27 พฤศจิกายน 2567 10:01:57
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
.:::
มีขันติคือให้พรแก่ตัวเอง
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: มีขันติคือให้พรแก่ตัวเอง (อ่าน 8105 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
มีขันติคือให้พรแก่ตัวเอง
«
เมื่อ:
09 มิถุนายน 2553 16:01:25 »
Tweet
http://dc143.4shared.com/img/106977180/61add437/dlink__2Fdownload_2F106977180_2F61add437_3Ftsid_3D20100609-070009-ee74932e/preview.wma
ถ่ายภาพประกอบเนื้อหาโดยข้าพเจ้า(บางครั้ง)ขอรับ
...............เสียงธรรม ชุด แสงเทียน โดยอาจารย์ วศิน อินทสระ................
..............................มีขันติ คือ ให้พรแก่ตัวเองโดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก..........................
วัดป่าสุนันทวนาราม บ้านท่าเตียน ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
..........................คำสอนข้อแรกที่หลวงพ่อชาสอน คือ เราต้องอดทน...........................
นับจากวันแรก ที่อาจารย์ไปถึงวัดหนองป่าพงเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดเบญจมบพิตรได้ 3 เดือนก็พยายามแสวงหาสถานที่ปฏิบัติธรรมทีแรกเพื่อนก็พาไปดูวัดที่ภาคใต้ 3 - 4 วัดเป็นวัดที่มีชาวต่างชาติไปปฏิบัติกันแต่อาจารย์ดูแล้วก็ยังไม่รู้สึกตกลงใจหลังจากนั้นก็มีคนแนะนำให้ไปจังหวัด อุบลราชธานีให้ไปหาหลวงพ่อชา ตอนนั้นก็มีพระชาวอินเดียที่พูดภาษา ไทยได้พาอาจารย์ไป นั่งรถทัวร์จากกรุงเทพ ฯ ไปถึงจังหวัดอุบลราชธานี แล้วก็ยืนงง ๆ อยู่ว่าจะไปวัดหนองป่าพงยังไง
พอดีมีคนขับรถแท็กซี่เข้ามาถามว่าจะไปไหนพอเขา ทราบว่าจะไปวัดหนองป่าพง เขาก็บอกให้รอสักครู่เมื่อเขาทำธุระเสร็จ แล้วจะกลับมารับ
ในที่สุดก็นั่งรถแท็กซี่คันนั้นไปวัดหนองป่าพงระหว่าง ทางก่อนถึงวัดเป็นเวลาเช้าตรู่มองเห็นพระป่า 30 - 40 รูป บิณฑบาตเดินเรียงเป็นแถวยาว
รู้สึกประทับใจมากพอถึงวัด แท็กซี่เขาไม่เก็บสตางค์ค่ารถอาจารย์ก็นึกดีใจและขอบใจเขาที่ช่วยมาส่งเมื่อเดินเข้าไปในวัดเป็นป่าร่มรื่น
เกิดความรู้สึกสงบวิเวกเป็นพิเศษเหมือน เข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งเดินเข้าไปเรื่อย ๆ แม่ชี 5 - 6 คน ที่กำลังทำความสะอาดวัดอยู่เห็นอาจารย์เดินมาก็หลบเข้าข้างทางแล้วนั่งลงทำความเคารพอย่างนอบน้อม ตอนนั้นอาจารย์รู้สึกเขินอายเพราะเป็นครั้งแรกที่เดินอยู่ตามถนนแล้ว มีโยมนั่งลงไหว้แบบนี้
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 มิถุนายน 2553 17:49:57 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: มีขันติคือให้พรแก่ตัวเอง
«
ตอบ #1 เมื่อ:
09 มิถุนายน 2553 16:09:49 »
ที่วัดหนองป่าพง อาจารย์ได้พบกับพระฝรั่งชื่อ เขม ธัมโม เป็นรูปแรก ท่านก็เข้ามาช่วยแนะนำเมื่อฉันจังหันเสร็จแล้วท่าน สุเมโธ และพระฝรั่งอีก 4 - 5 รูป ก็พาอาจารย์ไปหาหลวงพ่อชาที่กุฏิเมื่อ บอกความประสงค์ของอาจารย์ที่จะมาขอปฏิบัติที่วัดหนองป่าพง ท่านซักถามว่ามาจากไหน
มายังไง แล้วก็ถามชื่อ อาจารย์ตอบท่านว่า ชื่อ ชิบาฮาชิ ชื่อมิตซูโอะแต่ตามธรรมเนียมญี่ปุ่นจะใช้นามสกุลเป็นชื่อที่แนะนำตัวเองหลวงพ่อ ชา ท่านก็จำเทียบเคียงเป็นภาษาไทยว่า สี่บาทห้าสิบนับ จากวันนั้นท่านก็เรียกอาจารย์สั้น ๆ ว่า สี่บาทห้า มาตลอดหลวงพ่อ บอกว่าอยู่ที่นี่ลำบาก ต้องอดทนนะอาจารย์ก็ตอบท่านว่าอยู่ได้ครับ ทนได้ครับรู้สึกมั่นใจว่าอดทนได้จริง ๆ เพราะการฝึกที่ ท้าทายทั้งทางกายทางใจก็สมัครใจทำมาแล้วตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนเคยเป็นนักปีนเขาแบกเต๊นท์และเสบียงอาหารหนัก 15 กิโล 20 กิโล เดินข้ามเขาลูกหนึ่งไปอีกลูกหนึ่งผ่านยอดเขานี้ไปอีกยอดเขาหนึ่งเรียก ว่าเดินขึ้นเดินลงภูเขาตลอดวันมีทั้งการเดินระยะสั้น ๆ 2 - 3 วัน ไปจนถึง 7 วันก็มีตั้งแต่อายุ 20 อาจารย์ก็ออกเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวแบบ นี้อยู่เสมอ ทัศนศึกษาไปเรื่อย ๆ ในหลายๆ ประเทศ ทั้งอินเดีย เนปาล ปากีสถาน อัฟกานิสถาน เยอรมัน ฯลฯ เดินทางไปประเทศไหนก็ถือหลัก ว่าจะทดลองดูเป็นประสบการณ์ว่าคนจนที่สุดของเขากินอยู่อย่างไร เราก็เอาอย่างเขานี่แหละกินง่าย นอนง่าย เรียกว่ากินอยู่แบบประหยัดสุด ๆเมื่อไปกรุงเดลลี ประเทศอินเดียซึ่งเป็นเมืองที่ ค่าพักโรงแรมแพงอาจารย์ก็อาศัยนอนค้างคืนตามสถานีรถไฟหรือเมื่อครั้งเดินทางไปประเทศเนปาลไปพักกับพวกชาวเขา เขากินมันฝรั่งต้มจิ้มน้ำพริกหรือบางทีก็กินข้าวโพดคั่วแห้ง ๆ เราก็กินตามเขาเจ้าของบ้านเขาก็พอใจที่ต้อนรับชาวต่างชาติซึ่งมากิน อยู่เหมือนเขาการกินอยู่อย่างง่าย ๆ เป็นการสร้างความสบายใจให้แก่เจ้าของบ้านและสร้างมิตรภาพที่ดีต่อกันดังนั้นเมื่อจะมาอยู่ ที่วัดหนองป่าพงอาจารย์จึงมั่นใจว่าอยู่ได้แน่นอน
เมื่อมาอยู่ที่วัดหนองป่าพงใหม่ ๆอาจารย์พยายามจับหลักธรรมที่หลวงพ่อชาสอนท่านว่า โลก แปลว่า มืดการที่พวกเราพากันพัฒนาโลกให้เจริญ
จึงเป็นการทำให้มืดขึ้น ๆ คือหมายถึงในด้านจิตใจคนเรากลับแย่ลงๆ สับสนวุ่นวายเป้าหมายการปฏิบัติธรรมคือ อโลก หมายถึง ความสว่าง
คือเพื่อกำจัดความมืดทำให้จิตใจสว่างแนวทางการ ปฏิบัติธรรมก็ต้องอาศัยความอดทนเป็นหลักให้พากันกินน้อย นอนน้อย พูดน้อยปฏิบัติให้มาก นั่งสมาธิให้มากซึ่งทุกข้อก็ต้องมี ขันติ คือ อดทนทั้งนั้นจึงจะทำได้การปฏิบัติจึงอยู่ที่ อดได้ ทนได้ ใคร ทนได้ก็ปฏิบัติได้ทนไม่ได้ก็ปฏิบัติไม่ได้นั่นแหละเป็นทุกข์กันมากขึ้นทุกวัน
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 มิถุนายน 2553 17:06:13 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: มีขันติคือให้พรแก่ตัวเอง
«
ตอบ #2 เมื่อ:
09 มิถุนายน 2553 16:17:28 »
....................................คาถาบทแรกจากโอวาทปาฏิโมกข์..............................
หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาโปรด ปัญจวัคคีย์แล้ว ในเวลาอีก 7 เดือนต่อมาตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันมาฆบูชาพระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากยอดเขาคิชฌกูฏมายังวัด เวฬุวัน ปรากฏว่ามีพระอรหันต์จำนวน1,250 องค์ มาประชุมกันอยู่แล้ว ณ วัดเวฬุวัน
โดยมิได้นัดหมาย พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าเป็นนิมิตหมายที่ ดีในการที่จะทรงแสดงคำสอนที่เป็นหลักหรือเรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์เพื่อให้ภิกษุได้ยึดเป็นหลักแห่งพระพุทธศาสนาเมื่อพระพุทธเจ้าประทับต่อ หน้าพระอรหันต์1,250 องค์แล้ว คาถาบทแรกที่พระองค์ทรงแสดงคือ ขนฺ ตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
ขันติ คือความอดทน อดกลั้นเป็นธรรมเครื่อง เผากิเลสอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงถึงคุณธรรม คือขันติ ความอดทนอดกลั้นว่าเป็นเครื่องอุดหนุนให้บุคคลบรรลุถึงเป้าหมายและ เป็นเหตุที่ทำให้ละบาปอกุศลได้ความอดทนเป็นสิ่งที่สำคัญในการ ดำเนินชีวิตทุกขั้นตอนกล่าวได้ว่าเพียงเพื่อที่จะมีชีวิตรอดอยู่ในโลกได้ทุกชีวิตต้องอาศัยความอดทนเป็นพื้นฐาน โลกนี้มีประชากร ทั้งสิ้นประมาณ 6,500 ล้านคน 20 % ของจำนวนประชากรโลกเป็นกลุ่มคนยากจน1 ใน 20 ของประชากรในกลุ่มยากจนนี้ซึ่งมีจำนวนถึงประมาณ 65 ล้านคนหรือเกือบเท่ากับประชากรชาวไทยทั้งประเทศเป็นคนยากจนถึงขั้นอดอยากขาดอาหารจนเกือบถึงตายในขณะเดียวกัน 15 % ของประชากรโลก เป็นคนอ้วนในจำนวนประชากรโลก 6,500 ล้านคน 75 % มีบ้านอาศัยอยู่
มีอาหารเก็บสำรองไว้ 25 % ไม่มีบ้านอยู่ 17 % ไม่มีน้ำสะอาดดื่มในจำนวนประชากรโลก 6,500 ล้านคนมีเพียง 8 % เท่านั้นที่มีเงินในธนาคารมีเงินในกระเป๋า มีเศษสตางค์เหลืออยู่ที่บ้านนอกจากนั้น ก็ไม่ใช่เรียกว่ากว่า 90 % คือคนไม่มีเงินออมเงินไม่พอใช้จ่าย มีหนี้สินเมื่อมองดูด้านการศึกษา ปรากฏว่าในจำนวนประชากร โลก 6,500 ล้านคนมีเพียง 1 % เท่านั้นที่จบปริญญาตรีและ 2 % เท่านั้นที่มีคอมพิวเตอร์ใช้แต่มี 14 % ที่ไม่รู้หนังสือ
ในเรื่องสิทธิเสรีภาพความปลอดภัยในชีวิตเขากล่าวว่าถ้าคุณเป็นผู้หนึ่งที่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้โดยไม่ถูกรังแกหรือถูกจับ กุมคุมขังคุณอยู่ในกลุ่มของผู้โชคดีจำนวน 50 %ถ้าคุณคือผู้หนึ่งที่ ไม่ต้องกลัวอันตรายในชีวิตไม่ต้องกลัวเหยียบกับระเบิด ถูกยิงโดนก่อการร้ายหรือถูกจับไปข่มขืน
คุณคือผู้โชคดีกว่าคนอีก 20 % บนโลกนี้จากสถิติแสดงให้เห็นว่าแค่เพียงการดำรงชีวิตให้อยู่รอดในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีชีวิต
อยู่อย่างมีคุณภาพ มีการพัฒนาก็ต้องใช้ความอดทนในการดำรงชีวิตนับตั้งแต่เป็นเด็กแรก เกิดไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 มิถุนายน 2553 17:06:43 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: มีขันติคือให้พรแก่ตัวเอง
«
ตอบ #3 เมื่อ:
09 มิถุนายน 2553 16:24:44 »
เด็กเล็ก ๆ ต้องมีความอดทนชีวิตจึงจะพัฒนาได้เริ่มตั้งแต่การฝึกกิน ฝึกถ่ายฝึกเข้านอนให้เป็นเวลาไปจนถึงการค่อย ๆ ฝึกให้มีระเบียบวินัยในชีวิตรู้จักแบ่งเวลาให้เหมาะสม เวลาเรียน เวลาเล่นดูทีวี เล่นเกมส์ ช่วยงานบ้านฝึกให้รู้จักรอคอย อดออม ฯลฯ การ ฝึกเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ คือฝึกให้รู้จักอดได้ ทนได้ รอได้เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ชีวิตจะพัฒนาได้อยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขก็ยิ่งต้องใช้ความอดทนในทุก ๆ ด้าน นับแต่การกินอยู่การเรียน การทำงานความสัมพันธ์กับผู้อื่น การใช้ชีวิตในครอบครัวในสังคมไปจนถึงการพัฒนาด้านอารมณ์และจิตใจซึ่งในปัจจุบันนักจิตวิทยาจะให้ความสำคัญอย่างมากกับเรื่องวุฒิภาวะทางอารมณ์เพราะเชื่อว่าคนเราจะประสบ ความสำเร็จและมีความสุขในชีวิตได้จะต้องมีความฉลาดทางอารมณ์
หมายถึงความสามารถรู้อารมณ์และความรู้สึกของตนเองและผู้อื่นมีสติรู้จัก ควบคุมอารมณ์ของตนเองรู้จักรอคอย มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นสามารถ จัดการกับความไม่สบายใจต่าง ๆ ได้และมีชีวิตอยู่ด้วยความหวังการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ตามหลักของพุทธศาสนาก็คือการอบรมจิต อบรมสติปัญญาให้มีความรอบรู้เท่าทันอารมณ์และสามารถใช้สติปัญญาจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมอย่างไรก็ตามการพัฒนาจิต และสติปัญญา
ตามแนวทางของพุทธศาสนามีเป้าหมายสูงสุดที่การบรรลุ มรรคผลนิพพานตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน โอวาทปาฏิโมกข์ต่อจาก ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ว่า นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธาพระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่าเป็นบรมธรรมนิพพาน คือ บรมธรรม หมายความว่า เป็นธรรมอันเป็นเป้าหมาย
สุงสุด ซึ่งหมายถึงความสุขสูงสุดที่มนุษย์และเทวดาสามารถบรรลุได้ดังนั้นจึงสรุปใจความสำคัญของโอวาทปาฏิโมกข์ตอนแรกได้ว่า พระนิพพาน
เป็นจุดมุ่ง หมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาและขันติเป็นคุณธรรมอันเป็นเหตุที่จะนำเราไปสู่จุดหมายนั้น
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 มิถุนายน 2553 17:07:13 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: มีขันติคือให้พรแก่ตัวเอง
«
ตอบ #4 เมื่อ:
09 มิถุนายน 2553 16:33:13 »
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถึงเป้าหมายของพระพุทธศาสนาและ คุณธรรมอันเป็นเหตุที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายไว้แล้วพระองค์จึงตรัสถึง วิธีปฏิบัติตามหลัก 3 ประการหรือที่เรียกว่า ไตรสิกขา คือ...................................................
1.สพฺพปาปสฺส อกรณํ การรักษาศีล การไม่ทำบาปทั้งปวง ทั้งกาย วาจา ใจ คือ การรักษาศีล ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ตั้งเจตนาถูกต้อง ที่จะละจากบาปอกุศลทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227หัวใจ ของศีลคือ การไม่เบียดเบียน
2.กุสลสฺสูปสมฺปทา สมาธิ การทำ กุศลให้ถึงพร้อมในทางโลกคือ การทำความดี บำเพ็ญกุศลแต่ในระดับ โลกุตระคือทำจิตให้เป็นสัมมาสมาธิปราศจากกามารมณ์ และอกุศลจิตเป็น จิตสะอาด ตั้งมั่น พร้อมแก่การงานจิตที่เป็นสัมมาสมาธิจะทำทุกอย่าง ก็เป็นกุศลพร้อมแก่การพิจารณาธรรมสัมมาสมาธิจึงเป็น บ่อเกิดของปัญญา
3.สจิตฺตปริโยทปนํ ปัญญาการทำจิตให้ บริสุทธิ์เป็นจิตที่อยู่เหนือความชั่วความดีบาป บุญ ทุกข์ สุข ซึ่งยังเป็นโลกีย์การทำจิตให้บริสุทธิ์ในที่นี้คือ การเจริญวิปัสสนา อบรมปัญญาจนเข้าสู่อริยมรรค อริยผลและพระนิพพานเป็นโลกุตรจิตธรรมะแต่ละข้อในไตรสิกขานี้ ต่างก็มีความสัมพันธ์กันศีล เป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิและสมาธิเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญาเมื่อเกิด ปัญญาขั้นสมบูรณ์ คือ สมบูรณ์พร้อมด้วย ศีล สมาธิ ปัญญาหรือเรียกว่า เจริญอริยมรรคมีองค์ 8 สมบูรณ์ บรรลุมรรคผลนิพพานหลักปฏิบัติซึ่ง เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาจึงอยู่ที่ละความชั่ว ทำความดี ชำระจิตให้สะอาดหรือศีล สมาธิ ปัญญา
อดได้ ทนได้ ทำใจได้ ขันติ เป็นภาษาบาลี หมายถึง การรักษาภาวะปกติของตนไว้ได้ไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วย สิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจก็ตาม
ในภาษาไทย ขันติ หมายถึงความอดทนอด เป็นอาการที่อยากจะได้ แต่ไม่ได้ทน เป็นอาการที่ไม่อยากได้ แต่ต้องได้ใน ภาษาจีนและญี่ปุ่นตัวอักษร
คันจิ ที่มีความหมายว่าอดทนเป็นอักษรที่ เกิดจากการนำคำสองคำมารวมกันคำหนึ่งคือ มีด อีกคำหนึ่งคือ หัวใจซึ่งความหมายของศัพท์คำใหม่ที่ได้ก็คือ ทำใจได้แม้มีใครเอามีดมาจ่อที่ หัวใจก็ทำใจได้คือ มีความอดทน อดกลั้น ไม่หวั่นไหวอดทน ต่อเหตุที่มากระทบ 4 อย่างในชีวิตประจำวันของคนเรา
จำเป็นต้อง ฝึกให้มีความอดทนต่อเหตุที่มากระทบซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 4 อย่างคือ.................................................
1.อดทนต่อความลำบากตรากตรำคืออดทนต่อสภาพธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศไม่ เอาเหตุแห่งดินฟ้าอากาศมาเป็นข้ออ้างที่จะทอดทิ้งการงาน
2.อดทนต่อทุกขเวทนาคือการอดทนต่อความเจ็บไข้ได้ป่วยความไม่สบายกาย
3.อดทนต่อความเจ็บใจคืออดทนต่อเหตุแห่งความไม่พอใจที่ มากระทบ เช่น คำพูดที่ไม่ชอบใจความบีบคั้นจากผู้บังคับบัญชาอดทนต่อ ความโกรธ หงุดหงิดขุ่นเคืองใจ เป็นต้น
4.อดทนต่ออำนาจกิเลสคือ อดทนต่อสิ่งยั่วยุอันน่าเพลิดเพลินใจอดทนต่อสิ่งที่อยากทำแต่ไม่สมควรทำ เช่นการใช้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย การเที่ยวกลางคืนเล่นการพนัน สูบบุหรี่ กินเหล้าเมายา เป็นต้น
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 มิถุนายน 2553 17:08:12 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: มีขันติคือให้พรแก่ตัวเอง
«
ตอบ #5 เมื่อ:
09 มิถุนายน 2553 16:35:34 »
มีบางคนที่นำเอาคำว่า ขันติมาใช้อย่างผิดความหมายคือ เอามาเป็นข้องอ้างที่จะปล่อยปละละเลยไม่ยอมทำในสิ่งที่ถูกที่ควรเช่น บางคนขี้เกียจทำมาหากิน งอมืองอเท้าตกอยู่ในสภาพใดก็ทนอยู่อย่างนั้น ไม่ขวนขวายแล้วบอกว่า ตนมีความอดทนต่อความยากลำบากอย่างนี้เป็นการ เข้าใจผิด
ตีความหมายของขันติผิดไปขันติ ความอดทนอดกลั้นที่ พระพุทธเจ้าทรงสอน คือ..................................................
อดทน ในสิ่งที่ควรอดทนด้วยความเต็มใจและพอใจ
อดทน ในการละ หลีกเลี่ยงจากความชั่ว
อดทน ทำความดีต่อไปในทุกสถานการณ์
อดทน รักษาใจให้ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง
ลักษณะที่สำคัญของ ขันติ คือ ตลอดเวลาที่อดทนอยู่นั้นจะต้องรักษาความเป็นปกติของตนไว้ได้ใจ ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 มิถุนายน 2553 17:08:44 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: มีขันติคือให้พรแก่ตัวเอง
«
ตอบ #6 เมื่อ:
09 มิถุนายน 2553 16:39:29 »
......................................ทศบารมีสำเร็จได้เพราะขันติบารมี..................................
พระพุทธเจ้าก่อนที่จะตรัสรู้พระองค์ทรงเสวย พระชาติเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทศบารมีหรือ บารมี 10 ประการก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ต้องบำเพ็ญบารมีทั้ง 10 ประการนี้จนเต็มบริบูรณ์.............................................
1.ทาน การเสียสละ
2.ศีล การรักษากายวาจาให้เป็นปกติ
3.เนกขัมมะ การออกจากกามคุณ 5
4.ปัญญา การรู้ตามความเป็นจริง
5.วิริยะ ความเพียรไม่ทอดทิ้งหน้าที่
6.ขันติ ความอดทน อดกลั้น
7.สัจจะความจริงใจ พูดจริง ทำจริง
8.อธิษฐานการตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
9.เมตตา การเกื้อกูลให้ผู้อื่นเป็นสุข
10.อุเบกขา การวางใจเฉยเที่ยงธรรม
พระจันทกุมารจันทกุมารชาดก เป็นชาติที่พระโพธิสัตว์เสวยพระ ชาติเป็นพระจันทกุมารทรงบำเพ็ญขันติบารมีเต็มบริบูรณ์ในชาตินี้คือ ทรงอดทน อดกลั้นต่อความโกรธด้วยใจที่ปกติ ไม่หวั่นไหวแม้กำลังจะถูก นำตัวไปฆ่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทนได้ยากยิ่ง
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 มิถุนายน 2553 17:10:58 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: มีขันติคือให้พรแก่ตัวเอง
«
ตอบ #7 เมื่อ:
09 มิถุนายน 2553 16:48:39 »
พระจันทกุมารเป็นโอรสของเจ้าผู้ครองแคว้น ๆ หนึ่งแคว้นนี้มีเสนาบดีซึ่งเป็นคนทุศีลโลภเห็นแก่อามิสสินบน ไม่มีความเที่ยงธรรมเวลาจะพิจารณาคดีความถ้าใครให้สินบนก็จะว่าความให้คนนั้นชนะเมื่อ พระจันทกุมารทรงเจริญวัยพอที่จะเป็นรัชทายาทพระราชบิดาโปรดให้มา ช่วยงานแผ่นดิน
ดูแลทุกข์สุขของราษฎรวันหนึ่งทรงพบชาวบ้านที่มีคดี ความตัวเองเป็นฝ่ายถูก แต่ไม่มีเงินให้เสนาบดีซึ่งถูกฝ่ายคู่คดีติด สินบนเอาไว้เสนาบดีเลยว่าความให้ชายคนนั้นแพ้หมดเนื้อหมดตัวชาย คนนี้เสียใจเดินร้องไห้ออกมาจากศาลมาพบกับพระจันทกุมาร ตรัสถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรนายคนนี้ก็เล่าให้ฟัง
ท่านทรงรื้อค้นคดีนี้ขึ้นมาสืบสวนสอบสวนตามความเป็นจริงทำให้ชายคนนี้ได้รับความยุติธรรมพระเจ้าแผ่นดินทรงเห็นพระโอรสปฏิบัติภารกิจเที่ยงธรรมเป็นที่สรรเสริญของประชาชนจึงทรงแต่งตั้งให้พระจันทกุมารขึ้นมาดูแล คดีความทั้งหลายแทนเสนาบดีเสนาบดีก็คับแค้นใจเพราะเท่ากับไปทุบถุงเงินถุงทองของเขาทำให้เขาขาดรายได้ก้อนงามเสนาบดีคอยโอกาส วันหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินทรงพระสุบินว่าได้ทิพยสมบัติ พอตื่นบรรทมก็ตรัสเล่าให้เสนาบดีฟังว่าทิพยสมบัติวิเศษทำ ให้พระทัยปีติสุขอย่างไรเสนาบดีเห็นเป็นโอกาสที่จะแก้แค้น ก็ตอบว่าท่าน มีบุญญาภินิหารสามารถได้ลิ้มรสทิพยสมบัติขณะยังมีชีวิตเป็นบุคคลธรรมดา เพื่อรักษาบุญญาภินิหารนี้ไว้ขอให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญ สิ่งที่ใช้เพื่อบูชาก็คือเลือดของพระโอรส พระมเหสีช้างแก้ว ม้าแก้ว คือ ของคู่บ้านคู่เมืองทั้งหลายต้องเอามาบูชายัญให้หมดรวมทั้งประชาชนและสัตว์ต่าง ๆ อีกเป็นจำนวนมากพระเจ้าแผ่นดินหูเบาเชื่อเสนาบดีโปรดให้สร้างโรงพิธีขึ้นขึ้นเพื่อบูชายัญ เสนาบดีทูลว่าคนแรกที่ต้องบูชายัญคือพระจันทกุมารพิธีนี้จึงจะศักดิ์สิทธิ์และสัมฤทธิ์ผลถึงวันพิธีก็เตรียมเอาพระจันทกุมารมัดขึ้นกองไฟเผาบูชาแล้วตัวเสนาบดีจะเป็นผู้เอาดาบเข้าไปฟันคอรองเอาเลือดมาถวายพระเจ้าแผ่นดินเพื่อใช้ประกอบพิธีพระมเหสีของพระจันทกุมารเสียใจที่เสนาบดีเป็นคนไม่ดีจะมาแกล้งฆ่าสวามีของตัว ก็ภาวนาอธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้พระจันทกุมารรอดพ้นจากวิบัติครั้งนี้และขอให้เสนาบดีซึ่งเป็นคนผิดคนชั่วได้รับโทษทัณฑ์ใจของพระมเหสีทรงมุ่งมั่นแน่วแน่ ผนวกกับคุณความดีของพระจันทกุมาร ทำให้อาสนะของพระอินทร์เกิดร้อนไปหมด
พระอินทร์เล็งทิพยเนตรดูก็ทราบเหตุการณ์จึงเหาะไปในอากาศถือค้อนที่เป็นไฟลุกแดงเข้าไปฟันปะรำพิธีพระอินทร์ตรัสว่าพระเจ้าแผ่นดินว่าไม่ใคร่ครวญ
คนเราจะได้ทิพยสมบัติ ก็ต้องอยู่ในศีลในธรรมมาทำอย่างนี้ได้อย่างไรพระอินทร์สอนให้พระเจ้าแผ่นดินครองพระองค์ปฏิบัติอยู่ในศีลในธรรมให้เลิกล้มพิธีนี้ให้หมดประชาชนซึ่งทนเสนาบดีไม่ได้อยู่แล้วเมื่อเห็นเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นจึงช่วยกันรุมจับตัวเสนาบดีประชาทัณฑ์จนกระทั่งตายไป
แล้วพากันจะไปจับพระเจ้าแผ่นดินประชาทัณฑ์ด้วยแต่ พระจันทกุมารเสด็จไปกั้นเอาไว้ตรัสว่า เป็นพระราชบิดาไม่ว่าจะอย่างไรท่านก็กตัญญูรู้คุณต่อพระราชบิดา
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 มิถุนายน 2553 17:17:33 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: มีขันติคือให้พรแก่ตัวเอง
«
ตอบ #8 เมื่อ:
09 มิถุนายน 2553 16:54:08 »
ไม่ยอมให้ประชาชนเข้ามาทำร้ายถ้าจะทำร้ายก็ต้องทำร้ายท่านเสียก่อนประชาชนก็เลยไม่ทำร้ายพระเจ้าแผ่นดินแต่มีประชามติถอดถอนออกจากพระเจ้าแผ่นดินและยกพระจันทกุมารขึ้นเป็นพระเจ้า แผ่นดินปกครองไพร่ฟ้าประชาชนด้วยความยุติธรรมพระจันทกุมารตอนที่เสนาบดีทูลพระเจ้าแผ่นดินและเอาท่านไปเผาเพื่อฆ่าบูชายัญท่านก็ไม่มีความหวาดหวั่น ท่านไม่ได้ต่อสู้หรือโต้เถียงเพราะท่านเห็นว่า เมื่อเสนาบดีกับท่านมีความขัดแย้งกัน
แม้ว่าท่านทำสิ่งที่ถูกทำสิ่งที่ควรเพื่อช่วยประชาชนกิเลสของคนชั่วก็ย่อมเห็นไปว่าท่านไปรังแกเขาท่านยอมว่า เมื่อท่านเหมือนไปขัดขวางทางเขา
เขาก็ต้องโต้ตอบท่านเป็นธรรมดาท่านจึงอดทนอดกลั้นไม่โกรธตอบยอมรับภัยที่จะเกิดขึ้นหากบุญกุศลของท่านมีพลังก็คงจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองท่านจึงไม่โต้แย้งหรือขัดขืนอะไรเลยท่านยอมให้คนจับเอาท่านไปอยู่ในปะรำพิธีและจุดไฟเผาท่านเพื่อบูชายัญ
ท่านทำสมาธิภาวนาไม่ปล่อยใจให้หวั่นไหว มีขันติธรรมสงบอยู่จนกระทั่งพระอินทร์เหาะลงมาอาจารย์เข้า ใจว่าเรื่องจันทกุมารชาดกนี้น่าจะเป็นที่มาของคำว่าอดทนในภาษาจีน และญี่ปุ่นนั่นเองคือการเอาตัวอักษรคันจิที่แปลว่ามีดมารวมกับอักษร คันจิที่แปลว่าหัวใจในความหมายว่าแม้มีใครเอามีดมาจ่อที่หัวใจ
ก็ทำใจได้ อดทน อดกลั้น ไม่หวั่นไหวเหมือนกับพระจันทกุมารที่แม้มีใคร เอามีดจะมาตัดคอเพื่อเอาเลือดไปบูชายัญท่านก็รักษาใจดี มีเมตตาไว้ได้ด้วยขันติธรรม
........................................THE END..........................................
........................พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ มิสุโอะ คเวสโก.......................
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 มิถุนายน 2553 17:16:10 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: มีขันติคือให้พรแก่ตัวเอง
«
ตอบ #9 เมื่อ:
10 มิถุนายน 2553 10:10:08 »
อนุโมทนาสาธุธรรม, เสียงธรรมค่ะ ชอบมากๆ
สาธุ สาธุ สาธุ...
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 มิถุนายน 2553 10:17:45 โดย เงาฝัน
»
บันทึกการเข้า
คำค้น:
dhamma
ขันติ
ธรรมมะ
เตือนใจ
บางครั้ง
เพียร
ได้ยิน
ขณะจิต
วิมุติ
ปัญญา
วิริยะ
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ
เริ่มโดย
ตอบ
อ่าน
กระทู้ล่าสุด
ธรรมข้อคิดจากหนังสือ "อตุโล ไม่มีใดเทียม"
พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
เงาฝัน
9
8549
28 พฤษภาคม 2553 12:06:22
โดย sometime
เรียงความเรื่องแม่.. บอกรักแม่ก่อนเรียง
ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
เงาฝัน
5
8956
11 สิงหาคม 2553 12:07:31
โดย
หมีงงในพงหญ้า
ชาติก่อน ชาติหน้า มีจริงหรือ?
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน
5
4514
14 ตุลาคม 2553 18:40:08
โดย
เงาฝัน
หลักปฏิบัติของลูกที่พึงกระทำต่อพ่อแม่(มาตา)
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
時々๛कभी कभी๛
1
3117
26 มีนาคม 2554 11:41:59
โดย
เงาฝัน
ความจริงใจต่อตนเองและผู้อื่น
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
เจ้าทึ่ม
14
13046
19 กรกฎาคม 2554 16:04:30
โดย
เจ้าทึ่ม
กำลังโหลด...