่คนที่อยู่กันอย่างสุขสงบ แต่ก็ยังหวาดระแวงเรื่องความปลอดภัยของลูก และเห็นชายผู้มีร่างกายที่ทนทานได้ทุกสิ่งอย่างจางจูวอน ต้องร่ำไห้หลังจากที่ต้องสูญเสียผู้หญิงที่ตนรักไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนต้องเหลือกันแค่สองคนพ่อลูก

– ซึ่งเราก็เชื่อว่าอีก 7 ตอนที่เหลือจะต้องทั้งเข้มข้นและสะเทือนใจไม่แพ้กัน ก่อนที่ซีรีส์จะพาเราไปสู่บทสรุปในซีซั่นแรก



Moving ช่วยตอกย้ำสารที่สำคัญมากๆ อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การเป็น ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ หรือเป็น ‘คนที่แตกต่าง’ นั้น ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็น ‘ตัวประหลาด’ อย่างที่ใครคนอื่นชอบแปะป้าย หากแต่เราจะเป็นเช่นนั้นได้ ก็ต่อเมื่อเรากลายเป็นคนที่ไร้ซึ่ง ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ ในตัวเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ฉะนั้นแล้ว Moving จึงไม่ได้เป็นเพียงซีรีส์ที่จะทำให้เราได้ระทึกใจไปกับฉากแอ็กชันและพลังพิเศษ น้ำตาไหลไปกับสารพันดราม่า หรือหัวเราะร่าไปกับความสัมพันธ์น่ารักๆ เท่านั้น เพราะมันยังช่วยตอกย้ำสารที่สำคัญมากๆ อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การเป็น ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ หรือเป็น ‘คนที่แตกต่าง’ นั้น ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็น ‘ตัวประหลาด’ อย่างที่ใครคนอื่นชอบแปะป้าย หากแต่เราจะเป็นเช่นนั้นได้ ก็ต่อเมื่อเรากลายเป็นคนที่ไร้ซึ่ง ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ ในตัวเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เพราะเราทุกคนล้วนต้องการใครสักคนที่จะมาคอยอยู่เคียงข้าง เพื่อฝ่าฟันอุปสรรคและปัญหาน้อยใหญ่ไปด้วยกัน – ไม่ว่าเราจะมีสถานะเป็นผู้มีพลังพิเศษ หรือคนธรรมดาในสายตาของใครก็ตาม


จาก https://plus.thairath.co.th/topic/subculture/103669



จาก http://www.tairomdham.net/index.php/topic,16262.0.html

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.611 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 28 พฤศจิกายน 2567 18:33:37