โยนิโสมนสิการ มาจาก ยถา + ตถา + มน + กร
ยถา ศัพท์ แปลว่า ใด
ตถา ศัพท์ แปลว่า นั้น
มน ศัพท์ แปลว่า ใจ
กร ธาตุ แปลว่า ทำ
แปลรวมว่า
ทำไว้ในใจโดยประการใด(เกิดขึ้น) โดยประการนั้นความหมายคือ ในเวลาปฏิบัติธรรม
สภาวะใดเกิดขึ้นแบบไหนอย่างไร รู้สภาวะตามนั้นแบบนั้น
ไม่ต้องปรุงแต่งอะไร คือรู้แบบละอภิชฌาและโทมนัส (รู้แบบ
สติปัฎฐาน)
พุทธธรรมใหม่ - หน้าที่ 728
[๑"สำหรับภิกษุผู้เสขะ ยังไม่บรรลุอรหัตผล ปรารถนาความเกษมจากโยคะ
อันยอดเยี่ยม เราไม่เล็งเห็นองค์ประกอบภายในอย่างอื่นแม้สักอย่าง ที่มีประโยชน์มาก
เหมือนโยนิโสมนสิการเลย ภิกษุผู้ใช้โยนิโสมนสิการย่อมกำจัดอกุศลได้
และบำเพ็ญกุศลให้เกิดขึ้น"]
[๒เราไม่เล็งห็นธรรมอย่างอื่น แม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้สัมมาทิฐิที่ยังไม่เกิดได้เกิดขึ้น
หรือให้สัมมาทิฐิที่เกิดขึ้นแล้ว เจริญยิ่งขึ้น เหมือนโยนิโสมนสิการเลย เมื่อมีโยนิโสมนสิการ
สัมมาทิฐิที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และสัมมาทิฐิที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเจริญยิ่งขึ้น"]
[๓"เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้โพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด ได้เกิดขึ้น
หรือให้โพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว ถึงความเจริญเต็มบริบูรณ์ เหมือนโยนิโสมนสิการเลย
เมื่อมีโยนิโสมนสิการ โพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมถึงความเจริญเต็มบริบูรณ์"]
[๔"เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้สักข้อหนึ่ง ที่จะเป็นเหตุให้ความสงสัยที่ยังไม่เกิด
ก็ไม่เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วก็ถูกกำจัดได้ เหมือนโยนิโสมนสิการเลย"]
[๕โยนิโสมนสิการในอสุภนิมิต เป็นเหตุให้ราคะไม่เกิด และราคะที่เกิดแล้วก็ถูกละได้
โยนิโสมนสิการใน
เมตตาเจโตวิมุตติ เป็นเหตุให้
โทสะไม่เกิด และโทสะที่เกิดแล้วก็ถูกละได้
โยนิโสมนสิการ (โดยทั่วไป)
เป็นเหตุให้โมหะไม่เกิด และโมหะที่เกิดแล้ว ก็ถูกละได้]
[๖เมื่อใช้โยนิโสมนสิการ นิวรณ์ 5 ย่อมไม่เกิด ที่เกิดแล้วก็ถูกกำจัดได้
ในขณะเดียวกันก็เป็นเหตุให้โพชฌงค์ 7 เกิดขึ้นและเจริญเต็มบริบูรณ์]
[๗"ธรรม 9 อย่างที่มีอุปการะมาก ได้แก่ ธรรม 9 อย่าง ซึ่งมีโยนิโสมนสิการเป็นมูล
กล่าวคือ เมื่อโยนิโสมนสิการ ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด เมื่อมีใจปีติ
กายย่อมสงบระงับ (ปัสสัทธิ) เมื่อกายสงบระงับ ย่อมได้เสวยสุข ผู้มีสุข จิตย่อมเป็นสมาธิ
ผู้มีจิตเป็นสมาธิ ย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง เมื่อรู้เห็นตามเป็นจริง ย่อมนิพพิทาเอง
เมื่อนิพพิทาก็วิราคะ เพราะวิราคะ ก็วิมุตติ"]
ความหมายของโยนิโสมนสิการ
ว่าโดยรูปศัพท์ โยนิโสมนสิการ ประกอบด้วย โยนิโส กับ มนสิการ
โยนิโส มาจาก โยนิ ซึ่งแปลว่าเหตุ ต้นเค้า แหล่งเกิด ปัญญา [๘อุบาย วิธี ทาง] ส่วน
มนสิการ แปลว่า การทำในใจ การคิด คำนึง นึกถึง ใส่ใจ พิจารณา]
เมื่อรวมเข้าเป็นโยนิโสมนสิการ ท่านแปลสืบๆ กันมาว่า การทำในใจโดยแยบคาย การทำในใจ
โดยแยบคายนี้มีความหมายแค่ไหนเพียงใด คัมภีร์ขึ้น
อรรถกถาและฎีกาได้ไขคามไว้
โดยวิธีแสดงไวพจน์
๑*ให้เห็นความหมายแยกเป็นแง่ๆ ดังต่อไปนี้
1. อุบายมนสิการ แปลว่า คิดหรือพิจารณาโดยอุบาย คือคิดอย่างมีวิธี หรือคิดถูกวิธี
หมายถึงคิดถูกวิธีที่จะให้เข้าถึงความจริง สอดคล้องเข้าแนวกับสัจจะ ทำให้หยั่งรู้สภาวลักษณะ
และสามัญลักษณะของสิ่งทั้งหลาย
2. ปถมนสิการ แปลว่า คิดเป็นทาง หรือคิดถูกทาง คือคิดให้ต่อเนื่องเป็นลำดับ
จัดลำดับได้หรือมีลำดับ มีขั้นตอน แล่นไปเป็นแถวเป็นแนว หมายถึง ความคิดเป็นระเบียบ
ตามแนวเหตุผลเป็นต้น ไม่ยุ่งเหยิงสับสน ไม่ใช่ประเดี๋ยววกเวียนติดพันเรื่องนี้ ที่นี้
เดี๋ยวเตลิดออกไปเรื่องนั้นที่โน้น หรือกระโดดไปกระโดดมา ต่อเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้
ทั้งนี้รวมทั้งความสามารถที่จะชักความนึกคิดเข้าสู่แนวทางที่ถูกต้อง
3. การณมนสิการ แปลว่า ติดตามเหตุ คิดค้นเหตุ คิดตามเหตุผล หรือ
คิดอย่างมีเหตุผลหมายถึง การคิดสืบค้นตามแนวความสัมพันธ์สืบทอดกันแห่งเหตุปัจจัย
พิจารณาสืบสาวหาสาเหตุ ให้เข้าในถึงต้นเค้า หรือแหล่งที่มาซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาตามลำดับ
4. อุปปาทกมนสิการ
๒** แปลว่า คิดให้เกิดผล คือใช้ความคิดให้เกิดผลที่พึงประสงค์
เล็งถึงการคิดอย่างมีเป้าหมาย ท่านหมายถึง การคิดการพิจารณาที่ทำให้เกิดกุศลธรรม
เช่น ปลุกเร้าให้เกิดความเพียร การรู้จักคิดในทางที่ทำให้หายหวาดกลัว ให้หายโกรธ
การพิจารณาที่ทำให้มีสติ หรือทำให้จิตใจมีความเข้มแข็งมั่นคงเป็นต้น
ไขความทั้ง 4 ข้อนี้ เป็นเพียงการแสดงลักษณะด้านต่างๆ ของความคิดที่เรียกว่า
โยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งๆ อาจมีลักษณะครบทีเดียวทั้ง 4 ข้อ
หรือเกือบครบทั้งหมดนั้น หากจะเขียนลักษณะทั้ง 4 ข้อนั้นสั้นๆ คงได้ความว่า
คิดถูกวิธี คิดมีระบียบ คิดมีเหตุผล คิดเร้ากุศล แต่ถ้าจะสรุปเป็นคำจำกัดความ
ก็เห็นได้ว่าทำยากสักหน่อย มักจับเอาไปได้แต่บางแง่บางด้านไม่ครอบคลุมทั้งหมด
หรือไม่ต้องเขียนบรรยายยืดยาวเหมือนอย่างที่เขียนไว้ในตอนเริ่มต้นของบทนี้
อย่างไรก็ตามมีลักษณะเด่นบางอย่างของความคิดแบบนี้ ที่อาจถือเป็นตัวแทน
ของลักษณะอื่นๆ ได้ ดังที่ได้เคยแปลโดยนัยไว้ว่า
[๑ความคิดถูกวิธีความรู้จักคิด การคิดเป็น การคิดตรงตามสภาวะและเหตุปัจจัย
การคิดสืบต้นถึงต้นเค้าเป็นต้น หรือถ้าเข้าใจความหมายดีแล้ว จะถือตามคำแปล
สืบๆ กันมาว่า การทำในใจโดยแยบคาย ก็ได้]
{๑* ไวพจน์ของมนสิการ คือ อาวัชชนา อาโภค สมันนาหาร ปัจจเวกขณ์
(ดู ที.อ.2/323; ม.อ.1/88; อิติ.อ.80; วิสุทธิ,2/63; 138)
นอกจากนี้ในบาลี ยังพบคำจำพวกไวพจน์ของมนสิการอีกหลายคำ เช่น อุปปริกขา
(เช่น สํ.ข. 17/87/53; 242/171) ปฏิสังขา (เช่น องฺ.จตุกฺก.21/37/51 ฯลฯ ฯลฯ)
ปฏิสัญจิกขณา (เช่น องฺ.ทสก.24/92/197 = โยนิโสมนสิการ ใน สํ.นิ.16/154/84
และ สํ.ม.19/1577/489) ปริวีมังสา (เช่น สํ.นิ.16/189/97)
คำว่า สัมมามนสิการ (ที.สี.9/27/16; ที.ปา.11/13/32; ที.อ.1/136;3/95; ม.อ.1/272)
ก็มีความหมายใกล้เคียงกับโยนิโสมนสิการ แต่มีที่ใช้น้อย ไม่ถือเป็นศัพท์เฉพาะ.}
{๒** ไขความเป็น อุปายมนสิการ ปถมนสิการ อุปปาทกมนสิการ ที่ สํ.อ.3/252;
เป็นอุปายมนสิการ และปถมนสิการที่ ที.อ.2/70,323,500 =
วิภงฺค.อ.353 = ม.อ.1/387,88; อิติ.อ.80; สํ.อ.2/27; เป็นอุปายมนสิการ
ที่ ม.อ.2/467; สํ.อ.1/200; 3/215; องฺ.อ.1/49,518; วินย.ฎีกา 4/110;
เป็นอุปปาทกมนสิการ ที่ ม.อ.1/405; เป็นการณมนสิการในฎีกาแห่งทีฆนิกาย
(ขยายความปถมนสิการนั่นเอง; ฉบับไทยยังไม่พิมพ์ พึงดูฉบับอักษรโรมัน หรืออักษรพม่า)
คำอธิบายทั่วไปที่น่าฟัง ดู วิสุทธิ.1/167; วินย.ฎีกา 2/350, วิสุทธิ.ฎีกา 1/226;
อาจดูประกอบที่ปัญจิกา 1/432; 2/115,267; คำอธิบายข้างบน แสดงตามอัตโนมัติด้วย.
พุทธธรรมใหม่ - หน้าที่ 730:http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=39803