ทรงตรัสว่าอย่าลืมเวลาใดที่กำหนดภาพพระนิพพานอยู่ เวลานั้นจิตไม่ห่วงกาย จึงเท่ากับวางอุปาทานขันธ์ ๕ หรือละสักกายทิฎฐิได้ชั่วคราว จิตพ้นจากอำนาจของมารได้ชั่วคราว จึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ชั่วคราว เรียกว่า ปทังควิมุติ หลุดพ้นจากสมมุติธรรมเข้าสู่วิมุติธรรมได้ง่าย ๆ เพราะโดยปกติจิตมีสภาพจำหรือเกาะ ถ้าจิตรู้อย่างไร จิตก็เร็วไปตามนั้น จิตเกาะบาปก็ไปอบายภูมิ ๔ จิตเกาะบุญก็ไปสวรรค์ จิตเกาะพระนิพพานก็ไปพระนิพพาน ทรงให้อุบายปฏิบัติง่าย ๆ ว่า รู้ลม - รู้ตาย - รู้นิพพาน หมายความว่า รู้ลม คือ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและออก ทำจิตให้สงบเป็นสุข รู้ตาย หมายความว่า เป็นผู้ไม่ประมาทในความตาย เท่ากับไม่ประมาทในธรรมทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ บท รู้นิพพาน หมายความว่า จิตมั่นคงทุกขณะจิตว่า หากร่างกายตาย เป้าหมายมีจุดเดียว คือพระนิพพาน ทำอะไรทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียว หากใครปฏิบัติได้ตามนี้ ก็มั่นใจได้ว่าท่านมีที่นั่ง ในรถไฟขบวนสุดท้ายอย่างแน่นอน................................ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนปิดท้ายว่า...........................
(ก) จำไว้ พระพุทธเจ้าคือจิตผู้ทรงธรรม มิใช่ร่างกาย แม้พวกเจ้าเองก็คือจิตไม่ใช่ร่างกาย เมื่อรู้แล้วจะยังจิตให้ติดร่างกาย อยู่เพื่อประโยชน์อันใด ผู้ปฏิบัติธรรมให้ได้ผล ต้องซื่อตรง มีสัจจะบารมีกับจิตตนเอง
(ข) ให้อดทนเข้าไว้ เพราะเป็นชาติสุดท้ายแล้ว อะไรเกิดขึ้นก็ต้องอดทน ทนไม่ได้ก็ต้องทน ปลดทุกข์ออกจากจิต โดยใช้อริยสัจ กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา
สุดท้ายนี้.................ผมขอเน้นอีกครั้งว่า ผมไม่เคยออกปากบอกบุญใคร ทุกคนที่บริจาคเงินเป็นธรรมทาน ล้วนบริจาคด้วยมีเจตนาเหมือนกันหมดคือ ทำบุญ ทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียว รู้ด้วยปัญญาว่าไม่มีใครเอาสมบัติของโลกไปได้ เพราะเป็นโลกียทรัพย์ จึงบริจาคโลกียทรัพย์ให้เป็นโลกุตรทรัพย์ ใครทำใครได้ เอาไปได้ทุกคนตามกำลังใจของแต่ละคน บุญมิได้อยู่ที่จำนวนเงิน แต่อยู่ที่กำลังใจเต็มแค่ไหน มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย โดยใช้ปัญญาที่เกิดจากพรหมวิหาร ๔ เป็นหลักสำคัญ ไม่เบียดเบียนตนเองมากเกินไป ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น (ตนเองคือจิตของเรา ผู้อื่นคือร่างกายที่จิตอาศัยอยู่ชั่วคราว) ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว สำหรับทุก ๆ คนที่ร่วมวงสนทนาธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ คนละหลาย ๆ ปีแล้ว หากไม่มีความเข้าใจธรรมจุดนี้ ก็ไม่สามารถจะยังจิตให้เข้าสู่พระนิพพานได้ ผมจึงขออาราธนาบารมีคุณของพระศรีรัตนตรัย หรือ พุทโธ - ธัมโม - สังโฆ อัปปมาโณ อันหาประมาณมิได้ จงดลบันดาลให้จิตของท่านผู้อ่านพระธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผลอย่างจริงจังทุกท่านจงโชคดี ได้เข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยกันทุกท่านเทอญ........................พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ผู้รวบรวม......................
Credit By....................http://www.tangnipparn.com/