[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 13:05:23 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: จิตวิวัฒน์ สู่ จิตตปัญญา  (อ่าน 9358 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 09 มิถุนายน 2553 13:22:19 »

[ บทความดังต่อไปนี้โพสท์โดย อ.มดเอ็ก คัดลอกมาจากบอร์ดเก่า ]





 
จิตวิวัฒน์สู่จิตตปัญญา

ช่วงกว่าหกปีที่ผ่านมา สมาชิกชมรมจิตวิวัฒน์ได้พูดได้เขียนเรื่องของจิตที่คิดว่าสำคัญยิ่งมาตลอดเวลา โดยเฉพาะผู้เขียนซึ่งคิดและเชื่อว่า มนุษย์เราอาศัยอยู่ในโลกและจักรวาลที่มีชีวิตและมีจิตเป็นของตนเอง ทั้งยังเชื่อว่าทั้งโลกและจักรวาลต่างก็มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียวคือวิวัฒนาการ จริงๆ แล้วหากเราไล่ลงไปถึงรายละเอียดกว่านั้น คือถึงวิวัฒนาการของจิตที่อยู่ในกายของมนุษย์-ซึ่งทุกวันนี้ในทางฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ มีหลักฐานพอที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยเชื่อว่าโลก โดยเฉพาะจักรวาลอันนี้เกิดมีขึ้นมาก็เพื่อรอคอยให้มนุษย์อุบัติขึ้นมาในภายหลังเท่านั้น (cosmological anthropic principle)-พูดง่ายๆ เรื่องที่ทางนักฟิสิกส์วิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่หลายคนเชื่อที่กล่าวมานี้ ว่าไปแล้วก็ตรงกันกับกฎแห่งกรรมในพุทธศาสนา ที่จะต้องมีสัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์มาเกิดในจักรวาลนี้อยู่วันยังค่ำในวันหนึ่งวันใด เพราะว่าในกฎแห่งกรรมจะต้องมีสัตว์โลก มีมนุษย์ที่สร้างกรรมโดยเจตนา ถ้าไม่มีมนุษย์กับไม่มีสัตว์โลกแล้วกรรมจะเกิดได้อย่างไร? คือจักรวาลจำต้องมีวิวัฒนาการของมนุษย์ทั้งกาย-จิต หรือทั้งข้างนอกกับข้างใน หรือรูปที่มีนามอยู่ข้างในดังพุทธศาสนากล่าวไว้ ซึ่งในที่นี้หมายถึงมีทั้งกายและจิตหรือทั้งรูปและนาม ซึ่งจำต้องมีวิวัฒนาการต่อไปเรื่อยๆ ตามขั้นตอน เพื่อจะทำให้จิตสามารถเปลี่ยนแปลงไหลเลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านของพฤติกรรม ความตั้งใจหรือเจตนาของจิตหรือจิตใจที่จะก่อกรรมนั้น นั่นคือหน้าที่ของจักรวาลที่คิดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น ส่วนมนุษย์ก็มีหน้าที่เหมือนกันคือ มีหน้าที่ที่จะให้จิตที่เข้ามาอยู่ในกายหรือภายในสมอง ต้องมี "ปัญญา" หรือจิตตปัญญา-ที่ไม่ใช่สติปัญญาธรรมดา (intelligence) แต่เป็นปัญญาสูงกว่านั้น (intuition)-พอที่จะทำให้จิตสามารถจะ "รู้แจ้ง" เรียนรู้ความจริงที่แท้จริงของจักรวาลได้ ดังนั้นบทความบทนี้จึงมีหน้าที่ที่จะชี้แจงว่า หน้าที่อันหนึ่งของการตั้งชมรมจิตวิวัฒน์ขึ้นมา ก็เพื่อจะให้ประชากรในประเทศไทยเรียนรู้ปัญญาที่แท้จริงนั้น คือมีจิตสำนึกใหม่และจิตใต้สำนึกใหม่ (ปัจเจก) มองเห็นคุณค่าของจิตตปัญญาศึกษาว่า จำเป็นต่อการดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลง (transformation) ของมนุษย์ในจักรวาลนี้ได้อย่างไร?
 
เนื่องจากชมรมจิตวิวัฒน์ในครั้งแรกที่ตั้งขึ้นเมื่อหกปีกว่าๆ มานั้น ได้พัฒนามาจากชมรมธรรมชาติของสรรพสิ่ง และแน่นอน ธรรมชาติที่ละเอียดคือจิตและจิตวิญญาณ (spirituality) ไล่ขึ้นไปตามระดับและเป็นลำดับถึงการตรัสรู้ หรือ "รู้แจ้ง" เมื่อเรา (สมาชิกของชมรม) รู้สึกว่ากายวัตถุและกลไกเครื่องจักรเครื่องยนต์ ที่เป็นสาระวิสัยของการเรียนรู้ของเรามานานนั้น ไม่สามารถจะอธิบายธรรมชาติได้ทั้งหมด และที่ร้ายยิ่งกว่านั้น ไม่สามารถอธิบายธรรมชาติทั้งภายนอกกับภายในให้เชื่อมโยงกันแบบบูรณาการ ซึ่งนำไปสู่ความคิดและความสงสัยว่า ความรู้กายวัตถุหรือภายนอกเพียงอย่างเดียว คือสาเหตุมูลฐานของความเปลี่ยนแปลงที่เลวร้ายของโลกธรรมชาติทั้งมวล-ดังที่ขณะนี้ชาวโลกเราไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน-กำลังประสบหรือไม่? ซึ่งน่าจะเป็นอย่างนั้น และประเด็นก็คือ แล้วเราจะแก้ไขการเปลี่ยนแปลงของโลกธรรมชาติที่แสนจะเลวร้าย เช่นโลกที่ร้อนขึ้นๆ น้ำท่วม ดินถล่ม โรคระบาดนานาชนิด ฯลฯ ที่มากขึ้นทุกวันๆ อย่างไร? ซึ่งมันก็มีอยู่ทางเดียว คือปฏิบัติตามที่ศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนาบอกเราว่า โลกของเรานี้ประกอบด้วยรูปและนามหรือรูปกายวัตถุกับจิต และจิตสำคัญกว่ากาย (เพราะเป็นพื้นฐานของสรรพสิ่งปรากฏการณ์) แต่เรากลับลืมจิตเสียทั้งแผง และไปคิดว่ากายวัตถุ (materialism) คือความจริงที่แท้จริงดั่งที่ตาของเราเห็น เราคิดและเชื่อแต่เฉพาะที่ตั้งวางไว้ที่ภายนอก ว่าเป็นความจริงแท้เพียงประการเดียวมาตั้งแต่โลกเรายังมีประชากรไม่ถึงหนึ่งพันล้านคน แถมโลกยังบอกทางอ้อม-ด้วยการเกิดโรคระบาดกาฬโรค ที่ทำให้ประชากรโลกตายไปร่วมหนึ่งในสามที่ยุโรป อันเป็นแหล่งที่มาของความรู้ที่เราเชื่ออย่างผิดๆ ว่าเป็นความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียว-ให้เราตระหนักรู้ว่า "มนุษยชาติจะดำรงอยู่ต่อไปหรือไม่? เป็นเรื่องของประชากรนะ" แต่เป็นเราเองที่หยิ่งผยองจนโลกธรรมชาติพินาศหมดไป แต่เราส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ไม่ตระหนักจนกระทั่งวันนี้และเดี๋ยวนี้ วัตถุประสงค์ที่สำคัญยิ่งก็คือสิ่งนั้น คือเพื่อที่จะนำจิตวิวัฒน์ไปสู่ประชาชนในวงกว้างอย่างรวดเร็ว เพื่อที่ประชาชนจะได้ตระหนักรู้ด้วยจิตตปัญญาของตัวเองว่า "ศึกครั้งนี้สุดจะใหญ่หลวงยิ่งนัก" โดยมีการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษยชาติเป็นเดิมพัน จิตตปัญญาคือวิธีการที่จะเอื้อวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ (spirituality) โดยการฝึกการทำสมาธิและฝึกสติตามหลักสูตรสากล-เช่น ตามแนวทางของศาสนาต่างๆ โดยเฉพาะพุทธศาสนา รวมทั้งวิธีการที่ใช้กันเป็นสากลที่ให้ผลดีมากๆ เช่น วิธีการต่างๆ ของศูนย์ปฏิบัติสมาธิสำหรับประชากรในชุมชนของสหรัฐอเมริกา (Center of Contemplative Study for the Community) ซึ่งมีอาร์เธอร์ ซาจังค์ นักฟิสิกส์ใหม่ระดับโลก ที่สนใจพุทธศาสนาสายทิเบตเป็นประธานศูนย์ฯ อยู่ในขณะนี้
 
ธรรมชาติทั้งภายนอกและภายในที่เชื่อมโยงต่อเนื่องเป็นองค์รวมที่บูรณาการนั้น อาร์เธอร์ โคสเลอร์ เรียกว่า "องค์รวมที่สมบูรณ์" (holon) ที่บูรณาการทั้งภายนอกและภายในทั้งหมด ที่รวมทั้งจิตและกายเอาไว้ด้วยกัน พร้อมกับพลังงานที่ทางวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่บอกว่าก็คือกายนั่นเอง (E=MC2) ที่ทางพุทธศาสนาจะรวมจิตเข้าไปด้วยเป็นสามองค์ เคน วิลเบอร์ อธิบายเพิ่มเติมว่าองค์รวมที่สมบูรณ์นั้นจะต้องประกอบขึ้นด้วยองค์รวมเก่า รวมกับส่วนขององค์รวมใหม่ที่ใหญ่กว่า (คือเป็น whole-part) ซ้ำซ้อนกันไปเช่นนั้น แอดอินฟินิตัม กายก็เป็นเช่นนั้น จิตก็เป็นเช่นนั้น หรือทั้งกายและจิตรวมกันกับพลังงานในพุทธศาสนาที่ว่าไว้ข้างบนก็น่าจะเป็นเช่นนั้น นั่นคือองค์รวมที่สมบูรณ์โดยเชื่อมโยงกันกับทั้งหมดเป็นธรรมชาติโลก
 
ตามที่ผู้เขียนเข้าใจ ส่วนหนึ่งจากจิตวิทยา-ปรัชญาของเคน วิลเบอร์ กับส่วนหนึ่งจากอุปานิษัทและภควัตคีตา โลกธรรมชาติแบ่งได้เป็นสองระดับ คือหยาบหรือมองเห็น (หรือใช้อุปกรณ์ช่วย) กับละเอียดที่ไม่ว่าอย่างไรก็มองไม่เห็น ชนิดแรกคือธรรมชาติที่มองเห็น หรือที่รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสภายนอกทั้งห้า ได้แก่ ป่า ภูเขา ต้นไม้ ฯ ภาษาอังกฤษเขียนด้วยตัวเอ็นตัวเล็ก (nature) ส่วนศาสนาพราหมณ์เรียกว่า "อ-บรมปรกติ" ชนิดหลัง ได้แก่ สัทธรรมความจริงที่แท้จริง หรือพระเจ้า เทพเทวดา รวมทั้งเจ้าพ่อเจ้าแม่ฯ ทั้งหลายที่มองอย่างไรก็ไม่เห็น ภาษาอังกฤษเขียนด้วยตัวเอ็นใหญ่ (Nature) ศาสนาพราหมณ์เรียกว่า "บรมปรกติ" (para-prkrti) อย่างหลังนี้คือจิตไร้สำนึกของจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในสรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ในโลก ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันกับจิตร่วมสากลของจักรวาล (universal unconscious continuum) ของคาร์ส ซี. จุง
 
ที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้เขียนคือ ชมรมจิตวิวัฒน์คือชมรมที่มุ่งหวังจะให้ประชาชนที่สนใจมี "จิตสำนึกกับใต้สำนึกใหม่" ที่จะนำชาวโลกให้มีพฤติกรรมใหม่ที่มีจิตชี้นำ หรือพูดง่ายๆ ให้มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตแบบถอนรากถอนโคน (transformation) โดยไม่ได้คำนึงว่า ชาวไทยในประเทศไทยหรือว่าชาวโลกในประเทศต่างๆ เหล่านั้นจะยังคงเคารพบูชากายวัตถุเป็นนิยมหรือไม่? ทั้งไม่สนใจว่าชาวไทยหรือชาวโลกเหล่าไหนจะมีการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกใหม่ไปแล้ว-ไม่ว่าเปลี่ยนโดยคิดเองและรู้เอง ตามเพื่อนหรือเข้าชมรมปฏิบัติสมาธิอยู่แล้ว หรือเป็นผู้ปฏิบัติจิตปฏิบัติศาสนาอยู่แล้วฯ-ชมรมจิตวิวัฒน์หรือชาวไทยชาวโลกที่รู้แล้วปฏิบัติแล้วเหล่านั้น จะเป็นเรื่องที่ทันการณ์และทันกาลหรือไม่? ทั้งโลกจะมีสักกี่คน? หากเรายังไม่คำนึงหรือไม่สนใจอยู่อย่างนี้? ในความเห็นของผู้เขียนที่พูดและเขียนเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 ที่พูดเรื่องจักรวาลทัศน์และการเปลี่ยนแปลงทางจิตหรือจิตวิวัฒนาการ และกระบวนทัศน์ใหม่แบบนี้ ต่อต้านและคัดค้านกายวัตถุนิยม เทคโนโลยีและทุนนิยมแบบนี้ และที่สำคัญอย่างยิ่ง ผู้เขียนได้พูดย้ำเขียนย้ำถึงความพินาศหายนะของโลกจากภัยธรรมชาติต่างๆ นาๆ เช่น น้ำท่วมโลก โรคระบาด จนกระทั่งดาวหางอุกกาบาตวิ่งมาชนโลก ดังตัวอย่างของจริงให้เราเห็นจะจะที่ดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี-9 แตกเป็นสะเก็ดมาชนดาวพฤหัสบดีเมื่อเดือนตุลาคมปี 1992 เหมือนกับว่าเป็นการเชือดไก่ไห้เราดู ซึ่งผู้เขียนเอามาเขียน แต่ทว่าชาวโลกก็ยังไม่รู้สึกตัว ยังคงมีพฤติกรรมทุกอย่างเหมือนเดิม แถมชาวไทยบางคนยังหัวเราะเยาะผู้เขียนว่าเพี้ยนขนาดหนัก "ล่องลอยอยู่ในจักรวาลเรียบร้อยแล้ว" ดังนั้น ชมรมจิตวิวัฒน์จะเปลี่ยนแปลงคนไทย-อย่าว่าแต่ชาวโลกเลย-ได้สักกี่คนกัน?
 
แต่การใช้คำว่าเปลี่ยนแปลงตัวเอง (transformation) หรือคำที่หลวมกว่านี้ เช่นคำว่าเปลี่ยน (change) ที่ชูนโยบายคำเดียวนั้น ทำให้นายบารัก โอบามา ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาอย่างถล่มทลายเมื่อปลายปีที่แล้ว ได้ชี้ให้เราสงสัยว่าในตอนนี้หรือวันนี้ ประชาชนของอเมริกาเข้าใจคำว่าเปลี่ยนของนโยบายนายโอบามา กับคำว่าเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร? เพราะร่วมปีผ่านไปแล้วคนอเมริกายังไม่เห็นประเทศของตนมีการเปลี่ยนอะไรมากนัก ทั้งนี้ก็เพราะสองคำนี้ต่างกันราวฟ้ากับดิน นายโอบามาเลือกใช้คำหลวมๆ แต่คนทั่วไปของอเมริกาเข้าใจว่าไกลมากไปกว่านั้น อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้าใจผิดไม่ว่าจะมีใครตั้งใจหรือไม่ คำว่าเปลี่ยนแปลงตัวเอง (transformation) ก็ไม่ใช่เสกคนให้เป็นหนูหรือเป็นกบในนิทาน ซึ่งความหมายจริงๆ เป็นเช่นนั้น แต่คำว่าเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ผู้เขียนใช้ในที่นี้ หรือที่บางคนใช้คำว่าปฏิวัติตัวเองหรือปฏิวัติสังคม หรือการเปลี่ยนพาราไดม์นั้น หมายความถึงการปลี่ยนกระบวนทัศน์หรือการเปลี่ยนโลกทัศน์ (worldview or paradigm) อย่างละเอียด ถาวร และตั้งใจ (intention) โดยมีจิตเป็นหัวหอกและมีพฤฒิกรรมเป็นการกระทำ จากกระบวนทัศน์หนึ่งสู่อีกกระบวนทัศน์หนึ่งอย่างถอนรากถอนโคน
 
ในที่นี้ นั่นคือวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ จากจิตสำนึกสู่จิตสำนึก และใต้สำนึกใหม่สู่จิตเหนือสำนึก (ปัจเจก) อันเดียวกับจิตวิญญาณ (spirituality) แต่มีอย่างหนึ่งที่ต้องพูด คือผู้เขียนเชื่อในกฎแห่งกรรม และเชื่อว่าไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ โดยไม่ต้องจ่ายอะไรคืน งานวิจัยทุกงานวิจัยบอกเช่นนั้น มนุษย์ต้องมีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ (โดยรวม) แน่นอน เหมือนเราต้องผ่านชีววิวัฒนาการจากไพรเมต แต่ไพรเมตจะมีจิตวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ในยุคอีโอซีน ก็มีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิดาราศาสตร์อย่างรุนแรง ครั้งนี้ก็เช่นกัน มันก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นเหมือนกัน ยิ่งมนุษย์มีแต่การทำร้ายและทำลายแต่ธรรมชาติตลอดมา ด้วยกฎแห่งกรรมเราต้องรับผลกรรมจากภัยธรรมชาติอย่างสาสม ตอนนี้ศาสนาพราหมณ์และพุทธบอกว่า เราอยู่ในยุคกลียุคที่สิ้นสุดด้วยความพินาศหายนะ ไม่มีศาสนาใดที่บอกเป็นอย่างอื่น เช่น โรคระบาดในศาสนาคริสต์ หรืออาคีเราะห์ในอิสลาม ก็แสดงความพินาศหายนะของโลก ส่วนทางวิทยาศาสตร์ก็มีการทำนายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ (prediction) เป็นไปได้ที่โลกเราจะมีดวงอาทิตย์สองดวง (binary star system) ที่จะทำให้ดวงอาทิตย์สลับขั้ว ทำให้มีการย้ายแผนที่โลก หรือเปลี่ยนขั้วโลกที่เชื่อว่าเคยมีมาแล้วก็ได้ ไม่ว่าอย่างไรมนุษย์ก็จะไม่สูญพันธุ์อย่างแน่นอน เพราะจักรวาลนี้ต้องมีมนุษย์ (ที่จะเหลือน้อยเต็มที) แต่มีวิวัฒนาการทางจิตสูงล้ำกว่าเดี๋ยวนี้.


http://www.thaipost.net/sunday/300809/9977










Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: จิตวิวัฒน์ จิตตปัญญา new age sookjai สุขใจ Mckaforce 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.391 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 27 พฤศจิกายน 2567 23:55:51