ตอนที่ ๕ ปัญญาบารมี
จาก หนังสือ บารมี ๑๐ ท่านสาธุชนทั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็มาปรารภกับบรรดาท่านพุทธบริษัทถึง บารมีที่ ๔ ความจริงเรื่องบารมีนี้อาตมาจะไม่พูดเป็นตอนถึง ๑๐ ตอน เพราะว่าเสียเวลาเปล่า เพราะอะไร ก็เพราะว่าบารมีแต่ละบารมีเมื่อปฏิบัติแล้วก็ควบกันอยู่เสมอไป ก็สร้างความเข้าใจให้เกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทอยู่แล้ววันนี้เรามาพูดกันถึงบารมีที่ ๔ คือ ปัญญาบารมี ดีไม่ดีก็อาจจะยกเลิกกันไปเสียเลยเรื่องบารมี ทั้งนี้เพราะอะไรก็เพราะว่าถ้าถึงปัญญาบารมีแล้วก็ควรจะจบกันได้ เพราะปัญญาบารมีนี่เป็นบารมีครอบจักรวาล ถ้าเรามีปัญญาเสียอย่างเดียวบรรดาท่านพุทธบริษัท อย่างใดทั้งหมดไม่ต้องมีก็ได้ เพราะว่าปัญญานี้เหมือนกับ รอยเท้าช้าง รอยเท้าสัตว์ทั้งหลายที่ในป่าถ้าเหยียบลงไปก็เล็กกว่ารอยเท้าช้างทั้งหมด ฉะนั้นในมรรค ๘ องค์สมเด็จพระบรมสุคตจึงเอา สัมมาทิฏฐิ คือตัวปัญญาเป็นที่ตั้งอยู่ตัวหน้าทีนี้การที่เราจะรักษาศีลได้ จะมีสมาธิได้ จะให้ทานได้ จะทรง เนกขัมมบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ทั้งหมดก็อยู่ที่ ตัวปัญญา ตัวเดียว เพราะอาศัยที่เรามีปัญญาเท่านั้นเราจึงทรงได้ ถ้าเราไม่มีปัญญาเราก็ทรงไม่ได้ ฉะนั้นเรื่องบารมีเราจบกันตรงนี้ดีไหม จะได้ไม่ยืดยาดเกินไปปัญญา ตัวนี้ก็ต้องจัดว่าเป็นปัญญาตัวสำคัญ แยกไว้เป็นสองปัญญาด้วยกัน คือ ปัญญาที่เป็นโลกีย์ กับ ปัญญาที่เป็นโลกุตตระปัญญาที่เป็นโลกีย์ ก็เรียกว่า รู้จักรักษาตัวรอดเป็นยอดดี ในเรื่องการทำมาหากินอาตมาจะไม่พูด จะพูดแต่เฉพาะปฏิบัติเพื่อ เอาตัวรอดจากอบายมุข ก่อนทีนี้คนที่เขามีปัญญาจริง ๆ เขาก็จะมองเห็นว่าการให้ทานเป็นของดี และการให้ทานนี่เป็นการผูกมิตร ดึงกำลังจิตของคนให้เข้ามาเป็นมิตรเป็นเพื่อนกัน ดีกว่าการทำลายคนที่ให้ทานไว้เสมอนี่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายไปที่ไหนย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับ เว้นไว้แต่คนที่มีสันดานเยี่ยง เทวทัต เท่านั้น ก็มีอยู่ในโลกนี้ ไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างคนประเภทนี้มีแต่ความอกตัญญูไม่รู้คุณคน เราก็ต้องใช้ปัญญาหลีกเลี่ยงเสีย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาธรรมดาเราจะยกย่องขึ้นมาว่านี่เป็น กฎของกรรม เพราะเราโง่เกิดมาในโลก คำว่าโลก แปลว่า มีอันที่จะต้องฉิบหายไปไม่มีอะไรเป็นการทรงตัว เอาแน่นอนกันไม่ได้ทีนี้คนที่มีปัญญาจริง ๆ จึงได้คิดว่า การให้ทานเป็นการสงเคราะห์ เขาจะรู้คุณเราหรือไม่รู้คุณเห็นช่าง เรามีความสบายใจเพราะการให้ทานก็แล้วกัน อย่างนี้เรียกว่า ปัญญาเอาตัวรอด เรียกว่า รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีทีนี้คนที่มีปัญญาก็ทราบด้วยว่าศีลเป็นของดี เพราะปกติเรามีความต้องการความสุขในด้านไหน ก็ด้านที่เรียกว่าไม่ต้องการให้ใครเขามาทำร้ายเรา มาลักขโมยเยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของเรา มายื้อแย่งความรักเรา มาโกหกมดเท็จเรา และเราไม่ต้องการความเป็นบ้าถ้าเราทรงศีลไว้เราก็จะพ้นจากเหตุทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้ หรือคนทั้งหมดรักษาได้ทุกคนก็จะมีความสุข ยิ่งไปกว่านั้น ตัวปัญญาก็มองเห็นว่าถ้าเราทรงศีลบริสุทธิ์แล้ว อบายภูมิเราไม่ไป ตายแล้วเราก็มีความสุข นี่เรียกว่า ปัญญาขั้นรักษาตัวรอดเป็นยอดดีมาใน เนกขัมมบารมี คือการระงับนิวรณ์ ๕ ยังไม่ตัด ทั้งนี้ก็เพราะว่าเพื่อทำจิตใจของเราให้มีความสุข ทำอารมณ์จิตให้เยือกเย็น เมื่อจิตมีความสุข จิตมีความเยือกเย็นก็เป็นที่พอใจของเรา คนมีปัญญาจึงจะทรงเนกขัมมบารมีได้เห็นว่าเนกขัมมบารมีเป็นของดีส่วน วิริยบารมี ปัญญาก็มองเห็นว่า จิตใจของเรามันทรามอยู่เป็นปกติ เราก็ต้องฝืนอารมณ์ข่มจิต ใช้ความพากเพียรที่จิตมันจะไหลลงต่ำ เราก็ดันให้ขึ้นมาสูง ถึงจะลงไปหาความชั่วเราก็พยายามดันเข้าหาความดี ต้องมีความเพียร มีปัญญาเสียตัวเดียว ปัญญาเห็นว่าความเพียรในการที่กั้นจิตไม่ให้ไปสู่ความชั่ว ให้ทรงตัวไว้ในความดีเป็นของดี จึงทรงวิริยบารมีไว้เป็นปกติ ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา กรรมที่เราทำ ทำด้วย กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มันก็เหมือนกัน ใช้ปัญญาพิจารณาก่อนแล้วจึงทำ ว่ามันดีหรือมันชั่วนี่มีปัญญาตัวเดียวมันก็พอแล้วนี่บรรดาท่านพุทธบริษัทเขาเรียกว่า บารมีครอบจักรวาลสำหรับด้าน ขันติ ความอดทนต่ออารมณ์ที่เราไม่พอใจ จะเป็นความทุกข์ความกระทบกระเทือนทางกายหรือทางใจก็ช่าง เราทรงขันติความอดทนไว้ เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า ถ้าเราอดทนเข้าไว้ไม่ปล่อยให้จิตใจมันไหลไปสู่ความชั่ว ไปมัวเมาในขันธ์ ๕ มากเกินไป องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่า ท่านผู้นั้นมีความสุขทั้งในชาติปัจจุบัน และ สัมปรายภพ ปัญญาก็จะมองเห็นได้ชัดถ้าเขาด่าเรามา เราก็ด่าเขาไป เรื่องการด่ามันก็ไม่จบ ถ้าเขาด่าเรามา เรานิ่งเฉย การด่ามันก็จบ เพราะคนด่ามันเหนื่อยไปเอง นี่ยกตัวอย่างให้เห็นง่าย ๆทีนี้เมื่อมีปัญญาแล้ว ด้าน สัจจบารมี ก็ครบถ้วนเต็มกำลังใจ เพราะอะไร เพราะเราเป็นคนฉลาด ใช้ปัญญาพิจารณาดูแล้วว่าสิ่งใดมันดีสิ่งใดมันชั่ว อะไรก็ตามเป็นเหตุของความชั่ว เราตั้งใจไว้แล้ว มีสัจจะ เราจะทรงความจริงไว้ว่า ความชั่วเราจะไม่ให้มายุ่งกับใจของเรานี่คนมีปัญญาก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่า อะไรมันเป็นจุดหมายของความชั่วหรือความดี เมื่อเห็นว่าสิ่งนี้เป็นของดีแน่ เราก็ตั้งใจตั้งสัจจะไว้ว่า เราจะไม่ยอมละความดี ตัวนี้เป็น สัจจธรรม จะทรงทาน ทรงศีล ทรงเนกขัมมะเข้าไว้มันเป็นผลของความสุข แล้วก็มีความจริงไว้เฉพาะเท่านี้ นี่อาศัยปัญญาเท่านั้นเป็นตัวควบคุมแล้วมา อธิษฐานบารมี เราตั้งใจไว้แล้วนี่ว่า เราจะไม่ยอมทำจิตใจของเราให้ไปสู่ความชั่ว เราจะไม่ยอมให้จิตของเราคลาดเคลื่อนไปจากหลักของจิตที่เราปักเข้าไว้ เราปักไว้ตรงไหน เราปักไว้ว่าเราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เราจะให้ทานเป็นปกติ เราจะมีเมตตาอยู่เสมอ เราจะมัวเมาหรือไม่ยอมเป็นทาสของนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการในด้านเนกขัมมบารมีอารมณ์ตัวนี้ปักไว้ให้ตรง ไม่ยอมขยับเขยื้อนเหมือนกับหลักที่ปักแน่นแล้ว อย่างนี้ก็ชื่อว่า เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จประทีปแล้ว แต่ต้องอาศัยปัญญาเข้าควบคุมสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะมีได้ก็เพราะอาศัยปัญญาเข้าคุมมาตัว เมตตา บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าหากว่าเราขาดปัญญาเสียตัวเดียว เมตตาก็ทรงอยู่ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเราเมตตาในเขา แต่บางทีหรือว่าหลาย ๆ คราวอาจจะมีเป็นจำนวนมากที่เราไปพบกับคนอกตัญญูที่ไม่รู้คุณคน ไม่รู้อะไรมันเป็นปัจจัยของความดีหรือความชั่วเมตตาเขาแล้ว เขากลับอกตัญญูสนองตอบด้วยความโหดร้าย แต่ทว่าอาศัยคนที่มีปัญญาเท่านั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะถือว่านี่มันเป็นโลกธรรมดา นินทา ปสังสา ความสุขความทุกข์มันเป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลก ที่เราต้องมาเกิด มากระทบกระทั่งพบกับคนที่หาความดีไม่ได้ไม่รู้จักคุณคนทำความดีมองไม่เห็นความดี ก็เพราะอาศัยเราโง่คนที่มีปัญญาเขาไม่โทษคนอื่นเขาโทษตัวเอง ว่าเพราะอาศัยเราโง่มาในชาติก่อน ในกาลก่อนเราไม่ทรงความดีเข้าไว้ เราไม่แสวงหาความฉลาด เราจึงได้ตกมาเป็นทาสของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และ อกุศลกรรม ต้องกลับมาเกิดใหม่นี่คนที่มีปัญญาเขาคิดอย่างนี้ แทนที่จะไปเจ็บใจคนที่สร้างความไม่มี เป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคนมีจิตประกอบไปด้วยอกุศล แทนที่เขาจะคิดอย่างนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัทเขาไม่คิด คนที่มีปัญญาน่ะไม่คิดอย่างนั้น เขาจะโทษตัวเองว่าเรามันโง่เกินไป ถ้าเราฉลาดเชื่อคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร เข้าไปนิพพานเสีย แล้วมันจะมีอะไรล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท มันก็ไม่มีอะไรอีกสำหรับด้าน อุเบกขาบารมี นี่ใช้ปัญญาเข้าควบคุมจิตใจของเราให้เฉยเข้าไว้ อะไรที่มันเกิดขึ้น ศิษย์ทำผิดวินัยและเป็นไปเพื่อความทุกข์ จิตใจจะหาความสุขไม่ได้ถ้าเราไปเกาะ เราก็ใช้ปัญญามาเป็นเครื่องพิจารณาว่าเราอยู่ในโลก ถ้าเราหมุนไปตามนั้น เราไม่วางเฉยเสียไม่ทรงตัวเฉยเข้าไว้จิตใจก็จะประกอบไปด้วยกุศล การที่เราต้องการปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทศพล ต้องการเป็น พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ มันจะเป็นได้ยังไง และเมื่อมีอะไรที่ไม่ชอบใจไม่ถูกใจ ก็ถือว่า ช่างเถอะ ตามเดิม วางเฉยเข้าไว้นี่ปัญญาที่ใช้แบบนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เป็นปัญญาที่รู้จักรักษาตัวรอดเป็นยอดดีเท่านั้น ยังไม่พ้นอำนาจ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และ อกุศลกรรม ทีนี้เรามาใช้ปัญญาเบื้องสูงกัน เอาเป็นตัวจบ พูดกันง่าย ๆ นี่จบบารมีกันเสียเลยก็ดี จะได้ไม่พูดกันเลอะเทอะไป มาจบบารมีกันเสียเลยปัญญาเราใช้ทานบารมีเราใช้ในด้านไหน การที่เราจะให้ทาน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าเรามีปัญญา ปัญญาของเราเต็ม เราก็คิดอย่างเดียว ไม่ใช่ว่าเราจะสงเคราะห์คนอื่น การให้ทานเราสงเคราะห์ตัวเราเอง สงเคราะห์ตรงไหนล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท สงเคราะห์ตรงที่เราให้ทาน เราตัดโลภะความโลภ เพราะความโลภมันเป็นรากเหง้าของกิเลสถ้าเราเป็นทาสของความโลภ เราก็ต้องเกิดมามีความทุกข์ ให้ไปแล้วคนเขาจะรู้คุณเราหรือไม่รู้คุณช่างเขา เขาจะเห็นว่าเราดีหรือเราชั่วไม่สำคัญ เราให้เพื่อทำลายความชั่วที่มันจมอยู่ในสันดานของเราให้มันหมดไป คือ ความโลภ หรือว่า มัจฉริยะ ความตระหนี่แน่นเหนียว เมื่อความโลภไม่มีเสียตัวเดียว ความเบาใจมันก็เกิด ลอยตัวได้แล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท เราเป็นคนใกล้พระนิพพานเต็มที นี่ปัญญาเขาใช้กันอย่างนี้ทีนี้ตอนที่เรามารักษาศีลรักษาเพื่ออะไรกัน การรักษาศีลนั้นมันเป็นพื้นฐานที่เราจะได้เข้าถึงพระนิพพาน เพราะเป็นบันไดขั้นที่ ๒ ที่เรานำมาเป็นการระงับ โทสะ กับ พยาบาท ทำลายอารมณ์ชั่ว ความวุ่นวายของใจ ความเร่าร้อนข้องใจ ความโหดร้ายของใจการรักษาศีลนี่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เราไม่รักษาเพื่อความโลภ เพื่อให้ใครเขามาบูชา ไม่ต้องการให้คนเขามาบูชา ไม่ต้องการให้เขามาสรรเสริญ ใครเขาจะบูชา ใครเขาจะสรรเสริญเราหรือไม่ไม่สำคัญ เรารักษาศีลนั้น เราต้องการอย่างเดียวคือ แงะรากฐานของโลภะให้พินาศไป เรายังขุดรากไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ตัดต้นโค่นต้นลงมาเสียให้ได้ ให้มันเหลือแต่ตอต่อไปก็ใช้ปัญญาพิจารณาในด้าน วิปัสสนาญาณ ละขันธ์ ๕ เสีย ให้หมด เป็นอันว่าไอ้ตัวแห่งความโลภ ความโกรธ มันก็จะสิ้นรากสิ้นเหงา สิ้นโคนลงไป ต้องใช้ปัญญาตัวนี้เข้ามาพิจารณาเรื่องการรักษาศีล ต้องคุมศีลให้บริสุทธิ์ คือไม่ทำเอง ไม่ยุให้คนอื่นเขาทำลาย ไม่ยินดีเมื่อทำลายแล้ว หรือเมื่อคนอื่นเขาทำลายแล้ว นี่ใช้ปัญญาพิจารณาตัวเดียวมาตอน เนกขัมมบารมี ตอนถือบวช ตอนนี้มี กามฉันทะ เราระงับไว้ได้ด้วยอำนาจ อสุภกรรมฐาน กับ กายคตานุสสติ กดคอมันเข้าไว้ แล้วก็ห้ำหั่นมันด้วยอำนาจของปัญญา พิจารณาว่ากามคุณ ๕ มีกายเป็นตัวนำ เราพอใจในกายแล้วพิจารณาดูในกายว่ามันสกปรกแล้วเอามันไว้ทำไม นอกจากจะสกปรกมันยังทำลายจิตใจเราด้วย แล้วมันก็ไม่ช่วยให้เรามีความสุข เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ โยนทิ้งมันไปเสียเลย ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่ประกอบไปด้วยขันธ์ 5 แบบนี้ จะไม่มีสำหรับเราต่อไป เลิกคบกันไป เลิกติดใจในกายไม่ว่ากายของใครทั้งหมดนี่เนกขัมมบารมีที่เขาใช้กันด้วยอำนาจของปัญญา เขาใช้ตัวนี้ นี่มันเป็นของไม่ยาก ทำใจให้มันเต็ม คำว่า เต็ม เราอย่าให้มันบกพร่อง อย่าให้จิตอื่นอารมณ์อื่นเข้ามายุ่ง ทำอารมณ์ให้มันเต็มให้มันเป็นปกติ คิดอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา การเป็นอรหันต์เป็นของไม่ยาก ตานี้ตัวปัญญาไม่ต้องมาพูดกัน มาไล่เบี้ยอย่างอื่นกันต่อไปเอาปัญญาเข้าไปใช้ใน วิริยะ ความเพียรอีก ตอนนี้เพียรตรงไหน เพียรตัดสังโยชน์ 10 ประการให้พินาศไป ใช้สักกายทิฏฐิตัวเดียวเข้าประหัตประหาร พิจารณาว่า สภาพร่างกายนี่มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา และเมื่อมันไม่เป็นเราไม่เป็นของเราเสียอย่างเดียวแล้ว สิ่งอื่นทั้งหลายในโลกจะมีอะไรเป็นของเราอีก นี่ต้องใช้ความเพียร เอาปัญญาเข้ามาจับ ใช้ความเพียรให้มีประโยชน์ อย่าเอาความเพียรไปประกอบสิ่งที่เป็นโทษเข้ามายุ่ง ไม่เอานี่ปัญญาตัวนี้เป็นปัญญาที่เป็น ปรมัตถบารมี จับความเพียรตัวนี้เข้ามายึดสังโยชน์เป็นสำคัญ ทำลายให้พินาศไป ส่วนร่างกายคือขันธ์ 5 ทิ้งเสียได้แล้ว อย่างอื่นไม่เหลือ บรรดาท่านพุทธบริษัท หากความเหลือไม่ได้ ความเป็นอรหันต์ปรากฎกันตอนนี้ จะไปคุยกันทำไมเรื่อง พระโสดาบัน มันเป็นของง่าย ๆ ของเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ นี่ง่ายเกินไปถ้าเราใช้ปัญญาในด้าน ขันติบารมี ความอดทนอดใจ อดทนเข้าไว้ว่าอารมณ์อันใดที่มันเป็น อุปกิเลส กิเลสเล็กก็ดี กิเลสใหญ่ก็ดี เรื่องความไม่ดีที่มันจะเข้ามา ยับยั้งมันด้วยอำนาจขันติบารมี วิริยบารมีมาทางวิ่งหนี แต่บังเอิญมันจะกวดทัน ยั้งมันเข้าไว้ ไม่ยอมให้มันเข้ามายุ่งในใจ อดทนอดกลั้น ไม่ยอมหวั่นไหวไปตามด้วย อำนาจของกิเลส มีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น ยันมันด้วยอำนาจขันติ มันจะเข้าประตู เฉยเสีย ไม่เปิดยอมรับมัน เมื่อเราไม่เปิดประตูยอมรับมัน มันจะมาได้ยังไง จะเข้าได้รึ มันก็เดินวนมาวนไป วนไปวนมา เข้าไม่ได้มันก็กลับไปเอง นี่ปัญญาต้องใช้ความเฉียบขาด เรียกว่าถ้าเราทรงความอดทนไม่ได้เราตายเสียดีกว่า นี่เป็นปัญญาตัวสุดท้าย บารมียกยอดกันเพียงแค่นี้ทีนี้มาด้าน สัจจบารมี ความจริงใจ ใช้ปัญญาควบคุมความจริงเข้าไว้ เราเลือกไว้แล้วนี่ว่าสิ่งนี้มันเป็นของดีของเลว เลือกเอาของดีเข้าไว้ ทรงแต่ความจริงว่า เราจะค้นคว้าหาแต่ความดีเท่านั้น ทำลาย สักกายทิฏฐิ คือร่างกายให้พินาศไป ตัดว่าร่างกายไม่เป็นที่พอใจของเรา ความโลภมันก็ไม่มี ความโกรธมันก็ไม่มี ความหลงมันก็ไม่มี ไอ้ตัวที่หลงใหญ่ก็คือ หลงกายว่าเป็นเราเป็นของเรานี่แหละ มันก็เลยหลงตัวอื่นต่อไป นี่เราทรงสัจจะเข้าไว้ว่า เราจะจริง คือการทำลายกิเลสทั้ง 3 ประการให้พินาศไปด้วยอำนาจของ อริยสัจทีนี้มา อธิษฐานบารมี เราตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่าเราต้องการพระนิพพาน อย่างอื่นไม่ไป ใครจะมายกยอปอปั้นยังไงเราไม่เอา เพราะว่าเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้าท่านดีกว่าเรา เป็นกษัตริย์ และก็มีทรัพย์สมบัติมาก มีความดี มีปัญญาทุกอย่าง ทุกสิ่งสมบูรณ์บริบูรณ์ พระองค์ยังไม่หลง ตั้งใจเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วก็ไปจริง ๆ ในเมื่อเราเป็นพุทธบริษัทชายหญิงของพระพุทธเจ้า ในเมื่อพระองค์ทิ้งอย่างอื่นได้เราก็ทิ้งได้ เราจะเก็บมันไว้ทำไม เราก็ตั้งใจตรงเฉพาะพระนิพพาน ใครจะชวนไปทางไหนฉันไม่ยอมไป ไปทีเดียว คือพระนิพพานเท่านั้น ตั้งใจไว้โดยเฉพาะ ทำอะไรนิดทำอะไรหน่อยเราทำเพื่อพระนิพพาน นี่คนที่มีปัญญาเขาใช้อย่างนี้ ปัญญาเป็นบารมีครอบจักรวาลและองค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกว่า จงมีเมตตาเป็นปกติ เมตตานี่เป็นตัวยืนสำคัญบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เลี้ยงทั้งทาน เลี้ยงทั้งศีล เลี้ยงทั้งวิปัสสนาญาณ เพราะเมตตาเป็นอาการที่สร้างอารมณ์ใจให้เยือกเย็น ไม่มีกังวลใยอย่างอื่น มีจิตคิดอย่างเดียว คือคิดสงเคราะห์ รักคนอื่น สงสารคนอื่น เกรงว่าเขาจะมีทุกข์เราไม่ต้องการยัดเยียดความทุกข์ให้แก่บุคคลอื่น ต้องการอย่างเดียวยัดเยียดความสุขให้แก่เขาด้วยอำนาจของ เมตตาแล้วก็ใช้ปัญญาเข้ามาพิจารณาว่า การที่เมตตานี่เราไม่ได้คิดในเขาเราสงเคราะห์ให้เขาข้ามฟาก คือพ้นจากบ่วงทุกข์ไปได้ชั่วขณะ หรือจะตลอดกาลก็ตามใจ นี่มันเป็นเรื่องของเขาเราอย่าไปผูกพัน ช่วยแล้วเขาปฏิบัติได้หรือไม่ได้นี่มันเรื่องของเขา นี่มันก็ของไม่ยาก ถ้ามีปัญญาเข้ามาพิจารณาแล้วเมตตามันก็ไม่สลายตัว มันทรงตัว มันเต็ม มันอิ่มบริบูรณ์ ใช้ปัญญาตัวเดียวบรรดาท่านพุทธบริษัทสำหรับ อุเบกขาบารมี ตัวนี้ขั้นสูง อุเบกขานี่แปลว่าความวางเฉย ต้องใช้เป็น สังขารุเปกขาญาณ คือวางเฉยในสังขารคือร่างกาย มันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน โลกทั้งโลก ทรัพย์สินทั้งหลายมันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน ร่างกายมันป่วยจะตายมีทุกขเวทนาสาหัส เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ จะไปแยแสอะไรกะมัน ช่างมัน มันอยากป่วยเชิญมันป่วยไป มันอยากตายเชิญมันตายไป ตัดตัวนี้ได้มันก็มีความสุข เราเฉยเข้าไว้เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า อัตภาพร่างกายหรือว่าขันธ์ ๕ นี่มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเราเอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สวัสดีเหลืออีกครึ่งเล่ม จะค่อย ๆ ทยอยลง มอบเป็นธรรมบรรณาการแด่ท่านทั้งหลาย สาธุ เจริญธรรม
http://www.luangporruesi.com/330.html