พระอาจารย์ เล่าว่า "มีเหตุการณ์ในชีวิตหลายครั้งที่ทำให้อาตมาเชื่อว่า อาถรรพ์ป่านั้นมีจริง ทั้งตอนที่เป็นทหารและตอนที่เป็นพระ ตอนที่เป็นทหาร วันนั้นเดินตามปัญหา เป้าหมายคือ เขาช้างร้อง ช้างร้องคือคร่ำครวญว่าขึ้นไม่ไหว แต่นี่เขาจะให้ทหารไปขึ้น เชื่อไหมว่าเดินตั้งแต่ตอน ๑ ทุ่ม จนถึงตี ๕ แล้วยังหาเขาช้างร้องไม่เจอ จึงตัดสินใจว่าโดนซ่อมทั้งหน่วยก็เอาวะ..นอนดีกว่า ว่าแล้วก็นอนสุมหัวกันระเกะระกะ ตื่นเช้าขึ้นมาปรากฏว่านอนอยู่ตีนเขาเขาช้างร้อง แต่ทำไมเมื่อคืนไม่มีใครเห็นภูเขาเลย เดินอยู่ที่ตีนเขากันได้ทั้งคืน
ส่วนตอนที่เป็นพระ มีหลายวาระด้วยกันที่เจอลักษณะนั้น ตอนนั้นจะข้ามจากห้วยขาแข้ง ไป อุ้มผาง เพื่อออกไป เปิงเคลิ่ง จะได้ข้ามไป พระธาตุมอละอิต จากห้วยขาแข้งจะมียอดเขายอดหนึ่งที่เป็นรูปกรวยอยู่ เป็นเป้าหมายว่าขึ้นไปตรงนั้นจะเป็นอุ้มผาง เชื่อไหมว่าเล็งอย่างดีแล้ว แต่เดินกี่ทีๆ เขาลูกนั้นก็หายไปทุกทีเลย พอย้อนกลับมาตั้งต้นใหม่ก็เห็นอยู่ตรงนั้นแหละ จนกระทั่งท้ายสุดต้องตัดสินใจว่าไม่ไปแล้ว..กลับดีกว่า ถ้าเขาให้เราไป เดิน ๓ วันต้องไปถึงแล้ว แต่นี่ ๓ วันไม่ได้ไปไหนหรอก วนอยู่แค่ตรงแถวนั้นแหละ เดินจนไม่มีที่ให้เดินแล้ว เดินจนทับรอยตัวเอง
ส่วนที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ ตอนพา ท่านมหาเค ท่านยุ้ย ท่านกอล์ฟ ไปที่ บ้านตะเพินคี่ พาเขาไปดูถ้ำงูใหญ่ ใหญ่ขนาดท่านชาติชายไปนอนอยู่บนหลังงูได้เพราะคิดว่าเป็นแท่นหิน อาตมาเจอตอนดึกกะว่างูตัวนั้นใหญ่ประมาณกระติกน้ำ ปรากฏว่าคนที่เคยเห็นตัวจริงเขาบอกว่า "ใหญ่กว่านั้นครับอาจารย์ ใหญ่กว่าถังสังฆทานอีก..!"
ถามว่า "คุณเจอมาแล้วใช่ไหม ?" เขาบอกว่า "ผมเจอกลางวันแสกๆ เลยครับ งูใหญ่ตัวนั้นนอนหลับขวางทางอยู่" พระรูปนั้นชื่อ จันทิมา ท่านเป็นพระมอญ เดินธุดงค์อยู่เส้นนั้นเหมือนกัน ถามว่า "แล้วคุณทำอย่างไร ?" "ผมเดินตามเกล็ดไปเรื่อยครับ ไกลน่าดูเลยกว่าจะข้ามไปได้"
อาตมาก็แปลกใจที่ได้ยินเขาบอกว่าเดินตามเกล็ด จึงถามว่า "ทำไมต้องเดินตามเกล็ดด้วย ?" ท่านตอบว่า "ถ้าเดินย้อนเกล็ดก็เจอหัวงูสิครับ ถ้าเดินตามเกล็ดไปจะเจอหาง" ถามต่อว่า "แล้วทำไมไม่ก้าวข้ามไปเลย ?" เขาบอกว่า "โอ้โห..งูตัวใหญ่จนผมไม่แน่ใจว่าจะก้าวข้ามได้ ถ้าเกิดไปสะดุดเข้า ก็ไม่แน่ใจว่าจะรอดหรือเปล่า ?"
"พอพาพวกท่านมหาเคเข้าไปในถ้ำนั้น ท่านชาติชายก็ชี้ให้ดูว่างูเคยนอนอยู่ตรงนี้ เสร็จสรรพเรียบร้อยก็จะกลับออกมา เพราะกลัวว่างูย้ายที่นอนไปรอพวกเราอยู่ข้างใน กลับหลังหันมาปากถ้ำหายไปไหนไม่รู้ กลายเป็นหินตัน ๆ หมดเลย..! ต่อหน้าต่อตาเลยนะ ทุกคนก็งงว่าเราหลงทิศได้ขนาดนี้เลยหรือ ? แล้วพวกเราเข้ามาทางไหน ? เพราะจริงๆ แล้วพวกเราเข้าปากถ้ำไปไม่ลึก อย่างไรก็ต้องมองเห็นทางออก
ท้ายสุดไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องตะเกียกตะกายลึกเข้าไปเรื่อยเพื่อหาทางออก ท้ายสุดไปเจอซอกแตก ความกว้างประมาณตัวคน เดินมุดไปมุดมา อ้อมไปโผล่ถ้ำที่อาตมาเคยไปพักแล้วโดนงูมารัด ถึงได้รู้ว่างูใหญ่นอนที่ถ้ำนั้น พอเวลาหากินออกมาทางถ้ำนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้หรอกว่างูมาจากทางไหน อาจจะเป็นเจตนาดีของท่านก็ได้ อยากให้พวกเรารู้เลยปิดทางออกซะ ให้ตะเกียกตะกายมาหาทางออกอีกทางหนึ่งแทน เพราะฉะนั้น..เรื่องเหล่านี้ถึงได้เชื่อที่โบราณว่าป่ามีอาถรรพ์นั้น มีจริงๆ ถ้าเราตั้งสติไม่ได้นี่ก็ปางตายเลยนะ
อาตมาเคยเดินออกมาจากบึงลับแลตอนตี ๒ ขอบอกว่าอย่าเลียนแบบเป็นอันขาด เดินป่ากลางคืนอันตรายมาก เพราะสัตว์ป่าหากินเวลากลางคืน ด้วยความที่มั่นใจตัวเองมาก ก็เดินออกมาตอนตี ๒ ตัวคนเดียวด้วย เดินออกมาตั้งนาน แปลกใจว่าทำไมไม่ถึงถนนสักที ปกติอาตมาเดินประมาณ ๔๕ นาทีก็ถึง นี่เดินมา ๒ ชั่วโมงแล้วยังไม่ถึง หลงได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?
ป่าช่วงนั้นเป็นดงไผ่ซึ่งหลงง่ายที่สุด เพราะหาจุดจำยาก มองไปทางไหนเหมือนกันหมด แล้วแต่ละช่องก็โล่งน่าเดินทั้งนั้น เดินเปะปะไปเปะปะมา ไปเจอไม้ยืนต้นเข้าต้นหนึ่ง เอาละ..ได้ที่แล้ว เพราะ หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านมีคาถาเทวดาชี้ทางอยู่ ให้พิงต้นไม้แล้วภาวนาคาถา เทวดาจะบอกทางให้ อาตมาก็พิงต้นว่าคาถา เสียงเทวดาท่านบอกว่า "เดินไปข้างหน้าอีก ๓ ก้าว" อาตมาก็เดินไปข้างหน้า ๓ ก้าว เชื่อไหมว่าทางเบ้อเริ่มอยู่ตรงนั้นเอง ปล่อยให้หลงอยู่ได้เป็นชั่วโมงๆ หลงได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?"
สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕