แผนร้ายของพระราชาคราวที่พระเจ้าแผ่นดิน ผู้ไม่ต้องอยู่ในธรรมครองเมืองย่อมเกิดอาเพศ คือ ฝนตกผิดเวลา คราวที่ควรจะตกไม่ตกแต่กลับตกในคราวทีไม่ควรจะตก
ใกล้ๆ บริเวณเมืองพาราณสี มีหมู่บ้านใหญ่หมู่บ้านหนึ่งซึ่งมีตระกูลเศรษฐีอยู่ร่วมกัน
ชาตินั้น พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นลูกชายของเศรษฐีตระกูลหนึ่ง เมื่อเจริญวัยขึ้น บิดามารดาได้จัดการแต่งงานให้กับลูกสาวเศรษฐีในเมืองพาราณสี ซึ่งมีชื่อว่า “ สุชาดา ”
นางสุชาดาเป็นหญิงสวยงามมีกิริยามารยาทเรียบร้อย ตั้งแต่มาอยู่บ้านสามีนางก็ทำหน้าที่เป็นสะใภ้ที่ดีของตระกูล ดูแลสามีบิดามารดาของสามีเป็นอย่างดี ครองครัวของนางมีความสุขมาก เนื่องจากสามีก็รักและเอาใจใส่ดูแลนางเป็นอย่างดี
อยู่มาวันหนึ่ง นางสุชาดาต้องการจะเดินทางไปเยี่ยมบิดามารดาในตัวเมืองพาราณสี จึงบอกให้สามีทราบ ฝ่ายสามีก็ไม่ขัดข้องและสั่งให้คนใช้เตรียมข้าวปลาอาหารสำหรับเดินทางให้พร้อม ครั้นได้เวลาอันเหมาะสม สามีหนุ่มกับภรรยาสาวก็นั่งรถขับออกไป มุ่งหน้าเข้าเมืองพาราณสีโดยสามีนั่งอยู่ตอนหน้า ภรรยานั่งอยู่ตอนหลัง
เมื่อทั้งสองขับไปใกล้เมืองพาราณสีก็ปรึกษากัน
“ พี่ว่าเราพักกินข้าวกันตรงนี้ก่อนดี ”
สามีปรารถขึ้น
“ ดีเหมือนกัน เพราะใกล้แม่น้ำด้วย ” ภรรรยาเห็นด้วย
ครั้นแล้วสองสามีภรรยาก็จอดรถแก้ม้าออกพักผ่อน หายเหนื่อยสักครู่จึงรับประทานอาหาร จากนั่นก็เทียมรถและเริ่มออกเดินทาง แต่คราวนี้นางสุชาดาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่สวยงาม นั่งอยู่ด้านหลัง ฝ่ายสามีนั่งอยู่ด้านหน้า
วันนั้น พระเจ้าพรหมทัตเสด็จเลียบพระนคร และเสด็จมาถึงประตูเมืองนั้นพอดีเช่นกัน นางสุชาดาลงจากรถเดินอ้อมไปข้างท้ายพระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรเห็นนางแล้วเกิดมีพระทัยปฏิพัทธิ์นางขึ้นมาทันที
“ แม่นางช่างสวยจริง ”
พระองค์ทรงรำพึงพลางตรัสสั่งอำมาตย์คนหนึ่งให้ไปสืบดูว่านางมีสามีแล้วหรือยัง
“ ขอเดชะ... ” อำมาตย์คนนั้นกราบทูล
“ นางมีสามีแล้ว ผู้ชายคนที่นั่งอยู่บนรถม้านั่นแหละ คือสามีของนาง ”
“ มีผัวแล้วหรือ ” พระเจ้าพรหมทัตตรัสถามย้ำเพื่อให้แน่พระทัย
“ มีแล้วพระเจ้าข้า ” อำมาตย์คนเดิมกราบทูล
“ ถึงมีผัวแล้วข้าก็จะชิงนางมาให้ได้ ” พระเจ้าพรหมทัตทรงคิดหาอุบายที่จะชิงนางมาจากสามี และทันใดนั่นเอง พระองค์ก็คิดอุบายได้ จึงตรัสเรียกอำมาตย์อีกคนหนึ่งมาปรึกษา
หลังจากได้รับคำปรึกษาแล้ว อำมาตย์นายนั้นก็นำแก้วมณีของพระราชาไปวางไว้ในรถม้าของนางสุชาดา โดยทีสองสามีภรรยาไม่รู้ตัว แล้วกลับมาถวายรายงานให้พระเจ้าพรหมทัตทรงทราบ พระเจ้าพรหมทัตรับสั่งให้ประกาศทันทีว่า
“ แก้วมณีของพระราชาหาย ”
พอข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ชาวบ้านต่างพากันแตกตื่นโดยเกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าเป็นโจร ฝ่ายพระเจ้าพรหมทัตหลังจากรับสั่งให้ประกาศออกไปอย่างนั้น แล้วก็สั่งปิดประตูเมืองห้ามคนเข้าออก และรับสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นในที่ที่สงสัย
พวกเจ้าหน้าที่เที่ยวตรวจค้นตามบ้านเรือนของชาวเมืองกันจ้าละหวั่น มีเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งถูกกำหนดให้ไปค้นที่รถม้าของสองสามีภรรยาซึ่งถูกกักไว้ไม่ให้ขับไปทางไหน ครั้นไปถึงแล้ว เจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นก็ตรวจค้นรถม้า
“ เฮ้ย... นี่ไงแก้วมณีของพระราชาของเรา ”
เจ้าหน้าที่คนที่ค้นเจอร้องบอกเพื่อน ๆ
“ ถ้าอย่างนั้นเราก็จับโจรได้แล้วนะซิ ” อีกคนหนึ่งร้องรับ
เมื่อพบหลักฐานเช่นนั้น เจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นก็ช่วยกันจับสามีของนางสุชาดามัดแขนไพล่หลังคุมตัวไปเฝ้าพระเจ้าพรหมทัต นางสุชาดาเมื่อเห็นสามีถูกจับเช่นนั้น ก็ตกใจ ร้องไห้คร่ำครวญเดินตามสามีมาติด ๆ
พระเจ้าพรหมทัต ทันทีที่เจ้าหน้าที่นำตัวของสามีของนางสุชาดามาเข้าเฝ้า ก็รับสั่งให้นำไปตัดศีรษะ โดยมิทันสอบสวน เจ้าหน้าที่ก็คุมตัวสามีของนางสุชาดาอย่างแน่นหนานำไปสู่ที่ประหาร ครั้นถึงแล้วก็ให้จับนอนหงาย นางสุชาดารู้แน่ว่าสามีจะถูกประหารชีวิตแน่เพราะถูกใส่ร้าย อันมีสาเหตุมาจากตน จึงตั้งจิตอธิฐาน พร้อมทั้งกล่าวเสียงดังว่า
“ สามีของดิฉันเป็นคนถือศีล ขอให้ทวยเทพมาช่วยคุ้มครองด้วย ”
ขณะที่นางสุชาดาคร่ำครวญอยู่อย่างนั้น พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ที่ประทับนั่งของพระอินทร์เกิดแสดงอาการร้อนขึ้นมา
“ มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นมาอีกแล้วหรือนี่ ที่นั่งของเราจึงรู้สึกร้อน หรือใครจะมาเกิดที่นี่แทนเรา ” พระอินทร์ทรงรำพึงพร้อมทั้งสอดส่องทิพยเนตรตรวจดูโลกมนุษย์ และได้ทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด จึงทรงดำริว่า
“ พระเจ้าพรหมทัตกำลังทำกรรมหนัก ตรงที่มาเบียดเบียนหญิงผู้มีศิลอย่างนางสุชาดาให้ลำบาก เราควรไปช่วยเหลือเดี๋ยวนี้เลย ”
ทันใดนั้นเอง พระอินทร์ก็เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และมาปรากฏพระองค์อยู่เบื้องหน้าพระเจ้าพรหมทัต พระเจ้าพรหมทัตไม่ทราบว่านีคือพระอินทร์ จึงรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ขับไล่ไปให้พ้นทางเสด็จ
“ ไป....หลีกไปอย่ามาเกะกะทางเสด็จ เดี๋ยวหัวจะขาดไม่รู้สึก ” เจ้าหน้าที่ส่งเสียงดังขับไล่ พระอินทร์ไม่ตรัสอะไร ได้แต่ยืนจ้องมองพระพักต์พระเจ้าพรหมทัต พระองค์ทอดพระเนตรเห็นนางคร่ำครวญปิ่มว่าใจแทบจะขาด และทอดพระเนตรเห็นสามีของนางสุชาดากำลังถูกจองจำเพื่อนำไปสู่ที่ประหาร
พระอินทร์ทรงใช้อำนาจฤทธิ์ของพระองค์สะกดจิตทุกคนในที่นั้น แล้วบันดาลให้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น นั่นคือทรงบันดาลให้พระเจ้าพรหมทัตผู้ชั่วร้ายลงมานอนหงายอยู่ข้างล่างพร้อมด้วยเครื่องจองจำและทรงบันดาลให้สามีของนางสุชาดาหลุดจากเครื่องจองจำ ขึ้นไปนั่งอยู่บนคอช้างแทนพระเจ้าพรหมทัต เพชณฆาตยืนถือขวานคอยจ้องจะฟันคอสามีของนางสุชาดา ก็เข้าใจผิดว่าเป็นนักโทษประหารจึงเงื้อขวานฟันลงไปที่คอของพระเจ้าพรหมทัตจนขาดกระเด็น
ทุกคนในที่นั่นตะลึงงันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อรู้ว่าผู้ที่ถูกตัดคอขาดกระเด็นนั้นไม่ใช่นักโทษประหาร แต่กลับเป็นพระเจ้าพรหมทัตทันใดนั่นเอง พระอินทร์ก็ประกาศพระองค์ให้ทราบว่า พระองค์คือ พระอินทร์ และตรัสว่า
“ พระเจ้าพรหมทัตไม่ตั้งอยู่ในธรรม ข่มเหงผู้ที่ไม่มีความผิดอยากได้เมียของคนอื่น แล้วใส่ร้ายผัวเขาว่าทำผิด และคิดจะลงโทษประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์นั้น เรามาครั้งนี้ ก็เพื่อมาช่วยคนบริสุทธิ์ ”
ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว พระองค์ก็เสด็จไปหาสามีของนางสุชาดาซึ่งนั่งสง่าอยู่บนคอช้าง แล้วประกาศแต่งตั้งให้เป็นพระเจ้าพรหมทัตพระองค์ใหม่ พร้อมทั้งประกาศแต่งตั้งนางสุชาดาเป็นอัครมเหสี
ฝ่ายพวกอำมาตย์ของพระเจ้าพรหมทัตพระองค์เก่า และพวกชาวเมืองต่างรู้ดีว่า พระเจ้าพรหมทัตพระองค์เก่ามีพระอุปนิสัยชั่วร้ายเพียงใด ต่างก็ดีใจว่า
“ พระเจ้าแผ่นดินผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมถูกประหารชีวิตแล้ว พวกเราปลอดภัยแล้วจากพระเจ้าแผ่นดินผู้ชั่วร้ายนั้น บัดนี้เรามาได้พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่แล้ว เราเชื่อว่าพระองค์จะตั้งอยู่ในธรรม เพราะท้าวสักกะประทานมาให้ ”
ฝ่ายพระอินทร์ หลังจากอภิเษกพระเจ้าพรหมทัต พระองค์ใหม่แล้วก็เหาะขึ้นไปยืนอยู่ในอากาศ พร้อมทั้งให้โอวาทว่า
“ พระราชาพระองค์นี้ของพวกท่านจักปกครองแผ่นดินโดยธรรม และเมื่อใดที่พระองค์ไม่อยู่ในธรรม เมื่อนั้นฝนจะตกผิดเวลาคือ ถึงฤดูกาลที่ฝนจะตกกลับไม่ตก แต่กลับไปตกในฤดูกาลอื่น และจะเกิดภัย ๓ อย่าง คือ ภัยเกิดจากความหิว เกิดจากโรคภัย เกิดจากคมหอกคมดาบ ”
จากนั้นก็เสด็จกลับไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของพระองค์
ข้อควรสังเกตคนดีย่อมตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ถึงคราวคับขันย่อมมีผู้ช่วยเหลือ เหมือนสามีของนางสุชาดา ถึงคราวคับขันมีพระอินทร์มาช่วย ฉะนั้น