วัน ที่ 5 มิถุนายนของทุกปี UN จัดให้เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day : WED) โดยแต่ละปีก็จะมีหัวข้อรณรงค์ต่างกันไปเช่น ทะเลทราย ในปี พ.ศ. 2549, เมืองสีเขียว ในปี พ.ศ. 2548 หัวข้อรณรงค์ประจำปีนี้คือ Kick The Habit! Towards A Low Carbon Economy หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากเชื้อเพลิงฟอสซิลคุณภาพต่ำๆ ซึ่งเป็นรากฐานความเจริญทางเศรษฐกิจตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่มีส่วนทำ ให้อัตราการบริโภคเพิ่มสูงขึ้น การใช้ทรัพยากรแบบล้างผลาญเชื่อมโยงถึงการเกิดปัญหามลภาวะและสิ่งแวดล้อมที่ หนักหน่วงยิ่งขึ้นทุกขณะ
เอาล่ะครับ ตัดฉับจาก WED 2008 ไปสู่ภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับ การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิของโลกดีกว่า
'Six Degrees Could Change the World' ภาพยนตร์สารคดีโดย National Geographic นำเสนอการคาดการณ์ว่าทุกๆ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้น 1 องศา ส่งผลต่อดาวเคราะห์ดวงนี้อย่างไร ทั้งนี้ตัวภาพยนตร์ได้ย้ำอีกว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ การ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกในอดีตนั้น แต่ละคาบจะกินระยะเวลานานมาก เทียบไม่ได้เลยกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ดังเช่นที่กำลังเกิดในขณะนี้ เนื้อหาใน Entry นี้จึงไม่เน้นการกล่าวถึงสาเหตุของปรากฎการณ์โลกร้อน เพราะมันเป็นเรื่องหลังเขาไปแล้ว
เอาล่ะครับ เรามาดูกันต่อว่าทุกๆ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้น 1 องศานั้น ก่อให้เกิดผลกระทบอะไรบ้าง
+1 องศาเซลเซียส
[INDENT]
[/INDENT]
- ขั้ว โลกเหนือไม่มีหิมะไปครึ่งปี ทำให้เส้นทางเดินเรือ Northwest Passage สามารถใช้งานได้นานขึ้น การขนส่งสินค้าจากยุโรปมายังเอเชียตะวันออกทำได้สะดวกขึ้น, คอคอดกระ (ถ้ามี) ประสบกับภาวะขาดทุน
- เกิดภาวะแห้งแล้งรุนแรงทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ผลผลิตลดลง ขาดแคลนอาหาร เกิดทะเลทรายใหม่ๆ ในอดีต ฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ เป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ แต่การเปลี่ยนแปลงวงโคจรของโลกเพียงเล็กน้อยทำให้อากาศอบอุ่นขึ้น เกิดการสะสมชั้นดินบางๆ จนกลายเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่ดีที่สุดของสหรัฐฯ ในยุคปัจจุบัน แต่ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น ความชื้นในดินลดลง หน้าดินก็จะแห้ง ถูกลมพัดหายไป กลับกลายเป็นทะเลทรายอีกครั้ง
. - ประเทศอังกฤษ สามารถปลูกองุ่นและผลิตไวน์ได้ดีขึ้น ในขณะที่ผลผลิตองุ่นของฝรั่งเศสมีคุณภาพตกต่ำลง อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น มีผลให้แนวสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมกับการปลูกองุ่นเลื่อนขึ้นไปทางทิศเหนือมากขึ้น ปัจจุบันนี้ อังกฤษมีไร่ไวน์มากกว่า 400 แห่ง และตอนนี้ก็เริ่มมีการทดลองปลูกต้นมะกอกในอังกฤษแล้วด้วย
+2 องศาเซลเซียส- น้ำแข็งบนกรีนแลนด์ ซึ่งธรรมชาติใช้เวลาสะสมมานานกว่า 150,000 ปี หายไป ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบัน สุนัขลากเลื่อนที่กรีนแลนด์ถูกทอดทิ้งให้อดตายจำนวนมาก เพราะว่าหิมะบางลงจนไม่มีงานให้มันทำ
- แมลงแปลกๆ จะเคลื่อนย้ายไปยังถิ่นที่อยู่อาศัยใหม่ๆ โดยเคลื่อนตัวไปยังเขตทิศเหนือที่เคยหนาวเย็นมากขึ้น แมลงที่มาใหม่สามารถสร้างความเสียหายแก่ต้นไม้ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ในท้องถิ่นเดิม อย่างราบคาบ
- เมื่อสุนัขลากเลื่อนและหมีขั้วโลกเหลือเพียงตำนาน, ที่ราบทุนดราที่แสนกันดารก็จะกลายเป็นแหล่งป่าไม้ไหม่
. - โลกสูญเสียแนวปะการังไปเกือบทั้งหมดเนื่องจากปรากฏการณ์ฟอกขาว สัตว์น้ำลดความอุดมสมบูรณ์ลงมาก มหาสมุทรถือเป็นอ่างรับคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นด่านแรกของกลไกซับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ โดยปรกติแล้วสิ่งมีชีวิตเล็กๆ หลายชนิดจะดูดซับเอาคาร์บอนในน้ำทะเล เพื่อนำไปใช้สร้างกระดูกหรือเปลือก แต่คาร์บอนไดออกไซด์ที่มากเกินไปจะทำให้น้ำทะเลเป็นกรดมากขึ้น และไปขัดขวางกระบวนการดูดคาร์บอน
+3 องศาเซลเซียส- เป็นจุดที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าเราจะไม่สามารถย้อนกลับหรือหยุดยั้งกระบวนการโลกร้อนได้อีกต่อไป
- ขั้วโลกเหนือจะไม่มีน้ำแข็งในหน้าร้อนอีกต่อไป, ป่าฝนอะเมซอนจะแห้งไป, ยอดเขาแอลป์ไม่เหลือชั้นน้ำแข็ง
- พายุรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นร้อยปีครั้ง กลายเป็นเรื่องปรกติธรรมดาและต้องปรับเพิ่มมาตรวัดความเร็วพายุใหม่
. - El Nino กลายเป็นปรากฎการณ์ปรกติธรรมดา เหมือนย้อนกลับไปสู่โลกในยุคพาลีโอซีน (Paleocene)
- คลื่นความร้อนเกิดขี้นทั่วทวีปยุโรป จนหลายเป็นเรื่องปรกติธรรมดา เหมือนกำลังอาศัยอยู่ในตะวันออกกลาง (เหมือนเหตุการณ์คลื่นความร้อนที่เคยเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2003 ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วยุโรปสูงถึง 3 หมื่นคน)
- กระบวนการสังเคราะห์แสงหยุดชะงักลง พืชกักออกซิเจนไว้และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศแทน
+4 องศาเซลเซียส- เมืองตามปากแม่น้ำจมทะเลถาวร, ธารน้ำแข็งบนภูเขาหิมาลัย ไม่มีเหลือ, แม่น้ำคงคา หายไปจากแผนที่โลก
- ทิศเหนือของแคนาดาเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว, ชายหาดแถบสแกนดิเนเวีย กลายเป็นที่พักร้อนแห่งใหม่ของยุโรป
- ธารน้ำแข็งด้านทิศตะวันตกของขั้วโลกใต้ ละลายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงทุ่งน้ำแข็งในบริเวณใจกลางทวีป
+5 องศาเซลเซียส- หิมะและน้ำในชั้นหินที่คอยหล่อเลี้ยงเมืองใหญ่ เหือดแห้ง, เกิดพื้นที่ที่มนุษย์อยู่อาศัยไม่ได้ในเขตอบอุ่นเดิม
- ระบบสังคมล่มสลาย, คนจนถูกทอดทิ้ง เกิดการอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นฐานจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ
- เกิดการต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรที่เหลืออย่างรุนแรงระหว่างชนชั้นเหมือนที่เห็นในการ์ตูนหรือภาพยนตร์ไซไฟ
+6 องศาเซลเซียส- มหาสมุทรกลายเป็นสุสานแห่งความตายไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้, ทะเลทรายบุกเข้ายึดพื้นที่ทั้งทวีป
- ภัยพิบัติทางธรรมชาติกลายเป็นเรื่องปรกติที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้. กรมอุตุฯ กลายเป็นหน่วยงานที่โลกลืม
- มนุษย์สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปและเกิดเผ่าพันธุ์ใหม่ครอบครองโลกนี้แทนในระหว่างที่โลกกำลังปรับคืนสู่จุดสมดุล
ตอนท้ายเรื่องยังกล่าวถึงทางออก วิธีการแก้ไขปัญหารูปแบบต่างๆ รวมไปถึงจุดอ่อนของแต่ละวิธีการด้วยครับ หมายเหตุ : ขณะนี้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นมาแล้ว 0.8 องศา ส่วนจะเพิ่มถึงไหนนั้น ต้องดูกันต่อไปสรุปปรากฎการณ์โลกร้อนในยุคครีเตเชียส (Cretaceous : ในช่วงเวลาประมาณ 145.5 - 65.5 ล้านปีก่อน) ถึงแม้จะต้องใช้เวลานานนับล้านปีก็ตาม โลกก็สามารถหาหนทางเพื่อปรับสมดุลของอุณหภูมิภายในตัวเองได้ ด้วยความช่วยเหลือจากแพลงตอนในทะเลและพืชบนบก ช่วยกันดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนเกินในอากาศ เมื่อแพลงตอนและพืชตายไปทับถมกัน ผ่านความร้อนและแรงกดดัน ก็กลายเป็นน้ำมันหรือถ่านหินในชั้นใต้ดิน แต่ ด้วยความฉลาดของเผ่าพันธุ์โฮโมเซเปี้ยน ก็สามารถประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีในการขุดน้ำมันและถ่านหินขึ้นมาใช้กันอย่าง ไม่บันยะบันยัง ปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่โลกผนึกเอาไว้กลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศอีกครั้งนับ ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงภูมิปัญญาอย่างยิ่ง สามารถย้อนกลับไปสู่อดีตได้โดยไม่ต้องพึ่งไทม์แมชชีนเลยล่ะครับ (แต่จะมีชีวิตรอดดูอยู่หรือเปล่านั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)ของแถม- กระบวนการผลิตชีสเบอร์เกอร์ที่ชาวอเมริกันบริโภคใน 1 ปี ตั้งแต่ การเพาะปลูกเพื่อเลี้ยงสัตว์ ทำขนมปัง การปลูกผักกาด การทำชีส การแปรรูปเนื้อวัว การขนส่ง การแช่แข็ง ฯลฯ เมื่อรวมทุกขั้นตอนเข้าด้วยกันแล้ว การบริโภคชีสเบอเกอร์ ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 200 ล้านตันต่อปี นี่แค่เฉพาะพื้นที่สหรัฐอเมริกา นับเป็นปริมาณมากยิ่งกว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากรถอเนกประสงค์ทุกคันในสหรัฐอเมริการวมกันเสียอีก
- บางคนยังไม่เข้าใจว่า 1 องศามันจะมีผลกระทบขนาดไหนเชียว ลองหาแผนที่อุณหภูมิอากาศมาดูนะครับ แล้วลองดูว่าความกว้างของเส้นอุณหภูมิจากองศาหนึ่งไปอีกองศาหนึ่ง บนพื้นที่ราบ มันกว้างกี่ร้อยกิโลเมตร หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ความเห็น #3 กับ #5 ครับ เป็นตัวอย่างใกล้ตัวมากจนผมลืมนึกถึงไปเลย
ลองไปค้นข้อมูลเปรียบเทียบมาครับ
เรื่องร่างกายคน อุณหภูมิปกติ ประมาณ 37° C
ถ้าบวกเพิ่มไปอีกแค่ 0.5° C ก็ถือว่าเริ่มเป็นไข้แล้ว
ถ้าเกิน 2 ทานยา พักผ่อน ได้แล้ว
ถ้าเกิน 3 ควรไปหาหมอ
ถ้าเกินไป 6 นี่ไม่รู้ล่ะ หาข้อมูลไม่ได้ ใครเป็นหมอรบกวนบอกที
อันนี้คือใกล้ตัวมากๆ ร่างกายเราเองครับ
เผื่อใครจะนึกไม่ออกว่าเพิ่มไปแค่องศาเดียวจะเป็นไรไป
- (ความเห็นที่ 5)
40 - 41 องศาขึ้นไปนี่เริ่มแย่แล้วครับ
พอสูงไปจากนี้ เม็ดเลือดแดงและเซลล์อื่นๆ จะค่อยๆ แตกตามกันไป
ผลคือเนื้อเยื่อทั่วร่างกายขาดออกซิเจน ของเหลวทะัลัก อาจตายเพราะขาดน้ำ...
ผมไปห่วงตรง 3 องศาครับ - -'' มันเป็นจุดที่ย้อนกลับไม่ได้
ก็หวังว่าคงชะลอเวลาจุดนั้นไม่ให้มาถึงเร็วเกินไป
โดย อ.มดเอ็กซ