by Kornkarn Bhamarapravati on Monday, January 2, 2012 at 8:13am
จุด ดับดวงอาทิตย์ (Sunspot) คือ พื้นที่ส่วนหนึ่งบนผิวดวงอาทิตย์ (โฟโตสเฟียร์) ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณโดยรอบ และมีสนามแม่เหล็กที่มีความปั่นป่วนสูงมาก ซึ่งได้ทำให้เกิดการขัดขวางกระบวนการพาความร้อนบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ เกิดเป็นพื้นที่ที่มีความเข้มของแสงต่ำกว่าบริเวณโดยรอบ อย่างไรก็ตาม มันยังคงมีอุณหภูมิสูงถึง ๔๐๐๐-๔๕๐๐ เคลวิน เทียบกับบริเวณปกติโดยรอบที่มีอุณหภูมิประมาณ ๕๘๐๐ เคลวิน ถ้าเรานำจุดดับออกมาจากดวงอาทิตย์มันจะสามารถเปล่งแสงสว่างได้มากกว่าแสงจาก การเชื่อมเหล็กเสียอีก จุดดับยังเป็นสาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์บนดวงอาทิตย์อีกมาก เช่น บ่วงโคโรนา (Coronal loop) และ การเชื่อมกันของสนามแม่เหล็ก (Magnetic reconnection) นอกจากนี้การระเบิดใหญ่บนดวงอาทิตย์ (Solar flare) และ การพ่นมวลโคโรนา (Coronal Mass Ejection) ก็ยังเกิดขึ้นในบริเวณสนามแม่เหล็กรอบๆ จุดดับอีกด้วย
การแปร ผันของ จุดดับ ในระหว่างช่วงต่ำสุดมอนเดอร์ ในศตวรรษที่ ๑๗ เป็นช่วงที่แทบจะไม่พบจุดดับเลย ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับช่วงปีที่เรียกกันว่า "ยุคน้ำแข็งเล็กๆ" (Little Ice Age) ซึ่งอุณหภูมิทั่วโลกลดต่ำกว่าปกติ
จำนวน ของจุดดับมีการเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างเป็นคาบ มีช่วงเวลาหนึ่งรอบประมาณสิบเอ็ดปี โดยตั้งแต่ปี ๑๗๒๐ ถึงปี ๒๐๐๐ จะมีแนวโน้มจำนวนจุดดับโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นจุดดับในดวงอาทิตย์ก็จะหายไป พบว่าหลังช่วงต่ำสุดมอนเดอร์นอกจากจะมีแนวโน้มจำนวนจุดดับโดยเฉลี่ยเพิ่ม ขึ้นในแต่ละคาบแล้ว ยังมีการระเบิดใหญ่บนดวงอาทิตย์ (Solar flare) ด้วยความถี่ที่เพิ่มขึ้นด้วย
ปัจจุบันมีพายุสุริยะ การระเบิดใหญ่บนดวงอาทิตย์ ที่ทำให้กริดไฟฟ้าบนโลกล้มเหลว และเกิดการเปลี่ยนแปลงกับสนามแม่เหล็กโลก สถิติถูกทำลายบ่อยครั้งขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์มีกิจกรรมรุนแรงขึ้น ทำให้จินตนาการได้ว่าเรากำลังเข้าสู่ช่วงปลายของรอบพลังงานสุริยะครั้งใหญ่
ศ.อเล็ก ซี่ ดมิทริจากสถาบันธรณีวิทยาและแร่ธาตุในสภาวิทยาศาสตร์รัสเซียกล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงอย่างมากของสนามแม่เหล็กโลก การอ่อนแรงของสนามดังกล่าว และการเพิ่มความเร่งการเคลื่อนไหวของขั้วแม่เหล็กโลกเป็นเหตุแจ้งให้ทราบว่า การกลับขั้วแม่เหล็กโลกกำลังเกิดขึ้น ศ. ดมิทริกล่าวว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศทำให้นักวิทยาศาสตร์กังวล ใจอย่างมาก นอกจากนี้พบสภาพอากาศและการสั่นสะเทือนของผิวโลกที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดน้ำท่วม พายุเฮอริเคน แผ่นดินไหว และดินถล่มเพิ่มขึ้น จากปี ๑๙๖๓ ถึง ๑๙๙๓ เพิ่ม ๔๑๐% ถึงปี ๒๐๐๙ เพิ่มเป็น ๖๐๐% และมีรายงานภูเขาไฟประทุเพิ่มขึ้นจากปี ๑๘๗๕ ถึงปัจจุบัน ๕๐๐% แต่ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากสามารถในการตรวจและบันทึกข้อมูลด้วยเครื่องมือที่ทัน สมัยขึ้นก็ได้ ดาวเคราะห์อื่นๆในระบบสุริยะของเราก็มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางคล้ายกัน จึงเชื่อว่าระบบสุริยะของเรากำลังเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่
นาย เคฟ พีค็อกเป็นนักส่งคลื่นวิทยุ เขาศึกษาว่าบรรยากาศของโลกและสภาพอากาศมีผลต่อคลื่นวิทยุของเขาอย่างไร จึงเกิดความสนใจเรื่องจุดดับบนดวงอาทิตย์ การระเบิดใหญ่บนดวงอาทิตย์ และลมสุริยะ จากการศึกษาเขาสรปว่าในราวเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ปี ๒๐๑๑ จะเกิดเหตุการณ์ต่างๆข้างล่างนี้ ซึ่งถ้าเกิดในเวลาใกล้เคียงกันมากหรือเวลาเดียวกันจะเป็นผลร้ายต่อโลก
๑ วันยาวที่สุดของฤดูร้อนในโลกซีกเหนือ มิถุนายน ๒๐๑๑ ทำให้ขั้วแม่เหล็กตอนเหนือของโลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด
๒ จะเกิดสุริยะคราสและจันทรคราสสามครั้งระหว่าง ๒ มิถุนายน แล ๑ กรกฎาคม ๒๐๑๑ ทำให้เกิดผลทางธรณีแม่เหล็กอาจคล้ายกับแผ่นดินไหวในตุรกีหลังการเกิดคราส ใเดือนสิงหาคมปี ๑๙๙๙
๓ ดวงอาทิตย์มีกิจกรรมสูงในช่วงดังกล่าวก่อนมีการกลับขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ทุก ๑๑ ปี
๔ เวลาดังกล่าวอาจเป็นจุดสูงสุดของช่วงปลายของรอบพลังงานสุริยะครั้งใหญ่ สังเกตได้จากการถดถอยของเส้นกราฟกิจกรรมดวงอาทิตย์ซึ่งอาจตรงช่วงเวลาที่นา ซ่าทำนายไว้ราวปี ๒๐๑๑-๒๐๑๒
การเกิดการเรียงตัวเป็นเส้นตรง ของดวง อาทิตย์ โลก และดวงจันทร์กับช่วงพลังงานจุดดับดวงอาทิตย์สูงสุดในคาบสิบเอ็ดปี โดยมีขั้วแม่เหล็กเหนือของโลกชี้ไปที่ดวงอาทิตย์เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อ หกสิบห้าล้านปีมาแล้ว ถ้าเผอิญเหตุการณ์กระจุกรวมกันจะทำให้สนามแม่เหล็กของโลกกลายเป็นศูนย์และ กลับทิศ ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวและปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิดขนาดยักษ์ที่ทำให้อารยะธรรม มนุษย์ที่มีอยู่ในขณะนี้ต้องสูญสิ้นไปในปลายปี ๒๐๑๒ หลังจากนั้นอาจเกิดยุคน้ำแข็งใหม่เนื่องจากเถ้าภูเขาไฟปกคลุมท้องฟ้า แสงแดดส่องไม่ถึง อุณหภูมิของโลกลดลงเฉียบพลัน
https://www.facebook.com/groups/AscensionThailand/doc/375639162451560/