[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 19:20:54 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: คำสอนหลวงพ่อปาน "ไม่เกิดต้องทำอย่างไร"  (อ่าน 4023 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 20.0.1132.57 Chrome 20.0.1132.57


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2555 16:31:31 »

คำสอนหลวงพ่อปาน "ไม่เกิดต้องทำอย่างไร"



คำสอนหลวงพ่อปาน "ไม่เกิดต้องทำอย่างไร"

ทีนี้คนที่จะไม่เกิดต้องทำอย่างไร มันทำไม่ยาก ทำง่าย ๆ คือ

๑. รักษาศีลให้บริสุทธิ์ คนรักษาศีลน่ะเป็นคนดี ไอ้คนไม่มีศีลน่ะเป็นคนระยำ จำไว้ให้ดี ถ้าเราอยากจะเป็นคนดี เราต้องเป็นคนมีศีล ถ้าเรายังปฏิบัติศีลไม่ได้ ให้รู้ตัวว่าเราระยำเต็มทีแล้ว เลวเต็มทีแล้ว ให้รู้ตัวไว้ อย่าเป็นคนเข้าข้างตัว จงเป็นคนรู้ตัวดีกว่าคนเข้าข้างตัว

๒. รักษาสมาธิให้ตั้งมั่น ซึ่งเป็นของที่ไม่ต้องลงทุน

๓. ปลงสังขาร ไว้ว่า โลกทุกโลกเป็นแดนของความทุกข์ สังขารทุกสังขารเป็นดินแดนของความทุกข์ เราจะเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ก็ไม่พ้นทุกข์

ถ้าเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน เราไม่ต้องการโลกทั้ง ๓ ประการ และไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ขึ้นชื่อว่ามนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนา สิ่งที่เราปรารถนาจริงๆ ก็คือ พระนิพพาน ภาวนาไว้ว่า สิทตะมหานิพพานัง หรือ นิพพานัง เฉยๆ ก็ได้ นึกไว้ว่า นิพพานๆ เราต้องการพระนิพพานโลกนี้ทั้งหมดเราไม่ต้องการอะไร ความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความเร่าร้อน เราถือเป็นของธรรมดา อะไรจะมากระทบกระทั่ง นั่นถือเป็นเรื่องธรรมดา เราจะเปลื้องสมบัติสภาวการณ์ต่างๆ ของโลกให้สิ้นไป

เราอยู่กับโลก เราจะอาศัยโลกและสมบัติของโลกชั่วคราว เมื่ออัตตภาพมีอยู่ เมื่อความสิ้นไปแห่งอัตตภาพมีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละเราจะไปพระนิพพาน


ที่มา : ศูนย์พุทธศรัทธา

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 25.0.1364.160 Chrome 25.0.1364.160


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 14 มีนาคม 2556 18:55:39 »



                 

คำสอน หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา

ร่างกายของคนและสัตว์มันเป็นอนิจจัง มีสภาพไม่เที่ยง เวลาอยู่ก็เป็นทุกข์ แต่ในที่สุดก็เป็นอนัตตาคือตาย ใครบังคับบัญชาไม่ได้ เวลาเผาศพอย่าตั้งหน้าตั้งตาเผาเขา เวลาเราไปเผาศพก็เผากิเลสในใจของเราเสียด้วย กิเลสส่วนใดที่มันสิงอยู่ที่เรา คิดว่าเราจะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายน่ะ เผามันเสียให้หมดไป เราคิดว่าวันนี้เราเผาเขาไม่ช้าเขาก็เผาเรา คนเกิดมาแล้วตายอย่างนี้เราจะเกิดมันทำไม ต่อไปข้างหน้าเราไม่เกิดดีกว่า เราไปพระนิพพานนั่นละดีที่สุด เรื่องอัตภาพร่างกายสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ไม่มีอะไรเป็นความหมาย ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ตายแล้วหาสาระหาแก่นสารไม่ได้ หาประโยชน์ไม่ได้ ให้ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะตายได้ ให้ขยันหมั่นเพียร ชำระจิตใจให้สะอาด มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ จงวางภาระว่า เราของเรา เสียให้สิ้นด้วยไม่มีอะไรเลยเป็นของเรา แม้แต่ร่างกายก็มีเจ้าของคือ มรณภัยมันมาทวงคืน ให้คิดว่าเราไม่มีอะไรเป็นของเรา เราไม่ต้องการมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เรามีนิพพานเป็นที่ไป

"พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ว่า สัตว์ก็ดี คนก็ดี หรือสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ดี มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วมีความเปลี่ยนแปลงไปในระหว่างกลาง ที่สุดมันก็แตกทำลายหมด ถ้าเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ตายในที่สุด ถ้าเป็นของวัตถุธาตุ ก็แตกทำลายในที่สุด ไอ้บ้านเรือนโรงภูเขา ลำเนาป่า อะไรมันก็เหมือนกัน ภูเขามันเป็นหินแข็งแต่ว่านานๆ เข้าก็เป็นหินผุกลายเป็นดินไป ที่นี้ไอ้คนหรือสัตว์ก็เหมือนกัน มันเกิดขึ้นมาในตอนต้น มันตัวเล็กๆ แล้วมันก็เปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนสภาพเข้ามาทุกทีๆ ถึงความเป็นคน เป็นบุคคลใหญ่ เป็นหนุ่ม เป็นสาว แล้วก็แก่ ในระหว่างนั้นสภาพของร่างกายก็ไม่ปกติ โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน นี่เป็ฯอาการเปลี่ยนแปลง จัดเป็นอนิจจัง ทีนี้ตัวอนิจจังไม่เที่ยง มีความทุกข์ก็บังเกิดขึ้น ไอ้ความทุกข์มันเกิดขึ้นก็เพราะตัวอนิจจังนี่แหละ ไม่มีใครต้องการให้มันเป็น "นิจจัง" คือมันเที่ยงแน่นอน มีสภาพปกติ แต่อนิจจังมันขับรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เคลื่อนไปจากความปกติ ให้มีความเปลี่ยนแปลง แปรสภาพเสื่อมโทรมลงไปเป็นธรรมดา แล้วในเมื่อความเสื่อมโทรมมันปรากฏ ความทุกข์ใจของเจ้าของร่างกายก็ปรากฏ คือโรคภัยไข้เจ็บมันก็เกิดขึ้น ความทุกข์ใจของเจ้าของร่างกายก็ปรากฏ นี่มันเป็นตัวทุกข์ อนิจจังมันทำให้ทุกข์ ไม่มีใครจะห้ามความตาย ไม่มีใครจะห้ามความเสื่อมความสูญ ความสลายตัวได้ คนทุกคนเกิดมาแล้วเป็นอย่างนั้น สัตว์ทุกตัวเกิดมาแล้วเป็นอย่างนั้น สภาพของวัตถุต่างๆ เป็นอย่างนั้น ตรงตามความเป็นจริงทุกอย่าง ซึ่งมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกยากนักที่จะคิดอย่างนี้ที่จะเห็นตามความเป็นจริงอย่าง
นี้

นี่พระพุทธเจ้าทรงสอนกฏของธรรมดา ซึ่งคนทั้งหลายที่เกิดมาแล้วด้วยอำนาจของกิเลสแลตัณหาเข้าไปปิดบังใจไม่ยอมรับนับถือ
กฏธรรมดา เช่น กระดูกนี่เป็นของปฏิกูลน่าเกลียด ร่างกายเราเมื่อสภาพการหมดไปแล้ว ก็คงมีโครงกระดูกนี่เป็นเรือนร่าง เป็นแก่นของร่างกาย คนและสัตว์ที่เกิดมาแล้ว ไม่มีสภาพจะคงที่ได้ ถ้ามีร่างกายบริบูรณ์สมบูรณ์ เมื่อสิ้นลมปราณแล้ว ร่างกายก็จะผุพังน้ำเหลืองจะไหล ธาตุดินไปส่วนหนึ่ง ธาตุน้ำไปส่วนหนึ่ง ธาตุไฟไปส่วนหนึ่ง ธาตุลมไปส่วนหนึ่ง ผลที่สุดเนื้อหนังก็จะละลายไป เหลือแต่ธาตุกระดูก กระดูกก็จะเป็นโครงอย่างนี้ หาความสวยไม่ได้หาความงามไม่ได้ อัตตภาพร่างกายอย่างนี้ มันเกิดขึ้นในเบื้องต้น มันเป็นอนิจจังคือ เปลี่ยนแปลงมาในระหว่างกลางแล้วต่อไปก็ผุพังทำลายไปในที่สุด เป็นอนัตตาอย่างนี้ ไม่มี อิจจัง สุขขัง อัตตา หมายความว่า นิจจังมีสภาพคงที่ สุขขังไม่มีทุกข์ อัตตามีสภาพ เป็นตัวตน ยืนตลอดกาลตลอดสมัย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างนั้นไม่มี

สำหรับอัตตภาพที่มีขันธ์ 5 มันต้องเป้นอนิจจัง คือเปลี่ยนแปลงไม่เที่ยงอยู่เรื่อยไป เพราะความไม่เที่ยงมันจึงเป็นทุกข์ เพราะเป็นทุกข์นี่แหละสภาวะอนัตตาจึงปรากฏคือ ความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน มันพัง มันทำลาย นี่่ร่าง กระดูกที่เราเห็นนี่ เมื่อก่อนก็มีเรือนร่างครบถ้วนบริบูรณ์อย่างเรา มีลมปราณเหมือนกัน มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน แต่ว่านี่เนื้อหนังมังสารมันหมดไปแล้วเหลือแต่กระดูก อันเป็นส่วนแก่นแท้ภาพในร่างกาย เมื่อพิจารณาไปส่วนไหนมันก็ไม่น่ารัก ไม่น่าดู ไม่น่าชม มันน่าเกลียด

จึงกล่าวได้ว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง การเกิดเป็นมนุษย์มันเต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ จงอย่าอาลัยในชีวิต มันจะตายเมื่อไหร่ก็ไดช่างมัน เอาดีเข้าไว้ ดีนั่นคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ให้คิดว่าร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นเพียง ธาตุ 4 เข้ามาประชุมกัน มีธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาาตุลม ธาตุไฟ มันก็ปั้นเป็นก้อนขึ้นมา เขาแยกเป็นอาการ 32 ในไม่ช้าก็ตาย อย่าลืมความตายเป็นสำคัญ

"ถึงแม้เราจะมีคาถาอาคมของดีอะไรก็ตามเราก็ต้องตาย ก่อนตายควรเลือกทางเดินเอาอย่างน้อยที่สุด เราควรไปสวรรค์ชั้นกามาวจรให้ได้ ขอให้ทุกคนนะ เวลาก่อนจะหลับ ให้นึกถึงความดีที่ตอนเคยทำ ทรัพย์สินที่สละเป็นวิหารทาน ธรรมทาน สังฆทาน เลี้ยงพระ นึกถึงศีลที่ตอนเคยรับมา เทศน์ที่ตนเคยฟัง แล้วหมั่นภาวนาถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ พระพุทโธ ธัมโม สังโฆ เมื่อจะเจริญกรรมฐาน ให้ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร 4 ให้เป็นฌาณสมาธิแน่วแน่ ให้แผ่เมตตาไปทั่วจักรวาล แล้วจึงพิจารณาตามอารมณ์วิปัสสนาหรือภาวนาตามแบบสมถะ ทุกคนตายแล้วจงไปสวรรค์ จงไปพรหมโลก จงไปนิพพาน"


บันทึกการเข้า
คำค้น: คำสอน หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.311 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 19 ธันวาคม 2567 14:29:22