[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
23 พฤศจิกายน 2567 14:31:30 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ชาวแอตแลนติสเกิดใหม่ กับ หายนะโลก  (อ่าน 6634 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 08 มิถุนายน 2553 17:52:21 »

[ บทความด้านล่างนี้โพสท์โดย อ.มดเอ็กซ์ คัดลอกมาจากเวบเก่า ]



 
 
ชาวแอตแลนติสเกิดใหม่ กับ หายนะโลก
 
( 5.1 ) ภิกษุรูปนั้นได้เล่าให้ผมฟังว่า จักรวาล เกิดจากเส้นแสง ( ศัพธ์ที่ท่านบัญญัติเอง ) ตัว ' เส้นแสง ' นี้ ไม่รู้ว่ามีต้นกำเนิดที่ไหน มันไม่มีจุดเริ่มต้นที่ไหนรู้แต่ว่ามันมีอยู่เต็มไปหมดเลยทั่วทั้งจักรวาล มนุษย์ต่างดาวค้นพบ ' เส้นแสง ' นี้ได้ จึงเดินทางทั่วทั้งจักรวาลได้ ผมถามท่านว่าจักรวาลกำเนิดจากการระเบิดที่เรีบกว่า ' บิ๊กแบง ' ไม่ใช่หรือครับ ท่านปฏิเสธว่าไม่ใช่ ( ต่อมาภายหลัง เมื่อผมได้ไป อ่านเอกสารเกี่ยวกับ UFO และมนุษยต่างดาว ผมก็พบข้อความที่กล่าวถึงมนุษย์ต่างดาวที่เดินทางมาพบกับมนุษย์และก็ปฏิเสธ ทฤษฎีบิ๊กแบงว่าเป็นกำเนิดจักรวาลด้วยเช่นกัน )

" ถ้านักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาเรื่องของพลัง ( งาน ) เรื่องของการทรง การเคลื่อนตัวและการเปลี่ยนแปลงของพลังจากหยาบเป็นละเอียด เป็นถี่ สักวันหนึ่งพวกเขาก็คงจะเจอเส้นแสง พอเจอเส้นแสงพวกเขาก็จะรู้ว่า กำเนิดจักรวาลเป็นอย่างไร รู้ว่าการเดินทางของมนุษย์ ต่างดาวเป็นอย่างไร "

" ที่ท่านบอกเรื่องกำเนิดปิรามิดนั้นเป็นอย่างไรครับ "

" พวกชาวแอตแลนติสที่รอดตาย เขาใช้แรงดึงดูดระหว่างดวงจันทร์และดวงดาวอื่น ๆ มาเป็นแรงดึงก้อนหินขึ้นไปในอากาศ ไปตั้งเรียงเป็นชั้น ๆ "

" คนสมัยนี้ทำเช่นนั้นไม่ได้หรือครับ "

" ทำไม่ได้ ต้องใช้พลังจิตดึงก้อนหินให้ลอยแล้วใช้พลังแรงเหวี่ยงต่าง ๆ ปิรามิดนั้นเขาใช้แรงหักมุมสามเหลี่ยมแล้วดันเข้าไป อยู่ตรงกลางแล้วก็หักศอกลงมา ... ช่าวแอตแลนติสสมัยนั้นมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่สูงมาก และยังมีการผนวกพลังจิตเข้าช่วย แต่เมื่อใดที่พวกเขาค้นคว้าเรื่องแสงพวกเขาก็จะเริ่มศึกษาเรื่องการรวมพลังจิตเข้ากับวัตถุ "

" ผมอยากให้ท่านเล่าเรื่องบทบาทของชาวแอตแลนติสในอดีตกาล รวมทั้งบทบาทที่จะในอนาคตข้างหน้านี้ได้มั้ยครับ "

ผมจะขอขยายความเกี่ยวกับเรื่องราวของแอตแลนติสให้ท่านผู้อ่านที่ยังไม่ทราบภูมิหลังได้รับทราบก่อนที่จะมาฟังคำอธิบาย จากภิกษุรูปนั้นกันดังนี้



*** @@@ ***
 
( 5.2 ) อาจจะมีพวกเราหลายคนที่ยังไม่ทราบว่า โลกเรานี้เคยมีอารยธรรมที่รุ่งเรืองยิ่งใหญ่ดำรงอยู่เมื่อหลายหมื่นปีก่อนและเป็นอารยธรรม แรกสุดของมนุษยชาติที่เป็นบ่อเกิดของอารยธรรมรุ่นหลัง ๆ ที่พวกเรารู้จักกันดีด้วย แต่อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งแรกของโลกใบนี้หรือ " ดินแดนแอตแลนติส " แห่งนี้กลับต้องล่มสลายจมหายลงไปใต้สมุทรภายในวันเดียวคืนเดียวเท่านั้น อันเกิดจากภัยธรรมชาติที่มาจาก แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และลมพายุไต้ฝุ่น ( น้ำท่วม ) ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน

เรื่องรางของ ' แอตแลนติส ' ได้ถูกทำให้แพร่หลายสู่วงกว้างตั้งแต่เมื่อสองพันปีกว่าปีก่อนก็เพราะพลาโตนักปราชญ์ชาวกรีกได้บันทึก เอาไว้ โดยพลาโตได้ทราบเรื่องราวของแอตแลนติสมาจากครีเทอัสผู้เป็นลุงของพลาโตอีกทีหนึ่ง ครีเทอัสได้เล่าเรื่องอันแปลกแต่จริง ให้พลาโตฟังเกี่ยวกับการเดินทางของโซลอน นักปราชญ์และพ่อค้านักผจญภัยชาวเอเธนส์ ซึ่งได้เคยเดินทางไปอียิปต์มาแล้ว เมื่อปี 571 ก่อนคริสต์กาล และที่อียิปต์นี้เองที่โซลอนได้รับรู้ เรื่องราวอันแสนประหลาดจากนักบวชแห่งเมืองซาอิสแถบบริเวณดินดอนสามเหลี่ยม ปากแม่น้ำไนล์อีกทีหนึ่งว่า

" ... เมื่อประมาณ 2 - 3 หมื่นปีมาแล้ว มีเกาะทวีปแห่งหนึ่งอยู่ถัดจาก ' เสาค้ำฟ้าของเฮอคิวลิส ' ( ชื่อเดิมของช่องแคบยิบรอลต้า ในปัจจุบัน ) เกาะแห่งนี้มีชื่อว่าแอตแลนติส เป็นศูนย์กลางแห่งอาณาจักรอันยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองซึ่งเต็มไปด้วยประชาชนผู้มั่งคั่ง และมีอารยธรรมอันสูงส่ง ทั้งเมืองดารดาษไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่สร้างด้วยทองคำอันเหลืองอร่ามระยิบระยับ จัดว่าเป็นเกาะทวีปที่ใหญ่ กว่าเอเชียไมเนอร์และลิเบีย รวมกันเสียอีก "

" ... เกาะแอตแลนติส สามารถติดต่อกับแผ่นดินอื่น ๆ ได้โดยทางเรือ แอตแลนติสในยุคนั้นจัดได้ว่าเป็น ' เมืองสวรรค์บนพื้นพิภพ ' ที่ล้อมรอบด้วยทะเลอันกว้างใหญ่เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยที่ราบอันสมบูรณ์ มีแม่น้ำลำธารต่าง ๆ มากมายทั้งภูเขาสูงอันสลับซับซ้อน ลดหลั่นกันลงมาอีกเป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ภายใต้พื้นดินส่วนใหญ่ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ล้ำค่านานาชนิด ด้วยแสนยานุภาพ ของกองทัพเรืออันยิ่งใหญ่ของชาวแอตแลนติส ทำให้อาณาจักรแห่งนี้สามารถขยายอำนาจและอิทธิพลแผ่ขยายไปจนถึงลิเบีย อาณาเขตเขตตอนเหนือของอียิปต์และไกลออกไปถึงยุโรปจรดกับดินแดนเทอรีเนีย ( ตอนเหนือของอิตาลีในปัจจุบัน ) "

" ... แต่แล้วจู่ ๆ อาณาจักรอันยิ่งใหญ่และเกรียงไกรแห่งนี้ ก็กลับจมลงหายลงไปในใต้พื้นทะเลลึกเพียงชั่ววันและคืนเดียวเท่านั้น โดยมีสาเหตุมาจากการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดและอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในโลกที่ทำให้กลุ่มชาวแอตแลนติสผู้เกรียงไกร ถูกกลืนชีวิตไปจนเกือบหมดสิ้น "

กล่าวกันว่าชาวแอตแลนติสจำนวนน้อยที่สามารถรอดชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนั้นไปได้อย่างหวุดหวิด ต่อมาได้อพยพไปอยู่ที่อื่น ส่วนมุ่งสู่ดินแดนทิศตะวันตกกลายมาเป็นบรรพบุรุษของพวกอินเดียน ชาวอินคา และชาวมายา เป็นต้น ส่วนที่มุ่งสู่ดินแดนทิศตะวันออก ก็กลายเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เผ่าโครมันยองซึ่งมีร่างกายสูงใหญ่ บึกบึน กระดูกข้อมือข้อเท้าใหญ่ มีกล้ามเนื้อแข็งแร็งเหมือน กันทุกประการ มิหนำซ้ำคนเหล่านี้ที่ต่างอยู่อาศัยอยู่คนละฟากฟ้า แต่ต่างก็มีตำนานที่เล่าสืบกันมาเหมือน ๆ กันว่าเคยมีดินแดนแห่งหนึ่ง ที่เจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมาเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ที่ทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของบรรพบุรุษของพวกเขาจนย่อยยับ

นอกจากนี้ ยังเป็นที่น่าสังเกตว่าชนชาติต่าง ๆ มักมีตำนานเกี่ยวกับ ' น้ำท่วมโลก ' เหมือน ๆ กันและส่วนใหญ่มักจะเล่าคล้าย ๆ กันว่า มีผู้รอดชีวิตเป็นผู้เริ่มต้นออกไปแยกย้ายสร้างอาณาจักรใหม่แทนอาณาจักรเดิมที่ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น
 
*** @@@ ***


( 5.3 ) ภิกษุนั้นได้อธิบายถึงบทบาทของชาวแอตแลนติสในอดีตกาล รวมทั้งบทบาทที่จะมีในอนาคตข้างหน้าให้ผมฟังดังต่อไปนี้

" ... ชาวแอตแลนติสเดี้ยวนี้ก็มาเกิดกันเป็นพวกนักวิทยาศาสตร์ที่วิวัฒนาการสมัยใหม่ ที่เขาเกิดขึ้นใหม่นี้เขาก็ยังมีความทรงจำในอดีต อันไกลโพ้นอยู่ ... ในอดีตชาวแอตแลนติสสมัยนั้นก็มีความเจริญรุ่งเรืองไม่แพ้กับสมัยปัจจุบันนี้ แต่ว่าวิวัฒนาการของมนุษย์นี่เมื่อมาถึงจุด สูงสุดก็เอาวิวัฒนาการนั้นมาทำลายกัน เมื่อวิวัฒนาการถูกทำลาย ความสูงของมนุษย์นั้นก็ดับลงไป ... วิวัฒนาการสูงสุดของมนุษย์คือ การได้ค้นพบเรื่องแสง เมื่อค้นพบก็นำมาทำลายกัน แสงนี้เป็นต้นกำเนิดของวัตถุ ร่างกายเราก็ดีหรือวัตถุในโลกมันกำเนิดมาจากแสงทั้งสิ้น ถ้าเมื่อใดมนุษย์นี้สามารถไปรู้ความจริงในข้อนี้เรื่องแสงนี้ก็จะนำมาใช้ในการทำลาย เพราะมนุษย์ส่วนมากมีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ก็เลยเอาโทสะมาทำลายกัน เมื่อทำลายแล้วความเสื่อมสลายทางวัตถุก็เกิดขึ้น "

" ... "

" อย่างที่เกิดขึ้นในสมัยแอตแลนติสนั้น ตอนนั้นมนุษย์ก้มีความก้าวหน้าทางวิวัฒนาการมากจนสามารถคิดค้นเรื่องแสงได้แล้ว ทีนี้ตอนแรก ก็ใช้แสงให้มันเกิดประโยชน์ แต่พอนาน ๆ เข้าก็มีชาวแอตแลนติสบางกลุ่มนำเอามาใช้เป็นอาวุธ ในขณะเดียวกันก้มีชาวแอตแลนติสอีกกลุ่ม ที่ศึกษาเรื่องจิตวิญญาณจนรู้เรื่องอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับแอตแลนติสนั้น โดยมีอยู่คนหนึ่งที่ได้เตือนพวกเพื่อน ๆ เขาในสมัยแอตแลนติสนั้นว่า ... อีกไม่นานจะเกิดภัยพิบัติร้ายแรง เกาะแอตแลนติสต้องถูกถล่ม แล้วน้ำจะท่วมเกาะ ... แต่คนอื่นส่วนใหญ่เขาไม่เชื่อ ที่คนเขาไม่เชื่อใน จุดนี้เพราะว่าวิวัฒนาการในสมัยนั้นมันก้าวหน้ามาก อย่างไรก็ดีก็ยังมีคนกลุ่มน้อยที่เชื่อในคำเตือนของเขาผู้นั้น จึงผละหนีออกจาก เมืองแอตแลนติสมาอยู่ตามที่ราบสูงในที่ไกล ๆ ที่ไม่ท่วมน้ำง่าย แล้วในที่สุดก็มาอาศัยอยู่กับพวกคนพื้นเมืองตามทีค่คุณโยมว่าเมื่อวานนี้ ... "

" ครับ "

" คราวนี้นะ เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ หายนะของเกาะแอตแลนติส มันก็เกิดขึ้นจริง ๆ พวกเขาก็เอาแสงไปทำลายกันเอง เสร็จแล้วก็เกิดแผ่นดิน ไหวแยกแล้วก็ภูเขาไฟระเบิด อะไรต่าง ๆ เกาะแอตแลนติสก็จมน้ำไป แล้วทีนี้ทวีปนี่ก็เคลื่อนตัวมาชนกัน คือมหาสมุทรแอตแลนติสตอน นี้เป็นมหาสมุทร แต่เมื่อก่อนมันเป็นแผ่นดิน แต่แผ่นดินมันเคลื่อนตัว มันแยกตัวแล้วมาชนกันเป็นภูเขาหิมาลัย ซึ่งรอยต่อของมันหลังจาก ภูเขาหิมาลัยนี่มันจะมีรอยแยกพาดผ่านที่จังหวัดกาญจนบุรีของเรา ถ้าเกิดมีการเคลื่อนตัวของวัตถุหรือการเคลื่อนตัวของภูเขาไฟ ก็จะเป็น อันตรายต่อประเทศไทยในจุดนี้เหมือนกัน "

" ... "

" พวกแอตแลนติสนั้นส่วนใหญ่เสียชีวิตหมดตอนที่เกาะจมน้ำและวิวัฒนาการต่าง ๆ ก็พลอยล่มสลายตามไปด้วย พวกทีรอดออกไปส่วน มากก็ไม่ได้เอาอะไรออกมา แต่ความรู้พวกเขามีก็เอามาสร้างพวกพีระมิดบ้างสฟิงค์บ้าง แต่ชาวแอตแลนติสที่ออกมาส่วนใหญ่จะศึกษาทางจิต เมื่อเขาออกมาลูกหลานของพวกเขาไปแต่งงานกับคนพื้นเมือง ความรู้ศาสตร์เกี่ยวกับทางจิตวิญญาณของพวกเขานี่ก็ลดต่ำลง จนกลายเหมือนมนุษย์ธรรมดาเหมือนพวกพื้นบ้านพื้นเมืองแต่ก็ยังมีความสามารถพิเศษเหลืออยู่นิด ๆ หน่อย ๆ แต่ไม่มากเหมือน กับชาวแอตแลนติสสมัยก่อน "
 
" ... "
 
" แต่ชาวแอตแลนติสก็กลับมาเกิดกันมากในยุคปัจจุบันแบบว่านักวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่มีขึ้นเดี่ยวนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกแอตแลนติส ที่เกิดออกมาแล้ว ส่วนหนึ่งที่อาตมากลัวที่สุดคือกลัวเขาค้นพบเรื่องแสง พวกมนุษย์นี้ไม่ฉลาด ค้นพบอันใดก็เอาไปทำลายกัน ... อาตมามีลูกศิษย์อยู่ที่ญี่ปุ่นคนหนึ่งเป็นนักวิชาการ เขาพูดให้อาตมาฟังว่าขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นกำลังทำอิเล็กตรอนให้เดินเท่ากับ ความเร็วของแสง เขาก็ถามอาตมาว่ามันจะเกิดอะไร มันจะเป็นผลอย่างไร มันจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะทำสำเร็จไหม อาตมาก็บอกว่าเมื่อเขา ทำอิเล็กตรอนซึ่งเป็นประจุไฟฟ้า ปกติการเคลื่อนตัวของมันช้ากว่าแสง อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเขาทำได้สำเร็จ คำตอบของอาตมาก็คือ ... เขาจะพบกับเส้นแสง เมื่อเขาพบกับเส้นแสงของจักรวาลนี้ เขาก็จะรู้ต้นกำเนิดของดวงดาว ต้นกำเนิดของจักรวาล ความคิดความรู้เกี่ยวกับกำเนิดจักรวาลที่ว่าเกิดจากบิ๊กแบงนั่นมันจะเปลี่ยนไป หลังจากที่เขาค้นพบคตวามจริงของเส้นแสงอันนี้ "

" ... "

" แต่ก็น่าห่วงอีก เพราะมนุษย์นี่เวลาค้นพบอะไร ชอบนำไปทำลายกัน เขาจะเอาความรู้จากเส้นแสงนี้ เช่น พอรู้ว่าแสงนี้เป็นตัวกำเนิด ของวัตถุ เขาก็จะเอาเส้นแสงนี้ไปทำลายเซลล์ในมนุษย์ของเราอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก มีทั้งบาป ทั้งบุญ ทั้งคุณ ทั้งโทษอยู่ในตัวของ มันเอง ... มนุษย์นี้ค้นพบอะไรก็มักให้โทษกับสิ่งนั้น อย่างการค้นพบน้ำมันเอามาทำเครื่องยนต์ เดี๋ยวนี้ก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นอย่างมาก เช่น โรคเอดส์หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องก็เกิดจากการที่แสงไม่สามารถสะท้อนกลับไปสู่ชั้น บรรยากาศของโลก มันย้อนกลับคืน เพราะควันน้ำมันขังมันไว้ มันสะท้อนกลับไปสู่นอกโลกไม่ได้ ก็ไปดึงควันน้ำมันลงมา ความถี่มันต่ำ จนมีค่าเท่ากับศูนย์ มันก็ซึมซาบเข้าร่างกาย ทำให้คนมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคภัยไข้เจ็บอะไรต่าง ๆ ก็จะตามมาทีหลัง "

" ที่ท่านอาจารย์ห่วงก็คือว่าชาวแอตแลนติสรุ่นใหม่ที่จะเกิดขึ้นมานี่จะค้นพบแสง แสงที่ว่านี้คือเส้นแสง ใช่ใหมครับ "

" คุณโยมต้องเข้าใจว่าแสงเดินทางเป็นเส้นตรง เส้นตรงนี้เขารู้ว่ามันเป็นเส้น มันเดินทางเป็นเส้น อันนั้นเป็นเส้นของแสงอาทิตย์ แต่ที่เขาจะค้นพบในอนาคตต่อไปนี้จะเป็นเส้นแสงที่เป็น แสงจักรวาล ที่เป็นต้นกำเนิดของรูปของวัตถุของทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเขาสามารถ ทำอิเล็กตรอนให้เท่ากับความเร็วของแสงเขาก็จะเจอในส่วนนี้ "

" แสงจักรวาลนี้ ท่านอาจารย์หมายถึง อาทิตย์ดวงใหญ่ ( มหาไวโรจนะ ) หรือเปล่าครับ "

" ไม่ใช่ คือเส้นแสงมันเกิดมา เราก็ไม่รู้ว่ามันเกิดมายังไง มันมีของมันอยู่แล้ว "

" แล้วที่ท่านอาจารย์เกรงก็คือว่าถ้าค้นพบอันนี้แล้วผู้คนก็จะนำไปใช้ประหัตประหารกัน เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่เหมือนชาวแอตแลนติส สมัยก่อนใช่ใหมครับ "

" ใช่ มันก็จะย้อนรอยชาวแอตแลนติสสมัยนั้นอีก เพราะสมัยนั้นเขาก็เจอสิ่งนี้ก็เอามาทำลายกันจนแผ่นดินล่ม อะไรต่าง ๆ มันจะย้อนกลับมา อีกครั้งหนึ่ง "


*** @@@ ***


( 5. 4 ) ผมมองหน้าภิกษุรูปนั้นด้วยความซาบซึ้งและศรัทธาทั้งเคารพด้วยจิตบูชาสูงสุด
" ท่านอาจารย์ครับ ตัวผมคิดว่าบุคคลที่เป็น อริยะ อย่างท่านอาจารย์ น่าจะมีอายุยืนยาวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว จะหาใครมาช่วยโลกใบนี้ให้รอดพ้นจากความหายนะเหมือนชาวแอตแลนติสสมัยก่อนเล่าครับ คนประเภทท่านอาจารย์นี้กว่าจะมาเกิด ในโลกไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นะครับ "

" ทำไมพูดอย่างนั้นเล่าคุณโยม ทุกวันนี้อาตมารอวันตาย เราจะอยากอายุยืนไปทำไมกัน "

" เราไม่ได้อยู่เพื่อตัวของเราเองนี่ครับ เราอยู่เพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้คน "

" มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรอก การเกิดของคนเราแต่ละคนไม่ใช่แค่ชาตินี้ ชาติเดียวหรอกนะคุณโยม มันตั้งหมื่นชาติแสนชาติ แล้วทีนี้ถึง เรามารู้เรื่องความจริงพวกนี้แล้ว ก็ใช่เราจะไปฝืนกฏแห่งกฏแห่งกรรมได้เมื่อไหร่กัน เราไม่ทำหรอก เราอยู่เพราะกฏแห่งกรรม เพราะว่า อาตมาเคยสร้างกรรมในอดีตมีอยู่ 2 - 3 อย่าง ตอนนี้อาตมากำลังลบมันอยู่ ถ้ามันหมดเหตุของมันเสียแล้ว อาตมาก็จะไปตามอายุขัย "

" แล้วใครจะมาช่วยโลกใบนี้ล่ะครับ "

" คุณโยม โลกเรานี้ไม่เคยขาดคน ( ดี ) หรอก มันมีคนอยู่เรื่อย ๆ บางทีคุณโยมเรียนไปเรียนมา คุณโยมรู้อาจจะเป็นโพธิสัตว์ก็ได้นะ "

" ตัวผมไม่มีความสามารถและบุญบารมีถึงขนาดนั้นหรอกครับ ท่านอาจารย์ แต่ตัวผมคิดว่าผมอยากจะช่วยผู้คนครับ "

" ถ้าคุณโยมมีเจตนาจะเลื่อนการหลุดพ้นออกไปอีกก็ตามใจ แต่ตัวอาตมาทุกข์มากเหลือเกินที่อยู่ตอนนี้ก็เพราะต้องจำใจช่วยคน เดี๋ยวนี้ก็กำลังรีบเร่งทำอยู่ต่อไปจะเกิดอุปสรรคหลายอย่าง เราต้องมาช่วยกัน "

" ท่านอาจารย์ครับ ที่ผมห่วงตรงนี้ก็คือว่าจะมีการสูญเสียผู้คนจำนวนมากมายมหาศาล ผมอยากจะช่วยให้สูญเสียน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะว่าแต่ก่อนที่ผมจะได้มาเจอท่าน ผมก็ได้เจอหลาย ๆ เรื่อง ราวกับไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันมีเหตุหลายอย่างทีเดียว รวมทั้งน้องชายของ ผมด้วย คือมันน่าจะเป็นโอกาสที่เราจะช่วยสังคมได้นะครับ อย่างน้อยการทำความดีก็น่าจะช่วยให้เรารอดพ้นจากวิบากกรรมที่มันจะเกิด ขึ้นทั่วโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ได้ ไม่ใช่หรือครับ "

" วิบากกรรมนี้มันจะมาก็เพราะว่า คน ! โรคภัยไข้เจ็บต่อไปนี้จะเป็นอิทธิพลของแสงเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่เราช่วยเหลือได้ในขณะที่ เรายังทำอะไรไม่ได้ก็คือคนเราต้องมีศีลธรรม ถ้าคนที่มีศีลธรรม มีความเมตตาเสียสละมีจำนวนมากขึ้นก็จะเป็นการไปเพิ่มพลังแสงสว่าง ให้กับโลกนี้ แต่ถ้าตัวเราไม่มีศีลธรรมมันก็จะไปเพิ่มความมืดให้กับตัวเอง ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เกิดอะไรขึ้นมามันก็เสียชีวิต "

" ที่ผมห่วงมากตอนนี้มากกว่าไข้เจ็บทางกายก็คือไข้เจ็บทางวิญญาณของพวกมนุษย์ครับ "

" วิญญาณดี ๆ เขาไม่อยากอยู่ในภพมนุษย์แล้วหละ เดี๋ยวนี้มันร้อนมาก "

" ก่อนอื่น ผมคงต้องฝึกวิชาทางด้านจิตให้ก้าวหน้าไปกว่านี้ก่อน พอฝึกได้แล้วก็คงพอจะช่วยคนอื่นได้ "

" ถ้าช่วยได้นี่ดีมากเลย แต่อาตมานี่ตอนนี้มันแค่ครึ่งตัวเท่านั้น ทุกวันนี้บางทีคนเขาก็ไม่มีเจตนาดี จะเอาเรื่องของอาตมาไปลงหนังสือพิมพ์ "

" ผมบอกท่านได้เลยครับว่า เรื่องของท่านจะไปปรากฏทั้งทางทีวี และหนังสือพิมพ์ในไม่ช้านี้อย่างแน่นอนครับ "

" นั่นเดี๋ยวมันจะเป็นทุกข์อีกนะ "

" ผมขอเรียนท่านตามตรงนะครับว่า ตั้งแต่ปีที่แล้ว ผมเริ่มรู้สึกเคว้งคือคล้าย ๆ กับมีลางสังหรณ์ว่า มันจะเกิดอะไรที่ไม่ดีกับสังคมนี้และ โลกใบนี้แน่ ๆ เลย แต่ผมก็ยังไม่ทราบสาเหตุและแนวทางในการแก้ไข ครั้นพอผมได้มาเจอท่าน ตัวผมเองเหมือนมีญาณว่าต้องเป็นท่านแน่ ๆ เพราะไม่มีใครอีกแล้วที่จะมาจุดประกายชี้ทางออกให้กับสังคมนี้ "

" เดี๋ยวนี้อาตมาก็รู้ตัวเองว่า ถ้าอาตมาไม่ทำอะไรคงโดนด่าแน่ อย่างตอนที่อาตมาสอนวิธีรักษาโรคเอดส์ให้พระที่ว่าในถ้ำแห่งนั้นนะ นี่ขนาดคนเดียวยังมีน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาขนาดนี้และถ้าเป็นสิบคนยี่สิบคนคงไม่คละคลุ้งไปหมดเหรอ อาตมาก็เลยบอกว่าพอแล้ว อาตมาก็เลยโดนด่าว่าใจดำอำมหิต รู้แล้วไม่สอนคน ... พอมาตอนหลังที่ได้รู้ข่าวว่ามีคนเป็นโรคเอดส์ถึงสี่ห้าแสนคนแล้ว ใจมันก็ กระวนกระวายก็เลยมานึกว่า ทำไมเราใจดำอำมหิตเหลือเกิน ทำไมไม่ทำอย่างนี้ ทำไมไม่สร้างอันนั้นขึ้นมา ทำไมไม่สอนคน จิตมันก็กลุ้มเรื่อย ๆ จิตหนึ่งก็ทุกข์ว่ามันไม่ใช่เรื่องของเรา เราเป็นพระ แต่อีกจิตหนึ่งมันก็บอกว่าคนอื่นเขาไม่รู้ ตัวเรารู้ทำไมไม่เผยแพร่ ออกไป ในใจมันเร่งเร้าอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ อาตมาตอนนี้ก็เลยเป็นแค่ครึ่ง ๆ ถ้าหากมีคนไหนมาช่วยสนับสนุนอาตมาก็คงไม่ทุกข์แล้ว "

" แต่ท่านอาจารย์ก็เคยบอกผมเองไม่ใช่หรือครับว่ามีนิมิตปรากฏแก่ท่านตั้งหลายครั้ง คือท่านได้ถามฟ้าว่าภาพที่ท่านเห็นด้วยญาณทัศนะ ของท่านนั้นเป็นจริงหรือเปล่าและฟ้าก็ส่งเสียงร้องครืน ๆ ทุกครั้งที่ท่านถาม นี่ก็แสดงว่าตัวท่านอาจารย์ย่อมไม่อาจปฏิเสธเจตนาของฟ้าดิน ที่มอบหมายให้แก่ท่านอาจารย์ได้แล้ว "

" มันก็ต้องปล่อยไปตามเหตุ เดี๋ยวนี้อาตมาว่าในช่วงเร็ว ๆ นี้ มันคงจะมีคนเข้ามาเยอะ "

" ถ้าผมเขียนเผยแพร่ออกไป ก็คงมีคนเข้ามาเยอะครับ "

" ถ้ารักษาทางยาจะช่วยเหลือคนไม่ได้เยอะช่วยเหลือได้นิด ๆ หน่อย ๆ แต่พอพลังจิตที่มีวิธีการหมุนมันจะช่วยคนได้เยอะ "

" ที่ผ่านมาผมพึ่งคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุมาโดยตลอด พอท่านมรณภาพไปก็ยังรู้สึกคว้าง เมื่อผมได้พบท่านจึงรู้สึกว่าเป็น ความหวังให้แก่ชาวพุทธทั้งชาติเลยครับ "

" มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคุณโยม อย่าไปว่ามันเป็นความหวังอะไรอย่างนั้นเลย คือถ้าเอาวิธีการทางศาสนา มันจะไม่มีวิธีการยึดติดตัวบุคคล มันควรจะเป็นไปตามตัวเอง ส่วนมากคนไทยชอบยึดติดในตัวบุคคล "

" ผมทราบครับ แต่ตัวผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น ผมพูดในความหมายที่ว่ามันต้องมีครู ครูที่จะมาให้เคล็ดลับและคำสอนครับ อย่างตัวผม และน้องชายพอได้มาหัดกับท่านยังได้ในส่วนนี้มากเลย ผมคิดว่าสิ่งที่ท่านบอกมานี้มันเป็นเคล็ดนะครับ มันไม่ใช่อย่างหนังสือที่ท่านเขี่ยนนี่ ก่อนมานี่ ผมอ่านมาตั้งหลายสิบรอบแล้วก็ยังมีบางส่วนที่ไม่เข้าใจ แต่พอผมได้มานั่งฝึกกับท่านอาจารย์ฟังเสียงท่านอาจารย์ได้พักเดียว จากที่อ่านตัวหนังสือไม่เข้าใจ มันกลายเป็นเข้าใจขึ้นมากเลย เพราะฉะนั้นแล้ว คำว่าติดบุคคลผมจึงหมายถึงว่าศิษย์ก็ยังพึ่งครูอยู่ เพราะว่า ศิษย์ยังไม่สามารถปีกกล้าขาแข็งพอที่จะบินได้ด้วยตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ติดบุคคลที่เป็นบุคคลาธิษฐาน เพียงแต่ต้องการคำชี้แนะที่เป็นเคล็ดลับ และอุบายเพื่อช่วยให้พ้นทุกข์ได้ เพราะว่าเรื่องนี้ถ้ารู้กับไม่รู้มันจะต่างกันราวฟ้ากับดินเลยนะครับ "

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 มิถุนายน 2553 17:53:59 โดย Mckaforce » บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2553 17:53:38 »




*** @@@ ***
 
( 5.5 ) ภายหลังจากที่ผมได้ฟังภิกษุรูปนั้นอธิบายถึงบทบาทของชาวแอตแลนติสในอดีตกาล รวมทั้งบทบาทที่จะมีในอนาคตข้างหน้าแล้ว ผมเกิดความสงสัยอยากรู้ขึ้นมา 2 ประเด็น เกี่ยวกับเรื่องนี้
 
( 1 ) สาเหตุ และสภาพการณ์ในขณะที่เกาะแอตแลนติสล่มสลายนั้นเป็นอย่างไร
( 2 ) ประโยชน์ของแสงที่ชาวแอตแลนติสนำมาใช้นั้นเป็นอย่างไร รวมทั้งวิชาการใช้พลังแสงของชาวแอตแลนติสนั้นเป็นอย่างไร
 
ภายหลังที่ผมกลับจากการไปหาภิกษุรูปนั้นได้หนึ่งอาทิตย์ ผมก็ต้องเดินทางไปวิจัยและสัมมนาทางวิชาการที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา หลายอาทิตย์ ดูเหมือนเป็นเรื่อง ' บังเอิญ ' อีกครั้งที่ในระหว่างนั้น ผมสามารถค้นพบคำตอบ 2 ประเด็น เกี่ยวกับแอตแลนติสได้
 
สำหรับประเด็นแรกกับสาเหตุและสภาพการณ์ในขณะที่เกาะแอตแลนติสล่มสลายนั้น ผมได้รับคำอธิบายสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกเป็น คำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ ' เซ็มยาเซ ' ซึ่งได้ถ่ายทอดเรื่องนี้ให้แก่ผู้ติดต่อชาวโลกที่ชื่อ ' ไมเยอร์ ' ( ชาวสวิส เกิด ค.ศ. 1937 ) แห่งองค์การ FIGU ( Freie Interessengememeinschhaft Grenz - und Fur Geisteswissenschaften und Ufologiestudien ) ( รายละเอียดเรื่องราวของ ' ไมเยอร์ ' ผมจะกล่าวในบทหลัง ๆ ) อย่างที่สองเป็นคำอธบายของ ' แฟรงค์ อัลเปอร์ ' ผู้รักษาโรค ด้วยพลังจิตและเป็น ' คนทรงเจ้า ' ( Chaneller ) จากงานเขียนเรื่อง ' EXPLEORING ATLANTIS ' ( 1986 ) ของเขา
 
ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งปฏิเสธทันทีทันใดว่าเป็น ' เรื่องเหลวไหล ' เลยนะครับที่ผมต้องพึ่งแหล่งข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาวกับคนทรงเจ้า เพราะเรากำลังพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อน โดยไม่มีหลักฐานที่เป็นเอิกสารใด ๆ หลงเหลือให้เราทราบความจริงเลย ถ้าท่านผู้อ่านจะคิดว่าเหลวไหลทั้งเพ หนังสือเล่มนี้ของผมก็ต้องเป็นหนังสือที่เหลวไหลทั้งเพตั้งแต่แรกแล้วในสายตาของท่านผู้อ่านอย่าง แน่นอนครับ แต่ถ้าท่านผู้อ่านติดตามอ่านหนังสือเล่มนี้ของผมแต่แรก ท่านผู้อ่านก็จะรู้ว่าผมเป็นคน ' เอาจริงเอาจัง ' ขนาดไหน และยิ่งถ้าท่านผู้อ่านงานเขียนของผมในอดีตมาทั้งหมด ท่านก็น่าจะรู้ว่าผมไม่เคยเขียนงานที่เหลวไหลและไร้สาระออกมาเลย งานเขียนของผมแต่ละชิ้นล้วนมีเป้าหมายและจุดประสงค์ที่ชัดเจนทั้งสิ้น
 
ผมอยากจะบอกพวกเราว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะรู้ ' ความจริง ' ในบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องในอดีตอันไกลโพ้นที่ตรวจสอบไม่ได้ กับเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราไม่มี ' ญาณทัศนะ ' วิธีการดีที่สุดที่เราจะเข้าใกล้คตวามจริงก็คือต้องเปิดใจให้กว้าง ที่สุดรับฟังคำอธิบายทุกประเภทที่อาจขัดแย้งกันเอง โดยยังไม่ต้องปักใจเชื่อถืออันไหนก่อนทั้งสิ้น จนกว่าจะมีหลักฐานเชิงประจักษ์ หรือมีข่าวสารข้อมูลเพิ่มเติมที่จะทำให้เชื่อเช่นนั้นได้ ท่านผู้อ่านจะต้องเข้าใจนะครับว่าผมกำลังค้นหา ' ความจริง ' ในอดีตกับอนาคต ซึ่งเป็นงานที่ยากลำบากที่สุดและท้าทายที่สุดอย่างที่ผมไม่เคยประสบมาก่อน
 
ผมจะเริ่มจากคำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ ' เซ็มยาเซ ' ก่อนนะครับ
 
' เซ็มยาเซ ' มาจากกลุ่มดาวเพลอาเดียสและเป็นสตรีเพศ เธอมาเยือนไมเยอร์ ครั้งแรกในวันที่ 28 เดือนมกราคม ค.ศ. 1975 เวลา 14.31 นับเป็นมนุษย์ต่างดาวคนที่สามที่มาติดต่อกับไม่เยอร์ คนแรกชื่อ ' สุฟาตะ ' เป็นชายชรา คนที่สองเป็นสตรีชื่อ ' แอสเกต ' เซ็มยาเซทำการติดต่อไม่เยอร์ราว ๆ 200 ครั้งในช่วงระหว่างปี 1975 ถึง 1978 ในนั้นมีถึง 115 ครั้ง ที่มีการบันทึกบทสนทนาระหว่าง เซ็มยาเซกับไมเยอร์เอาไว้ การติดต่อกับไมเยอร์อย่างเป็นทางการของเซ็มยาเซสิ้นสุดลงในวันที่ 28 เดือนมกราคม ค.ศ. 1986 รวมแล้วเป็นเวลาถึง 11 ปีเต็ม บทสนทนาระหว่างเซ็มยาเซกับไม่เยอร์ถูกนำมาถ่ายทอดเป็นตัวอักษรโดยพิมพ์เป็นหนังสือชุดได้ถึง 32 เล่ม ที่เปิดเผยออกมาแล้ว ภาพถ่ายจานบินของมนุษย์ต่างดาวที่ไม่เยอร์ถ่ายและบันทึกเวลาเอาไว้นั้นชัดเจนมาก และมีหลายใบมากจนกล่าวว่า ผู้ใดก็ตามที่ติดตามเรื่องราวของ UFO แล้วจะต้องศึกษาเรื่องราวของ ' อดัมสกี้ ' กับ ' ไมเยอร์ ' นี้อย่างละเลยไม่ได้เลยทีเดียว ในหนังสือที่ผมอ่านนั้นผมได้เห็นภาพมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ ' แอสเกต ' ผู้มาจากดาว ' ดัล ' ด้วย เธอเป็นผู้หญิงผมสีทอง เหมือนสาวฝรั่งสวยขนาดนางแบบ แต่มีลักษณะที่ต่างกับชาวโลกตรงที่ติ่งหูของเธอค่อนข้างยาวกว่าคนธรรมดาเท่านั้น ( เหมือนติ่งหูพระพุทธรูปที่เราเห็น )
 
เซ็มยาเซ ได้เล่าเรื่องราวของ ' แอตแลนติส ' ให้ไมเยอร์ฟังดังต่อไปนี้
 
" เมื่อสี่หมื่นปีที่แล้ว พวกลูกหลานของมนุษย์ต่างดาว ( แต่คนโบราณเข้าใจผิดไปเรียกพวกเขาว่าเป็น ' เทพเจ้า ' ) ได้กลับมาเยือนโลกและ ปกครองโลกในนามของ ' เทพเจ้า ' อีกครั้ง นามของผู้ปกครองคือ แอตแลนโต ภรรยาของผู้ปกครองคือ คาเรียทีเด บิดาของนางชื่อมูราส แอตแลนโต ได้สร้างเมืองแอตแลนติสขึ้นที่เกาะแอตแลนติสใหญ่ ขณะที่มูราสได้สร้างเมืองมูขึ้นมาที่แอตแลนติสเล็ก เมืองแอตแลนติส กับเมืองมู จึงเป็นสองมหานครที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดบนพื้นพิภพในยุคนั้น สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองของเมืองทั้งสอง ดำรงสืบเนื่องยาวนานมาเป็นเวลาหลายพันปี จนกระทั่งมีนักวิทยาศาสตร์ 2 - 3 คนที่ตกเป็นทาสของกิเลสบ้าอำนาจจึงคิดการใหญ่ แต่ชาวเมืองทั้งสองนครไม่ยอมจึงลุกฮือขึ้นต่อต้านขับไล่นักวิทยาศาสตร์พวกนั้นให้จำต้องลี้ภัยไปอยู่นอกสุริยะจักรวาล นี่เป็นเหตุการณ์ เมื่อหนึ่งหมื่นห้าพันปีที่แล้ว "
 
" พวกนักวิทยาศาสตร์ที่หลบหนีไปอยู่นอกระบบสุริยะจักรวาลเป็นเวลาสองพันปี ต่อมาได้พัฒนาเทคโนโลยีล้ำยุคจนมีความมั่นใจว่า จะมาบุกโลกแก้แค้นได้ แล้วก็ส่งพวกตนภายใต้การนำของ ' เอาลาส ' จำนวนสองร้อยคนนั่งยานอวกาศ มายึดครองพื้นที่ที่ตรงแถบฟลอริดา ในปัจจุบันนี้ ' เอาลาส ' ผู้นี้แหละที่เป็นผู้ยุยงแหย่ให้ชาวเมืองแอตแลนติสกับชาวเมืองมูบาดหมางกัน จนกระทั่งเกิดเป็นสงคราม ครั้งใหญ่ที่สุด โดยน้ำมือของนักวิทยาศาสตร์จากต่างด่าว จนทำให้ทั้งเมืองมูและเมืองแอตแลนติสต้องล่มจมพินาศไปพร้อม ๆ กัน "
 
" เมื่อใดก็ตามที่พวกนักวิทยาศาสตร์กับพวกชนชั้นปกครองที่คลั่งศาสนาเกิดบ้าอำนาจขึ้นมา เมื่อนั้นพวกเขาก็จะก่อสงครามซึ่งนำความ ย่อยยับมาสู่อารยธรรมของมนุษยชาติ ... ทั้งชาวเมืองมูและชาวแอตแลนติสต่างถูกยุยงให้เกลียดชังซึ่งกันและกัน จนกระทั่งนำไปสู่ภาวะ สงครามอย่างไม่ต่างกับยุคสมัยนี้เท่าไหร่นักหรอก " เซ็มยาเซ พูดกับไม่เยอร์ด้วยภาษาเยอรมันที่คล่องแคล่วอย่างชัดถ้อยชัดคำ
 
" ที่ตั้งของนครมูอยู่ตรงทะเลทรายโกบี ขณะที่ที่ตั้งของนครแอตแลนติสเป็นเกกาะใหญ่อยู่ระหว่างทวีปแอฟริกากับทวีปอเมริกา กำลังรบ ของทั้งสองฝ่ายยิ่งใหญ่พอ ๆ กัน และมีเทคโนโลยีขั้นสุดยอดเหมือนกันแต่คนละแบบกัน กองทัพฝ่ายแอตแลนติสมีกำลังทหารสี่ล้าน แปดแสนคน มียานอาวุธที่ติดอาวุธแสงมหาปะลัย มีเรือรบประจัญบาน หนึ่งแสนสองหมื่นสามพันลำกับเรือเร็วติดอาวุธแสงอีกหนึ่งหมื่น หกพันสี่ร้อยสามสิบเอ็ดลำ ขณะที่ฝ่ายมูก็มีอาวุธที่ร้ายแรงเช่นกันแต่เสียเปรียบพวกแอตแลนติสในด้านกำลังทัพ "
 
" ดังนั้นพวกนักวิทยาศาสตร์ของฝ่ายมู จึงคิดค้นเทคโนโลยีที่จะนำเอาดาวพระเคราะห์ดวงเล็ก ๆ มาทำให้เป็นเหมือนกระสุนปืนใหญ่ จักรวาลเพื่อยิงถล่มพวกแอตแลนติส โดยพวกเขาได้นั่งยานอวกาศออกไปจนเลยวงโคจรของดาวอังคาร เพื่อเสาะหาดาวพระเคาะห์ ดวงเล็ก ๆ ที่เหมาะสม ในที่สุดพวกเขาก็พบดาวเล็ก ๆ ดวงหนึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายกิโลเมตร พวกเขาได้ใช้พลังงานจากอะตอม และ อิเล็กทรอนิกส์ผลักดันให้ดาวเล็ก ๆ ดวงนั้น หลุดวงโคจรเดิมและเคลื่อนย้ายเข้ามาสู่วงโคจรโลก การหมุนรอบตัวเองของดวงดาวนี้ ถูกทำให้หยุดชะงักและพวกมูได้นำเอาเครื่องยนต์ขนาดยักษ์เข้าไปติดตั้งบนดาวเล็ก ๆ ดวงนี้ ทำให้ดาวเล็ก ๆ ดวงนี้กลายเป็นดุจ กระสุนปืนใหญ่จักรวาลที่สามารถบังคับเครื่องยนต์ให้ขับเคลื่อนไปตามทิศที่ต้องการได้โดยใช้คลื่นซูเปอร์โซนิค พวกมูสร้างอาวุธนี้เสร็จช้าไปนิดเดียวเพราะ ก่อนหน้านั้นเพียงครึ่งวันกองทัพแอตแลนติสได้ยกพลเข้ามาถล่มนครมูและทำลายนครมูจนพินาศย่อยยับ แต่ตอนนั้น เครื่องยนต์ขนาดยักษ์บนดาวเล็ก ๆ ดวงนั้นได้เริ่มทำงานแล้ว พวกแอตแลนติสนึกว่าตนเองชนะสงครามแล้ว ในขณะที่หลงระเริงยินดี ในชัยชนะของตนอยู่นั้น ดวงดาวเล็กที่ติดเครื่องจักรของพวกมูก็วิ่งเข้าใส่บรรยากาศของโลกและระเบิดกลางเวหาในตำแหน่งความสูง หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองกิโลเมตรจากพื้นดิน
ส่วนหนึ่งกลายเป็นลูกอุกกาบาต ตกลงมาถล่มนครแอตแลนติสย่อยยับ ขณะเดียวกันดวงดาวเล็กส่วนที่เหลืออีกสองในสามตกลงบนทะเล ทะลุพื้นโลก ทำให้ความร้อนใต้พื้นโลกที่เป็นแมกม่าพุ่งทะลักออกมาบนพื้นโลก ขณะเดียวกันก็เกิดเป็นคลื่นทะเลยักษ์สูงถึงสองพันสามร้อย เมตรและกลืนนครแอตแลนติสจนจมลงใต้ทะเลในที่สุด .... นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยเก้าสิบแปดปีก่อน "
 
*** @@@ ***
 
 
( 5.6 ) ส่วนคำอธิบายอย่างที่สองของคนทรงเจ้าที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง ' แฟรงค์ อัลเปอร์ ' นั้น ไม่ค่อยเน้นเรื่องสาเหตุและสภาพการณ์ ในขณะล่มสลายของเมืองแอตแลนติสเท่าไหร่นัก แต่ไปเน้นที่วิชาพลังแสงของชาวแอตแลนติสที่เป็นคุณประโยชน์มากกว่า เพราะเขา บอกว่าเรื่องราวการล่มสลายของแอตแลนติสถึงรู้ไปโดยละเอียดก็ไม่เกิดประโยชน์ ถึงเขาจะออกตัวเช่นนั้นก็ตาม เราก็ยังสามารถทราบ เรื่องราวการล่มสลายของแอตแลนติสจาก การเข้าทรงของ แฟรงค์ อัลเปอร์ จนได้ภาพที่ชัดเจน พอสมควรเลยทีเดียว ดังต่อไปนี้
 
คำบอกเล่าจากชาวแอตแลนติสที่ชื่อ ' สโตเลนส์ ' ที่มาเข้าทรง
 
" เราจะเริ่มเล่าจากเรื่องราวของทวีปเรมูเลียหรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่าทวีปมู อารยธรรมทวีปมูนี้ดำรงยาวนานกว่าหนึ่งแสนปี ชาวมูแบ่งออกได้ เป็นสองพวก พวกหนึ่งรักสันติอีกพวกหนึ่งชอบทำสงคราม ทั้งสองพวกนี้ต่างมีวิทยาการที่ก้วหน้าในระดับที่สูงมาก พวกที่นักสันติมักให้ ความสนใจกับเรื่องความรู้ความเจริญและพระเจ้า แต่พวกที่กระหายสงครามมักให้ความสนใจในเรื่องพลัง ( Power ) และชอบใช้มันในทาง ทำลาย "
 
" แอตแลนติสเกิดขึ้นหลังทวีปมูราว ๆ สองหมื่นปีคือเมื่อ แปดหมื่นเก้าพันปีก่อนคริสตกาล ในหมู่ชาวแอตแลนติสไม่มีพวกกระหาย สงครามอยู่เลย เมื่ออารยธรรมแอตแลนติสเจริญรุ่งเรืองขึ้นพวกกระหายสงครามของฝ่ายมูได้ตัดสินใจขยายอิทธิพลมาถึงแอตแลนติส พวกมูได้แอบขุดอุโมงค์ใต้ดินที่เชื่อมทวีปมูกับทวีปแอตแลนติสเข้าด้วยกัน เพราะความพยายามที่จะยึดครองแอตแลนติสของพวกมูได้นำ ไปสู่ภาวะสงครามระหว่างเมืองสองเมืองนี้และดำรงความขัดแย้งมานานถึงห้าหมื่นปี ในตอนแรกก็เป็นแค่การปะทะสู้รบกันในระดับ เล็กย่อย แต่ครั้นแล้วผ่านไปความรุนแรงในการสู้รบของทั้งสองฝ่ายก็หนักหน่วงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็นำมาซึ่งการล่มสลายของทั้งสอง ฝ่าย และทวีปมูกับทวีปแอตแลนติสต่างจมลงสู่ก้นทะเลคราวที่เกิดการขยับตัวของเปลือกโลกครั้งใหญ่ เมื่อแปดหมื่นห้าพันปีก่อนคริสตกาล "
 
คำบอกเล่าจากชาวแอตแลนติสที่ชื่อ ' อะดามิส ' ที่มาเข้าทรง
 
" แอตแลนติสถูกสร้างขึ้นบนโลกโดยมนุษย์ต่างดาวในฐานะที่เป็นอารยธรรมทดลอง โดยมีเป้าหมายเพื่อถ่ายทอดวิทยาการที่ล้ำยุคให้แก่ ชาวโลกในอนาคตได้ใช้ประโยชน์โดยเฉพาะต่อวิวัฒนาการของมนุษย์ "
 
" สาเหตุหลักที่ทำให้แอตแลนติสล่มสลายนั้นมาจากการเปลี่ยนแปลงแห่งคลื่นของโลกใบนี้ "
 
" การล่มสลายของ แอตแลนติสเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุอันหนึ่งก็คือชาวแอตแลนติสจำนวนมากที่มุ่งขยายความเป็นอัตตา ของตัวเองมากไปจนถึงขีดจำกัดในการเจริญเติบโตของมัน ถ้าพวกเขาพอใจที่จะหยุดอยู่แค่ระดับการเจริญเติบโตและพลังที่ควบคุมได้ที่ ตนเองไปถึง การล่มสลายก็คงไม่เกิดขึ้น แต่มนุษย์เป็นสัตว์ที่ไม่อาจอยู่นิ่งได้ กฏของจักรวาลได้บังคับให้มนุษย์ต้องเคลื่อนไหวไปไม่ ทิศทางใดก็ทิศทางหนึ่ง และทิศทางที่ชาวแอตแลนติสเลือกเดินต่อไปอีกนั้นเป็นทิศทางที่เป็นลบ ระแวงสงสัย อัตตาแรงกล้า และหลงตัวเองจึงนำไปสู่ จุดจบของแอตแลนติสในที่สุด "
 
ถ้าจะให้ผมสรุป ' จุดร่วม ' ในคำอธิบายของเกี่ยวกับการล่มสลายของแอตแลนติส ภิกษุรูปนั้นกับของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ เซ็มยาเซ และคนทรงเจ้าที่ชื่อ แฟรงค์ อัลเปอร์ ก็คงจะได้แก่ ' ความขัดแย้งจนถึงขั้นทำสงครามกันด้วยอาวุธมหาประลัยอย่างอาวุธแสง ' ที่ตรงกันระหว่างคำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวกับคนทรงเจ้าคือสงครามเกิดขึ้นระหว่างพวกมูกับพวกแอตแลนติส นอกนั้นมีความแตกต่าง กันในรายละเอียดไม่ว่าเรื่องระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ล่มสลายรวมทั้งชื่อที่เป็นมาของ ' มู ' ภิกษุรูปนั้นได้บอกกับผมว่า " ชาวแอตแลนติสไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวที่เข้ามาบนพื้นโลก แต่เป็นคนในมนุษย์โลกของเรา ที่มีวิวัฒนาการไปเรื่อยจนถึงขั้นสูง " แต่คำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวและคนทรงเจ้าจะบอกว่าชาวแอตแลนติสเป็นมนุษย์ต่างดาวที่อพยพมาอยู่บนโลก อนึ่ง พลาโตได้เขียนไว้ว่า การล่มสลายของแอตแลนติสเกิดจาก ' ภัยธรรมชาติ ' แต่ถ้าฟังจากสามท่านนี้ เราจะได้ข้อสรุปว่าเกิดจาก ' ภัยสงครามล้างโลก ' ด้วยอาวุธมหาประลัย
 
คำอธิบายของใครน่าเชื่อถือที่สุด ? ผมขอให้ขึ้นกับดุลยพินิจของท่านผู้อ่านแต่ละท่าน ตัวผมมีหน้าที่ไปเสาะหาข้อเท็จนำมาเสนอให้พวก ท่านพิจารณาเท่านั้น แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัวของผมอย่างตรงไปตรงมา ผมก็จะขอบอกว่า ถ้าภิกษุรูปนั้นใช้ ' ญาณทัศนะ ' ของท่าน ศึกษาเรื่องราวของแอตแลนติสจริง ( ซึ่งผมเชื่อเช่นนั้นว่า ท่านมีญาณทัศนะจริงด้วยเหตุผลต่าง ๆ ที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ) คำอธิบายของ ท่านโดยภาพกว้างอย่างรวม ๆ อยู่ในระดับที่น่าเชื่อถือได้ทีเดียว เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับแหล่งข่าวอื่น ๆ ที่ผมเสาะหามาประกอบเทียบเคียง
 
ส่วนประเด็นที่สองเกี่ยวกับวิชาพลังแสงของชาวแอตแลนติสวนั้นผมได้พบคำตอบว่าวิชาพลังแสงของชาวแอตแลนติสที่ใช้ทั้งในการสร้าง สรรค์และการทำลายในเวลาต่อมานั้น คือพลังแสงที่มาจากผลึกคริสตัล ! ดังที่ผมจะได้ขยายความในบทต่อไป
 
 
- คัดจาก มังกรจักรวาล ภาค สมาธิหมุน -

http://board.agalico.com/showthread.php?t=33004
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: แอตแลนติส เกิดใหม่ หายนะโลก ภัยพิบัติ หายนะ โลกแตก 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.1 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 04 พฤศจิกายน 2567 17:50:34