by Kornkarn Bhamarapravati on Wednesday, July 13, 2011 at 12:50am
ผู้ เขียนถูกเลี้ยงมาให้อยู่กับความกลัวคนที่เขาสอนให้เรากลัวก็ไม่รู้ตัวว่าให้ อะไรกับเรา กลัวพ่อแม่ไม่รัก กลัวครูไม่รัก กลัวสอบไม่ได้ที่ ๑ (แล้วแม่จะไม่รัก) กลัวเอ็นไม่ติด กลัวพ่อแม่เสียใจ ทางศาสนาก็บอกว่าเราเกิดมาใช้กรรม (เกิดมาก็ติดลบแล้ว เมื่อไหร่จะใช้หมด) ตอนนี้ก็มีข่าวภัยธรรมชาติ น้ำจะท่วม แผ่นดินไหว สึนามิจะมา เลยมานั่งคิดว่านี่หรือคือชีวิต ติดอยู่กับความกลัว
เคยถามลูกชายว่า เขาเกิดมาทำไม เขาบอกว่าเกิดมาเพื่อหาประสพการณ์
ได้ ยินจากผู้รู้ต่างประเทศว่า จิตเดิมแท้ของเรานั้นยิ่งใหญ่มากค่า แต่เรามาเกิดเป็นมนุษย์โดยมีข้อจำกัดของม่านกำบังระหว่างมิติโลกกับ "บ้านที่จากมา" พลังงานจากรังสีคอสมิคในปัจจุบันลดความหนาของม่าน ทำให้บางคน หรือรุ่นเด็กๆ สัมผัสข้อมูลต่างมิติ ข้อมูลข้ามชาติภพ ข้อมูลสิ่งมีชีวิตต่างดาวได้มากขึ้น การสัมผัสนี้เดิมได้มาโดยผู้ปฏิบัติจิตขั้นสูง เช่นนักบวช แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่มนุษย์โลกทุกคนเข้าสู่โค้งสุดท้ายแห่งการกลับบ้าน จะเดินช้า เดินเร็ว หรือเดินวนไปมาเท่านั้น แต่เป็นการกลับบ้านที่บ้านมาอยู่กับเรา ไม่ใช่การกลับบ้านที่ต้องทิ้งสังขารคืนแม่พระธรณี คือเมื่อจิตสั่นสะเทือนระดับละเอียด ไม่เปลืองพลังงานในการยึดติดอารมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้สังเกตการณ์ความเป็นไปโดยไม่ต้องตัดสิน อยู่กับปัจจุบันขณะ ไม่ยึดอัตตาแห่งมายาสามมิตินี้ จิตเต็มไปด้วยความรักตนเองรักผู้อื่นโดยไม่ตัดสินเขา และรักสรรพสิ่ง นั่นคือบ้านลงมาหาเรา ทุกอย่างจะสัมผัสได้เองไม่ต้องไปขอให้ใครดูให้ เปรียบดังอยู่ในดินแดนทิพย์ขณะมีร่างกายเนื้อบนโลกมนุษย์นั่นเอง ตอนนี้คิดว่าเด็กอายุ ๑๗ รู้สัจจธรรมมากกว่าแม่แล้วค่ะ กำลังคิดว่าเราเกิดมาเพื่อหาประสพการณ์จริงๆใช่ไหม
จริงๆ แล้วเราไม่ได้รับความทุกข์ยากในชีวิตเพื่อใช้หนี้กรรมหรอกค่ะ มันเป็นจุดหักเหที่ทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงตามธรรมชาติของจักรวาล สำหรับคนที่เกิดการตื่นรู้ขึ้นมา เชื่อหรือไม่ว่าเราเป็นคนวางอุปสรรคเหล่านั้นไว้ในแผนชีวิต แต่เมื่อเกิดมาอยู่ในพลังงานหนักที่ครอบคลุมโลกเราจะ...ลืมแผนเหล่านั้น ตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าเมื่อเจอข้อสอบเราเลือกวางกำลังใจอย่างไร จะคิดดีในพลังงานความรักว่ามีน้ำตั้งครึ่งแก้ว หรือคิดลบถามแต่ทำไมๆ จึงถูกขโมยน้ำไป
จิตวิญญาณลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เพื่อทำงานทาง จิตวิญญาณชิ้นหนึ่ง หรือเรียนรู้ประสพการณ์เพื่อเพิ่มเติมให้กับแก่นของจิตวิญญาณ (core soul) ซึ่งไม่สูญสลายหลังความตายในมิติแห่งมนุษย์ กรรมเป็นบทบาทในการใช้ชีวิต ข้อบังคับในโลกมิติที่สามนี้เป็นสองขั้ว (duality) มีขาวกับดำ ผิดและถูก ชั่วและดี เมื่อเราเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ ไม่เสียพลังงานชีวิตไปกับการตัดสินใคร ก็ไม่รับพลังงานจากผู้อื่นทั้งหยาบและละเอียดมาแปดเปื้อนสนามพลังงานของตน จึงรักษาความถี่การสั่นสะเทือนของตนเองไว้ได้ง่าย โอกาสจะพัฒนาความสั่นสะเทือนของจิตให้ละเอียดขึ้นก็เกิดง่ายเพราะจะดึงดูด ญาติธรรมความถี่ใกล้เคียงกัน (soul family) มาเสริมกันโดยธรรมชาติ เหมือนคลื่นเฟสเดียวกันรวมกันได้แอมพลิจูดที่สูงขึ้นนั่นเอง Law of Attraction ช่วยนำกัลยาณมิตรมาพบกันส่งเสริมกันค่ะ
เหตุการณ์ ต่างๆในโลกปัจจุบันดึงอารมณ์ร่วมของผู้เสพย์ข่าวให้ดำดิ่งลงสู่ความกลัว ซึ่งเป็นคลื่นสั่นสะเทือนระดับต่ำทำให้จิตเศร้าหมอง จักรวาลมีกฏแห่งแรงดึงดูด กฏนี้ไม่รู้จักคำว่าไม่เอา ไม่ชอบ คุณมีอารมณ์ร่วมเรื่องใดจักรวาลจัดให้ในไม่นาน ดังนั้นแทนที่จะกลัวปฏิวัติรัฐประหาร ลองนึกว่าขอขอบคุณในความสบสุขที่จะมีมาสู่บ้านเมือง แทนที่จะกลัวภัยพิบัติธรรมชาติ มานึกว่าขอขอบคุณในความสมดุลธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ที่จะมาถึงดีไหมคะ
ถ้า จิตเราสั่นสะเทือนต่ำๆ กว่าจักรวาลจะดึงดูดมาก็มี time lag นานจนจำไม่ได้แล้ว แต่ถ้าจิตสั่นสะเทือนสูงขึ้น เช่นความรักความเมตตา ไม่ติดอารมณ์ฝ่ายลบ จะดึงดูดได้เร็วขึ้นค่ะ ตัวอย่างคือหลวงพ่อหลวงปู่ผู้ทรงคุณทั้งหลาย ท่านเมตตาอย่างเดียวลูกศิษย์ลูกหาไม่เคยอดไงคะ
(:LOVE:)https://www.facebook.com/groups/AscensionThailand/doc/375640322451444/