[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 21:04:05 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: บัณฑิตที่แท้จริง  (อ่าน 4024 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 10:58:44 »


<table class="maeva" cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" style="width: 800px" id="sae1"> <tr><td style="width: 800px; height: 576px" colspan="2" id="saeva1"><script type="text/javascript"><!-- // --><![CDATA[ var oldLoad = window.onload; window.onload = function() { if (typeof(oldLoad) == "function") oldLoad(); if (typeof(aevacopy) == "function") aevacopy(); } // ]]></script><embed type="application/x-mplayer2" src="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/17.wma" width="800px" height="576px" wmode="transparent" quality="high" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="never" ShowControls="True" autostart="false" autoplay="false" /></td></tr> <tr><td class="aeva_t"><a href="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/17.wma" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.fungdham.com/download/song/allhits/17.wma</a></td><td class="aeva_q" id="aqc1"></td></tr></table>




..........................จาก มก. บัณฑิตสามเณร เล่ม ๔๑ หน้า ๓๓๑.........................



แท้จริงบุคคลผู้มีปกติเที่ยวสมคบคนพาลย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน เพราะการอยู่ร่วมกันกับคนพาลเป็นเหตุนำทุกข์มาให้ เหมือนการอยู่ร่วมกับศัตรู ส่วนบัณฑิตมีการอยู่ร่วมกันเป็นสุข เหมือนอยู่ในสมาคมแห่งหมู่ญาติ เพราะเหตุนั้นแล นรชนพึงคบบัณฑิตผู้มีปัญญา เป็นพหูสูต เอาการเอางาน มีศีล มีวัตร ไกลจากกิเลส และเป็นสัตบุรุษ เปรียบดังพระจันทร์คบกับอากาศ อันเป็นทางโคจรแห่งดวงดาวฉะนั้น
ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ มีสิ่งที่จะต้องศึกษาควบคู่กันไปอยู่ ๒ ประการ คือ การศึกษาวิชาความรู้ทางโลก และการศึกษาวิชชาความรู้ทางธรรม การศึกษาวิชาความรู้ทางโลก มีเป้าหมาย เพื่อให้เรารู้จักวิธีแสวงหาปัจจัยสี่มาเลี้ยงตน ทำให้เราได้รับความสุขและความสำเร็จในชีวิต
การศึกษาความรู้ในทางธรรม มีเป้าหมายเพื่อฝึกฝนอบรมจิตใจของเราให้สะอาด บริสุทธิ์ เพื่อจะได้เข้าถึงแหล่งแห่งสติ แหล่งแห่งปัญญาที่สมบูรณ์ ซึ่งจะส่งผลให้ชีวิตจิตใจของเราสะอาดบริสุทธิ์สูงส่งยิ่ง ๆ ขึ้น จนกระทั่งหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย ได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง ที่อยู่ภายในตัวของเรา
การคบกับคนพาลย่อมนำมาซึ่งความเสื่อม เพราะปกติ คนพาลมักจะชักนำไปในทางที่ผิด เนื่องจากเป็นผู้มีใจขุ่นมัวเป็นปกติ จึงมีความเห็นผิด ก่อให้เกิดความทุกข์ต่อตนเองและผู้อื่น เหมือนใบไม้ที่ห่อหุ้มปลาเน่า ย่อมต้องพลอยเหม็นแปดเปื้อนไปด้วยฉันใด ผู้ที่คบคนพาลก็ต้องพลอยเสียชื่อเสียง และ เดือดร้อนใจไปด้วยฉันนั้นส่วนการคบกับบัณฑิต ย่อมนำมาซึ่งความสุขความเจริญรุ่งเรือง เพราะบัณฑิตจะคอยชี้แนะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ถูกต้องดีงาม เนื่องจากเป็นผู้มีใจใสเป็นปกติ มีความเห็นถูกต้อง ตรงไปตามความเป็นจริง รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว อะไรเป็นประโยชน์ และอะไรไม่เป็นประโยชน์ การอยู่ร่วมกับบัณฑิตจึงเป็นสุขเหมือนอยู่ท่ามกลางสมาคมของหมู่ญาติมิตรที่มีความปรารถนาดีต่อกัน
มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ ต่างมีความปรารถนาเหมือนกัน คือ ปรารถนาความสุขและพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ที่สมบูรณ์ มีความรู้ความสามารถ แตกฉานทั้งทางโลกและทางธรรมจึงได้พยายามศึกษาหาความรู้ให้สูงขึ้นไปตามลำดับ ตั้งแต่ชั้นประถม มัธยม อุดมศึกษา ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก เมื่อจบปริญญาแล้ว เขาก็เรียกว่า เป็นบัณฑิต เป็นมหาบัณฑิต เป็นด็อกเตอร์ได้รับการยอมรับจากสังคมว่า เป็นคนมีความรู้ คนมีปัญญา นี่คือ บัณฑิตในทางโลก

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 มิถุนายน 2553 11:20:48 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 11:03:46 »




สำหรับบัณฑิตในทางธรรม หมายเอาผู้มีคุณธรรมภายใน ซึ่งมีอยู่หลายระดับถึง ๑๘ ชั้นด้วยกัน ตั้งแต่กายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม กายอรูปพรหมละเอียด กายธรรมโคตรภู กายธรรมโคตรภูละเอียด กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระโสดาบันละเอียด กายธรรมพระสกทาคามี กายธรรมพระสกทาคามีละเอียด กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอนาคามีละเอียด กายธรรมพระอรหัต และกายธรรมพระอรหัตละเอียด ทั้งหมดนี้เป็นบัณฑิตที่มีอยู่ภายในตัวของมนุษย์ทุกคน ละเอียดเป็นชั้น ๆ เข้าไป มีความฉลาด ความรอบรู้เพิ่มขึ้น ไปตามลำดับ
ถ้าอยากรู้ว่าบัณฑิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร ก็ให้เอาใจหยุดไปที่ศูนย์กลางกาย ในสมัยพุทธกาล มีเด็กน้อยคนหนึ่งชื่อ บัณฑิต เมื่ออายุ ๗ ขวบ ได้ขออนุญาตบิดามารดาออกบวชเป็นสามเณรในสำนักของพระสารีบุตร และในวันที่ ๘ ของการบวชนั่นเอง ขณะที่สามเณรบัณฑิตกำลังเดินบิณฑบาตตามหลังพระเถระ สามเณรเห็นเหมืองน้ำแห่งหนึ่ง จึงได้เรียนถามพระสารีบุตรว่า สิ่งนี้เขาเรียกว่าอะไรมีไว้ทำอะไรขอรับพระสารีบุตรตอบว่าเขาเรียกว่าเหมือง
มีไว้สำหรับไขน้ำเข้าไปในนาข้าว สามเณรถามต่อว่า น้ำมีจิตไหม ขอรับ พระเถระตอบว่า ไม่มีจิต
สามเณรเกิดความคิดว่า ถ้าคนทั้งหลายไขน้ำซึ่งไม่มีจิต เข้าไปสู่ที่ที่ตนปรารถนา แล้วทำการงานได้ เหตุไฉนคนซึ่งมีจิตแท้ ๆ จะไม่อาจทำจิตของตนให้เป็นไปตามอำนาจ แล้วบำเพ็ญสมณธรรม
สามเณรเดินต่อไป เห็นช่างศรกำลังเอาลูกศรลนไฟ เล็งด้วยหางตา แล้วดัดให้ตรง จึงเรียนถามพระเถระว่า พวกเขาทำอะไรกันขอรับ พระเถระตอบว่า เขาเอาลูกศรลนไฟแล้วดัดให้ตรง แล้วลูกศรมีจิตไหม ขอรับ พระเถระตอบว่า ไม่มีจิต สามเณรคิดว่า ถ้าคนทั้งหลายถือเอาลูกศรอันไม่มีจิต ลนไฟแล้ว
ดัดให้ตรงได้ เพราะเหตุไรคนซึ่งมีจิตจะไม่อาจทำจิตของตนให้เป็นไปในอำนาจ แล้วบำเพ็ญสมณธรรมเล่า
ครั้นสามเณรเดินต่อไป เห็นช่างไม้กำลังถากไม้ เพื่อทำกงดุมและล้อเกวียน จึงเรียนถามพระเถระว่า เขาถากไม้เพื่อทำอะไรกันขอรับ พระเถระตอบว่า
เขาถากไม้เพื่อทำล้อของเกวียน สามเณรถามต่อ แล้วไม้เหล่านั้นมีจิตไหม ขอรับ พระเถระตอบว่า ไม่มีจิต สามเณรได้มีความคิดขึ้นมาว่าถ้าคนทั้งหลาย ถือเอาท่อนไม้ที่ไม่มีจิต ทำเป็นล้อได้ เพราะเหตุไร คนผู้มีจิตจึงไม่อาจทำจิตของตนให้เป็นไปในอำนาจ แล้วบำเพ็ญสมณธรรมเล่า
เมื่อสามเณรบัณฑิตได้เห็นสิ่งต่าง ๆ แล้วพิจารณาอย่างแยบคาย จึงได้กราบเรียนพระเถระว่า “กระผมจะขอกลับวัดก่อน ขอให้พระอาจารย์กรุณานำอาหารที่มีปลาตะเพียน มาให้กระผมด้วย ขอรับ พระเถระถามว่า เราจะหาได้จากที่ไหนล่ะสามเณร สามเณรตอบว่า หากไม่ได้ด้วยบุญของท่านอาจารย์ คงจะได้ด้วยบุญของกระผม ขอรับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 มิถุนายน 2553 11:14:06 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 11:06:52 »




พระสารีบุตรทราบจุดมุ่งหมายของสามเณร จึงอนุญาตให้กลับ เมื่อสามเณรกลับมาถึงที่พักแล้ว ก็ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมเจริญสมาธิภาวนา ส่วนพระสารีบุตรได้บิณฑบาตไปถึงเรือนของอุปัฏฐากท่านหนึ่งวันนั้นอุปัฏฐากได้ปลาตะเพียนมาหลายตัว จึงนำมาปรุงเป็นอาหาร เมื่อเห็นพระเถระมาก็ดีใจ นิมนต์ให้ท่านรับบิณฑบาต ได้ถวายข้าวยาคูและปลาตะเพียน หลังจากที่พระเถระได้ฉันภัตตาหารแล้ว ท่านได้นำอาหารส่วนที่เป็นของสามเณรกลับมายังที่
พักด้วยขณะนั้นสามเณรกำลังเจริญภาวนาเป็นผู้มีความเพียรมีจิตตั้งมั่นหยั่งลงสู่สมาธิ ได้บรรลุผล ๓ คือ โสดาปัตติผล สกิทาคามิผล และอนาคามิผล พระบรมศาสดาทรงทราบเรื่องราวของสามเณรโดยตลอด ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ทรงดำริว่า บัดนี้สามเณรบัณฑิตได้บรรลุอนาคามิผลแล้วและ
อุปนิสัยแห่งอรหัตตผลของสามเณรนั้นมีอยู่ สารีบุตรซึ่งยังไม่ทราบถึงการบรรลุธรรมของเธอ จะนำอาหารมาให้ ซึ่งจะทำให้การบำเพ็ญสมณธรรม
ของเธอเสียไป
พระพุทธองค์จึงเสด็จไปดัก รอพระสารีบุตรอยู่ที่ซุ้มประตู เมื่อพระสารีบุตรมาถึง พระพุทธองค์ได้ตรัสถามปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องอาหาร เวทนา
รูป และผัสสะ ขณะที่พระสารีบุตรกำลังตอบปัญหาของพระพุทธองค์อยู่นั่นเอง สามเณรบัณฑิตได้บรรลุอรหัตตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณแล้ว จึงทรงอนุญาตให้พระสารีบุตรนำอาหารไปให้สามเณร
บ่ายวันนั้นเอง ขณะที่พระภิกษุทั้งหลายกำลังสนทนากัน ด้วยเรื่องการบรรลุอรหัตตผลของสามเณรบัณฑิต เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมา แล้วตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาผู้มีบุญบำเพ็ญสมณธรรม จันทเทพบุตรฉุดรั้งมณฑลพระจันทร์ไว้ สุริยเทพบุตรฉุดรั้งมณฑลพระอาทิตย์ไว้ ท้าวมหาราชทั้ง ๔
ได้ยืนอารักขาทั้ง ๔ ทิศ ท้าวสักกเทวราชยืนอารักขาที่ประตูห้องพัก แม้เราตถาคตก็มิอาจนิ่งอยู่ได้ ยังต้องไปยืนอารักขาบุตรของเรา ที่ซุ้มประตู
ธรรมดาบัณฑิต เห็นคนไขน้ำเข้านา เห็นช่างศรดัดลูกศร ให้ตรง เห็นช่างถากไม้แล้ว ย่อมถือเอาเหตุนั้นเป็นอารมณ์ มีปัญญารู้แจ้งแทงตลอดในอร
หัตตผลได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 มิถุนายน 2553 11:14:46 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 11:08:06 »




ดังนั้น ท่านสาธุชนทั้งหลายที่มีความรู้ในทางโลก จะจบปริญญาระดับไหน มากมายกี่สาขาก็ตาม อย่าเพิ่งหลงดีใจว่า เรามีความรู้ทางโลกมากมายก่ายกองแล้ว แต่ยังมีความรู้อีกชนิดหนึ่ง เป็นความรู้แจ้งภายในที่ละเอียดลึกซึ้งกว่า ซึ่งเราจะต้องเรียนรู้ ไม่รู้ไม่ได้ เพราะไม่รู้แล้วไม่ปลอดภัย ส่วนความรู้ในทางโลกบางสาขาวิชานั้น ไม่รู้ไม่เป็นไร
โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งความรู้ในทางธรรมที่รู้ได้ด้วยธรรมกายนั้น ถ้าไม่รู้แล้ว เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในทะเลทุกข์อยู่ร่ำไป เพราะฉะนั้นให้ทุกคนหมั่นทำใจหยุดใจนิ่งทุกวันทุกเวลา เพื่อเข้าถึงธรรมกายให้ได้กันทุกคน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 มิถุนายน 2553 11:15:11 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 17:26:21 »






อนุโมทนาสาธุค่ะ น้อง"บางครั้ง"
บันทึกการเข้า
คำค้น: บัณฑิต ผู้รู้ นักปราญช์ เห็นแจ้ง สัจจธรรม เบิกบาน ขณะจิต บางครั้ง สอนใจ ปัญญา 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.232 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 11 ตุลาคม 2567 08:28:40