[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
21 ธันวาคม 2567 20:59:00 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เตรียมตัวตาย...พุทธวิธีทิเบต ( Death & Dying...Tibetan Wisdom ) จาก สายใยพันดารา  (อ่าน 7279 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 21.0.1180.75 Chrome 21.0.1180.75


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 สิงหาคม 2555 21:05:00 »




เตรียมตัวตาย...พุทธวิธีทิเบต (๑)
Death & Dying...Tibetan Wisdom (1)

ชีวิตที่เราดำรงอยู่เป็นส่วนหนึ่งของวงจรแห่งการเกิดและการตาย ดังคำกล่าวในสำนวนทิเบตที่ว่า "เมื่อเกิด ความตายก็ใกล้เข้ามา" หรือ "เมื่อมีเกิด ก็มีตาย" ด้วยเหตุนี้ ชาวทิเบตจึงเห็นคุณค่าของการเตรียมตัวตาย เพราะความตายเป็นส่วนสำคัญของชีวิต และการเตรียมตัวตายมีผลต่อจิตที่จะเดินทางไปต่อ และชีวิตที่จะไปถือกำเนิดในภพชาติถัดไป

ในสังคมทิเบต การพูดถึงความตายไม่ใช่เรื่องอัปมงคล ไม่ใช่การสาปแช่ง แต่เป็นการเตือนสติให้ไม่ประมาทและเป็นมรณานุสติในชีวิตประจำวัน สมเด็จองค์ดาไลลามะทรงเล่าว่า ทรงคิดทบทวนกระบวนการแตกสลายของธาตุอยู่ตลอดเวลาเพื่อเตรียมตัวเมื่อความตายมาถึง


พระภิกษุรูปหนึ่งเตรียมตัวตายด้วยการแจกจ่ายสมบัติที่ท่านมีให้ผู้อื่นและเตรียมฟืนสำหรับใช้เผาศพ ปรากฏว่า มีพระภิกษุอีกรูปหนึ่งมรณภาพก่อน เมื่อเจ้าอาวาสมาขอฟืนและเครื่องใช้ที่ท่านเตรียม ท่านก็ยินดีมอบให้ แล้วเริ่มเตรียมตัวใหม่อีกครั้ง

ในขณะที่เราป่วยหนัก การเตรียมจิตให้ไม่ยึดติดมีความสำคัญอย่างมาก แม้งานจะไม่เสร็จ (ไม่ว่าจะเป็นงานทางโลกหรือทางธรรม) แม้ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่ยังไม่ได้ทำ แม้จะอยากอยู่ดูแลบุคคลในครอบครัว เราต้องทำใจและยอมรับว่า การงานเหล่านั้นไม่ใช่ของเราอีกต่อไป

ในขณะนั้น สิ่งสำคัญมีเพียงการดูแลรักษาจิตใจให้ผ่อนคลายให้มากที่สุด จิตใจที่ไม่ผูกพัน ไม่เศร้าเสียใจ ไม่โกรธอาฆาต ไม่หมกมุ่นจมอยู่ในความทุกข์ทางกาย จิตใจที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธาในพระรัตนตรัย (โกนชมซุม) ในครูอาจารย์ (ลามะ) ในพระพุทธเจ้าองค์ที่เราปฏิบัติบูชา (ยีตัม) ในคำสอนและวิธีปฏิบัติที่ได้รับ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นสรณะที่แท้ ญาติพี่น้อง บุคคลที่ยิ่งใหญ่ในโลก ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเราได้ แม้แต่หมอ เมื่อเวลามาถึง หมอก็ไม่สามารถจะยับยั้งความตายให้แก่เราได้...

กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์
21 กรกฎาคม 2555

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 21.0.1180.75 Chrome 21.0.1180.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2555 21:19:32 »



เตรียมตัวตาย...พุทธวิธีทิเบต (๒)
Death & Dying...Tibetan Wisdom (2)

การยึดติดบุคคลที่รัก ความกลัวที่จะต้องจากไปอย่างโดดเดี่ยว ความเจ็บปวด ทำให้ความตายเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัว เป็นสิ่งที่เราอยากหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด แม้ว่าเราจะรู้ว่าความตายอาจเกิดขึ้นวินาทีใดก็ได้ แม้แต่ในขณะที่เรานอนหลับในแต่ละคืน เราก็ยังไม่อยากนึกถึงความตาย เรายังคงใช้ชีวิตไปวันๆอย่างประมาท ปล่อยให้จิตหวงแหน ผูกพัน สร้างทั้งมิตรและศัตรู ซึ่งเป็นการเพิ่มเชื้อไฟแห่งกิเลสที่เราได้สะสมมานับภพชาติไม่ถ้วน

หากเราตายไปด้วยเชื้อไฟนี้ แน่นอนว่าเราจะต้องไปเกิดใหม่และเผชิญความทุกข์ของสังสารวัฏ แต่ไม่มีสิ่งใดจะประกันได้ว่า เราจะไปเกิดใหม่เป็นอะไร โอกาสที่จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์มีเพียงน้อยนิดโดยเฉพาะเป็นมนุษย์ที่มีอวัยวะครบบริบูรณ์ ได้เกิดในดินแดนแห่งสันติภาพ ปราศจากสงครามและความอดอยาก ได้ฟังพระธรรม และไม่เพียงแต่ได้ฟัง ยังมีศรัทธาในพระธรรมนั้น

ไม่ใช่ว่าเราจะได้กลับมาเกิดเป็นลูกของแม่คนเดิม เป็นสามีของภรรยาที่เรารักที่สุด และเป็นไปได้ว่าดวงจิตของเราอาจเร่ร่อน รอนแรม นับเดือน นับปี หาที่เกิดใหม่ไม่ได้ อยู่กับความอ้างว้าง ว้าเหว่ ไร้ทิศทาง อยู่กับความปรารถนาอย่างเดียวคือ ขอให้ได้ไปเกิดใหม่ เป็นอะไรก็ได้ ทั้งหมดนี้อยู่ที่บุญกรรมที่เราทำเองทั้งสิ้น

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระภิกษุรูปหนึ่ง ก่อนที่ท่านจะรับการอุปสมบท ท่านมีครอบครัว ก่อนภรรยาท่านจะสิ้นใจ นางป่วยหนัก ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก แต่ไม่ว่าจะเจ็บปวดเพียงไรและอาการของนางจะทรุดหนักเพียงไร นางก็ไม่สามารถจากไปได้ วันหนึ่ง สามีก็ถามนางว่า มีอะไรที่นางเป็นห่วงจึงไม่ยอมจากไปทั้งๆที่ดูแล้วนางไม่สามารถจะรอดชีวิตได้ นางตอบว่า มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้นางกังวลใจ นั่นคือ สามีจะไปมีภรรยาใหม่หลังจากนางเสียชีวิตไปแล้ว เขาจึงสัญญาว่าจะออกบวชทันทีหลังจากนางจากไป เมื่อนางได้ยินคำสัญญานั้น ก็ตายจากไปได้

ตั้งแต่เกิดสัญญาณแห่งความตายซึ่งเกี่ยวข้องกับการแตกสลายของธาตุไปจนถึงขณะที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายหมดไปและเกิดการตายอย่างสมบูรณ์ทั้งภายนอกและภายใน มีความจำเป็นมากที่เราจะต้องประคับประคองจิตใจของเราให้ไม่ตระหนกตกใจ ไม่หวาดโกรธ ไม่เศร้าเสียใจจากการยึดติดผูกพัน ไม่น้อยใจหากไม่ได้รับการดูแล ไม่โกรธหรือเคืองแค้นผู้ใด จิตใจภายในนี้ละเอียดอ่อนมาก และในยามที่กายค่อยๆหมดพละกำลัง จิตที่ไม่ได้รับการฝึกก็จะยิ่งเสื่อมถอย ดิ่งลึกไปในความมืดมน ดุจดังลงไปสู่ก้นบึ้งของทะเลในยามค่ำคืน

เราจึงต้องฝึกจิตให้ตื่นรู้ เบิกบาน อยู่ตลอดเวลา การฝึกต้องทำอย่างสม่ำเสมอในขณะที่เรายังแข็งแรง เมื่อวันที่เราป่วยหนักมาถึง ถ้าเรายังไม่เคยฝึกจิตให้คิดแต่สิ่งดีๆ ให้รู้จักให้อภัย หรือปล่อยวาง เราอาจโกรธเกลียดความเจ็บป่วยซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพกายและใจของเราเลย แล้วเมื่อวาระแห่งลมหายใจสุดท้ายมาถึง เราจะจากไปอย่างทุรนทุราย

ชาวทิเบตเชื่อว่าเวลาสุดท้ายนั้นมีผลต่อการเดินทางต่อของจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงพยายามทำอย่างดีที่สุดที่จะให้ผู้ที่กำลังจะล่วงลับจากไปอย่างสงบสันติและมีสติ ไปพร้อมกับจิตที่มั่นคงในพระรัตนตรัยและในครูอาจารย์ของเขา แต่ละสัมผัสที่ให้ในขณะนั้นจะละมุนละม่อม เปี่ยมไปด้วยความกรุณา เพราะในขณะนั้นผู้กำลังจะล่วงลับไม่สามารถช่วยตัวเองได้อีกแล้ว มือที่เราไปสัมผัสเขาจึงต้องเต็มไปด้วยความรัก วาจาที่เราคุยกับเขาจึงต้องเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ไม่ว่าดูภายนอกเขาจะรับรู้หรือไม่ แต่ดวงจิตเขายังอยู่ ดวงจิตเขาต้องการความรักของเรา ต้องการคำเตือนให้นึกถึงครูอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเคารพบูชา เพื่อให้ดวงจิตของเขาไม่ว้าเหว่ ให้มีกำลังใจ และพร้อมที่จะไปเผชิญกับสภาวะใหม่ที่เรียกว่า "บาร์โด"...

กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์
21 กรกฎาคม 2555  :ขทิรวัน

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 21.0.1180.75 Chrome 21.0.1180.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 14 สิงหาคม 2555 06:51:33 »





เตรียมตัวตาย...พุทธวิธีทิเบต (๓)
Death & Dying...Tibetan Wisdom (3)

ชาวทิเบตเชื่อว่าเมื่อดวงจิตออกจากกายไปแล้ว จะประสบกับสภาวะที่เรียกว่า "บาร์โด" ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างการตายกับการเกิดใหม่ สภาวะนี้อาจกินเวลา 49 วัน หรือมากกว่านั้น จริงๆ แล้ว บาร์โดเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ผู้ตายป่วยหนักไปจนถึงเกิดการตายอย่างสมบูรณ์ภายใน เราเรียกบาร์โดนี้ว่า "บาร์โดแห่งขณะกำลังจะตาย"

ผู้ที่ป่วยหนักเป็นเวลานาน บาร์โดนี้ก็จะกินเวลานาน ทำให้ผู้ป่วยค่อยๆเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดจากธาตุต่างๆแตกสลาย ได้แก่ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบเป็นตัวเรา สำหรับผู้ที่เสียชีวิตอย่างกระทันหัน บาร์โดนี้จะสั้น บางครั้งเพียงแค่เสี้ยววินาที ทำให้การแตกสลายของธาตุเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

บางคนคิดว่าการจากไปอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งดีเพราะทำให้ทุกข์ทรมานแต่น้อย แต่การคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้องเพราะความตายที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจะทำให้จิตไม่ได้รับการเตรียม บางครั้งความตายนั้นมากับความหวาดกลัวอย่างที่สุดทำให้จิตจากไปอย่างไร้สติ และการตายอย่างปัจจุบันทันด่วนทำให้ผู้ล่วงลับยังคงผูกพันกับครอบครัวหรือการงาน และหลายกรณีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว เมื่อไม่สามารถจะสื่อสารกับครอบครัวได้ เมื่อตระหนักรู้ว่าได้จากไปแล้ว ก็ทำให้เสียใจอย่างที่สุด

เด็กเล็กๆโดยเฉพาะทารกบางครั้งไม่รู้ว่าได้จากไปแล้ว มีเพียงเราบุคคลที่อยู่ข้างหลังที่จะช่วยเหลือด้วยการสวดมนตร์ให้ ด้วยการทำบุญให้ ตั้งจิตอธิษฐานให้ได้ไปเกิดดี เสียงสวดมนตร์ของเรา และการทำบุญไม่ว่าจะเป็นโดยการตักบาตรแบบไทย หรือถวายตะเกียงเนย (ดวงประทีป) แบบทิเบต หรือทำบุญในระดับใหญ่ด้วยการสร้างพระ สร้าวสถูป วิหาร จะช่วยปลอบประโลมดวงจิตที่เร่ร่อนไปและช่วยน้อมนำให้บุญกุศลของเขาและของเราที่อุทิศให้เขาได้ช่วยชี้นำหนทางที่ประเสริฐให้แก่เขา

บางคนคิดว่าเมื่อเราตายไป ทุกสิ่งก็จบสิ้น เหมือนปิดสวิทช์ไฟ ดวงจิตก็ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป แต่จริงๆแล้ว ดวงจิตยังคงรับรู้เรื่องราวต่างๆ ยังคงมีความทรงจำถึงอดีตชาติที่เพิ่งจากมา ยังคงโกรธ เครียด เศร้า เสียใจ เสียดาย เหงา ว้าเหว่ แล้วความทรงจำจะค่อยๆลางเลือนเมื่อถึงเวลาที่จะได้ไปเกิดใหม่

เพราะฉะนั้น เมื่อเราจากไป เรากับครอบครัวก็จากไป ความสัมพันธ์ที่เรามีตอนนี้เกิดขึ้นเฉพาะในภพชาตินี้เท่านั้น ชาวทิเบตจึงเห็นคุณค่าของมิตรภาพและความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัวเป็นอย่างมาก เพราะกรรมที่เราทำร่วมกัน เราจึงเกิดมาในครอบครัวเดียวกัน เราจึงควรทนุถนอมความสัมพันธ์นี้ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไปจนวันสุดท้ายมาถึง...

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 21.0.1180.75 Chrome 21.0.1180.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 14 สิงหาคม 2555 14:04:56 »





เตรียมตัวตาย...พุทธวิธีทิเบต (๔)
Death & Dying...Tibetan Wisdom (4)

บาร์โดเป็นดังมิติที่เหลื่อมซ้อนมิติที่เราอยู่ ผู้ล่วงลับจากไปเพียงดวงจิต ทิ้งร่างกายที่หวงแหนไว้บนผืนดำที่เคยรับน้ำหนักเขาเอาไว้อยู่

เมื่อจิตแยกจากกาย จิตจะประสบนิมิตมากมายหลายลักษณะ เราเรียกนิมิตเหล่านั้นว่า “นิมิตแห่งบาร์โด” บางนิมิตงดงาม เช่น เห็นพระพุทธเจ้าผู้มีพระวรกายเปี่ยมไปด้วยมหาปริสลักษณะ เห็นวงรุ้ง เห็นวงแสง บางนิมิตดูน่าหวาดกลัว ดุจดังภูเขาถล่มทลายต่อหน้าเรา ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว

แต่ทุกนิมิตล้วนแต่มาจากพลังจิตของเราเอง เหมือนกับภาพปรากฏหน้ากระจกซึ่งเกิดจากศักยภาพของกระจกที่จะสะท้อนสิ่งต่างๆ

เมื่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายหมดลง ชีพจรหยุดเต้น สมองไม่ทำงาน ในทางการแพทย์จะวินิจฉัยว่าบุคคลนั้นได้เสียชีวิตแล้ว แต่ในฝ่ายทิเบตยังไม่ถือว่านั่นคือการเสียชีวิตอย่างสมบูรณ์ เป็นเพียงการตายภายนอก แต่กระบวนการภายในยังคงอยู่เพราะจิตยังทำงานอยู่

ในคัมภีร์มรณศาสตร์รจนาโดยพระอาจารย์ชาซา ต้าชี่ เกียลเซน ริมโปเช กล่าวไว้ว่า หลังการตายภายนอก หยดธรรมชาติ "ทิกเล่" โพธิสีขาวจากฝ่ายพ่อที่เราได้รับตอนเราปฏิสนธิ จะไหลจากจักระกระหม่อมมาบรรจบที่ช่องลมปราณกลางกาย ในขณะนั้นดวงจิตผู้ตายจะรับรู้ถึงแสงกระจ่างสีนวลของดวงจันทร์ในท้องฟ้าไร้เมฆหมอก จะเกิดปัญญาญาณภายในที่ทำให้กิเลสที่เป็นโทสะและความเกลียดชังถูกขจัดให้หมดไป ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "นังวา"

จากนั้น หยดธรรมชาติโพธิสีแดงจากฝ่ายแม่ที่เราได้รับตอนปฏิสนธิ จะไหลขึ้นมาจากบริเวณสะดือ (หรือในบางคัมภีร์ บริเวณอวัยวะเพศ) มาบรรจบที่ช่องกลางกายเช่นกัน ในขณะนั้น ดวงจิตผู้ตายจะรับรู้ถึงแสงกระจ่างสีแสดของพระอาทิตย์ในยามเย็นในท้องฟ้าไร้เมฆหมอก สัญญาณภายในปรากฏเป็นความรู้สึกปีติสุข กิเลสที่เป็นโลภะถูกขจัดหมดไป ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "เชปา"

เมื่อหยดธรรมชาติของพ่อกับหยดธรรมชาติของแม่มาบรรจบกันที่กลางหัวใจบริเวณที่ดวงจิตดำรงอยู่ จะเกิดท้องฟ้าใสปราศจากเมฆหมอกแต่มืดสนิทดุจดังคืนแห่งความมืดมิดที่แผ่กระจายไปทั่ว กิเลสที่เป็นโมหะถูกขจัดให้หมดสิ้นไป ผู้ตายจะรู้สึกหมดสติไป เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "เญทบ" นี่คือการตายภายในอย่างสมบูรณ์ เป็นการสิ้นสุดสภาวะบาร์โดที่หนึ่ง

ด้วยการตายยังมีระดับใน ชาวทิเบตจึงไม่นิยมกำจัดศพทันทีที่ชีพจรของผู้ตายหยุดเต้น หรือทันทีที่แพทย์วินิจฉัยว่าผู้ตายได้เสียชีวิตแล้ว แต่จะรอให้การตายภายในสิ้นสุด ซึ่งอาจกินเวลาชั่วครู่เดียวไปจนถึง 3 วัน และในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมชั้นสูงอาจกินเวลาหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น

หลังการตายภายใน ศพจะขาดความอบอุ่นและส่งกลิ่นเหม็น สิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยความอุ่นในร่างกาย เช่น หนอน จะค่อยๆตายไป สัญญาณว่าดวงจิตได้จากร่างไปแล้ว...

กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์
23 กรกฎาคม 2555 :ขทิรวัน
: https://www.facebook.com/ThousandStarsFoundation
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.293 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 16 พฤศจิกายน 2567 17:00:10