ขอขยายความถึงจิตที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิด ที่เรียกว่า ชวนจิต(ชะวะนะจิต) อีกสักเล็กน้อย จิตชนิดนี้จะมีความแตกต่างไปจากจิตเดิม คือชวนจิตของผู้ที่ยังปล่อยวางความถือมั่นในจิตไม่ได้ จะทำหน้าที่นึกคิดและเสวยอารมณ์ คือหลงยินดียินร้ายไปด้วย หรือเป็นกุศล อกุศล ไปด้วย แต่ชวนจิตของผู้ที่ปล่อยวางความถือมั่นในจิตได้แล้ว จะนึกคิด แต่ไม่เสวยอารมณ์ จะมีลักษณะสักว่าคิด นึก ปรุงแต่ง เพื่ออยู่กับดลก และอนุโลมตามดลก เป็นกิริยาไปอย่างนั้นเอง
จิตเหล่านี้ บางดวงมีโสมนัสเวทนา บางดวงมีอุเบกขาเวทนา บางดวงประกอบด้วยปัญญา บางดวงไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่ทั้งหมดมีลักษณะเป็นหนึ่ง เป็นปกติ สงบ สันติ แจ่มจ้า อิสระ ไมมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ในภายในแม้แน้อย ไม่มีจุด ไม่มีดวง ไร้รูปลักษณ์และขนาด กว้างขวาง ไม่มีขอบเขตเครื่องสกัดกั้น ไม่มีสิ่งห่อหุ้ม เหมือนกับอยู่เหนือขันธ์ ไม่ปนเปื้อนด้วยขันธ์ ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีอะไรเลย นอกจากธรรมชาติรู้ อันบริสุทธิ์ล้วน ๆ และไม่ถูกหยิบฉวยหรือกำหนดหมายไว้แต่อย่างใด จิตนี้มีอยู่ก็เหมือนไม่มี และไม่มีกิจที่จะต้องดูแลรักษาอีกต่อไป
ชวนจิตนี้ เมื่อไม่มีกิจจะต้องรู้ขันธ์ หรืออยู่กับดลกอันเป็นสมมติ ก็จะไปรู้ธรรมอันเป็นอมตธาตุหรืออมตะธรรม จัดว่าเป็นจิตที่แปลก และอัศจรรย์ เหมือนกับไม่ใช่จิต ไม่น่าจะเรียกว่าจิต แต่ก็ต้องเรียกว่าจิต เพราะมีสภาวะรู้
ครูบาอาจารย์วัดป่า ท่านมักจะสมมติเรียกจิตชนิดนี้ว่า
ใจ ฐีติจิต จิตดิม จิตหนึ่ง เป็นต้น เพราะเป็นเครื่องรู้ธรรมอันเป็นธัมมารมณ์ชนิดที่ท่านสมมติกันเรียกว่า ธรรม ฐีติธรรม มหาสุญญตา เป็นต้น ใจนี้เงียบสนิท และบริสุทธิ์ผุดผ่องจริง ๆ ไม่มีอยู่ในนั้นสักจุด สักแต้มเดียว กว้างขวาง ไร้ขอบเขต และไม่มีการทำงานแม้แต่การหมายรู้ใจ หรือหมายรู้ธรรม ใจนี้แหละรู้ธรรม ใจนี้แหละทรงไว้ซึ่งธรรม แต่แท้ที่จริงแล้วธรรมนั่นแหละทรงธรรมไว้ คือทรงสภาพไว้ได้เองโดยไม่อิงอาศัยสิ่งใด
และเมื่อมีกิจ เช่นมีความจำเป็นต้องสัมผัสหรือสัมพันธ์กับโลก จิตก็ทำหน้าที่รู้อารมณ์ รูปนาม และบัญญัติอย่างเป็นกิริยาไปอย่างนั้นเอง เป็นการอนุโลมตามดลก และเมื่อหมดกิจการงานแล้ว ใจก็รู้ธรรมไป และมีความสุขมหาศาลอยู่กับธรรมนั้น
รูปนามก็ไม่เห็น หรือเห็นก็ไม่เข้าใจ เพราะจิตใจถูกสมมติบัญญัติปิดกั้นไว้ทั้งหมด
ผู้ปฏิบัติ พระเสขบุคคลคือพระโสดาบัน พระสกิทาคามี และพระอนาคามี จะรู้สึกได้ถึงธรรมนี้เป็นครั้งคราว เพียงแต่ไม่เข้าใจแจ่มแจ้งถึงธรรมนี้ และไม่ทราบว่าจะใช้ประโยชน์ใด ๆ ได้
เพราะจิตยังไม่เลิกแสวงหาความหลุดพ้น สภาวธรรมนี้จึงถูกมองข้ามไปอย่างรวดเร็ว ส่วนปุถุชนที่อยากจะทราบร่องรอยของความรู้สึกของสภาวะนี้ก็มีสภาวะอยู่อย่างหนึ่งที่ใกล้เคียงกับสภาวะนี้
คือความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่ออ่านหนังสือเซน เช่นหนังสือของท่านเว่ยหล่าง และท่านฮวงโป เป็นต้น เป็นความรู้สึกที่เห็นโลกว่างจากความเป็นตัวตนเพราะหยุดความคิดนึกดิ้นรนทางใจ แต่แม้จะพอรู้สึกได้บ้าง ก็ไม่สามารถกำหนด แตะต้อง หรือทำความเข้าใจได้ เพราะมันเป็นสภาวะแห่งการหยุดและรู้ หากพยายามทำความเข้าใจ สภาวะนี้จะดับไปทันที ผู้ที่สัมผัสสภาวะนี้จึงไม่ทราบประโยชน์ใด ๆ ของความรู้สึกนี้เลย นอกจากทราบว่ามีความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้นเท่านั้นผู้ปล่อยวางความถือมั่นในจิตได้แล้ว ย่อมเห็นธรรมที่เคยเห็นก่อนหน้านี้มาแล้ว ปรากฎแจ่มจ้า บริสุทธิ์ บริบูรณ์ อยู่ต่อหน้าต่อตา และเข้าใจถ่องแท้ถึงที่สุดแห่งทุกข์และการเดินทาง โดยเมื่อเห็นรูปนามเป็นสิ่งราบเรียบเสมอกัน และปล่อยวางจิต คือไม่มั่นหมาย และไม่หยิบฉวยจิตขึ้นมาอีกแล้ว ก็จะเห็นแจ้งสภาวธรรมอีกอยางหนึ่ง
*สภาวะนี้ไม่เกิดไม่ดับ ไม่เหมือนสภาวะของธรรมชาติคือรูปนามที่มีความเกิดดับ
*สภาวะนี้ทนอยู่ได้ ไม่มีความเสื่อม ไม่เก่าคร่ำคร่า ไม่ดับสลาย เพราะไม่มีสิ่งกระทบกระเทือนเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ช่องว่าง วิญญาณ และไม่มีอะไรปรุงแต่งได้ อยู่ได้เองโดยไม่ต้องอิงอาศัยจิต กรรม อุตุ หรืออาหาร
*สภาวะนี้ว่างจากความเป็นตัวตน ไม่ใช่อัตตา เพราะเป็นอนัตตา คือไม่เป็นไปในอำนาจของใคร และไม่มีใครเป็นเจ้าของครอบครองได้ แต่ผู้ที่เห็นสภาวะนี้ก็ไม่กำหนดหมายว่าสภาวะนี้เป็นอัตตาหรือนัตตา เพราะปราศจากตัณหาที่จะกำหนดหมาย สภาวะนี้ก็เป็นสภาวะนี้อยู่อย่างนี้เอง
*สภาวะนี้ครอบงำรูปนามทั้งปวงอยู่นั่นเอง แต่รูปนามทั้งปวงไม่อาจปนเปื้อนเข้าถึงสภาวะนี้ได้เลย เหมือนดอกบัวอยู่กับน้ำ แต่ไม่เปียกน้ำ
*สภาวะนี้ไม่ใช่ภพอีกชนิดหนึ่งที่เที่ยงแท้ถาวร เพราะพ้นจากรูปนามจึงไม่ใช่ภพ และภพที่เที่ยงแท้ถาวรก็ไม่เคยมีอยู่จริง
*สภาวะนี้ว่างอย่างยิ่ง เป็นมหาสุญญตา คือตัวมันเองก็ว่าง และยังว่างจากรูปนามและบัญญัติอีกด้วย จึงไม่มีสิ่งปรุงแต่งใด ๆ ที่จะปนเปื้อนเข้ามาถึงได้
*สภาวะนี้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ด้วยความสันติ ว่าง สว่าง และบริสุทธิ์อยู่เป็นนิจ
*สภาวะนี้คือสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง (สัจฉิกิริยากิจ) เมื่อแจ้งแล้วจะพบว่านี้เป็นที่สิ้นทุกข์ เพราะพ้นจากความเสียดแทงของขันธ์จริง ๆ เหมือนคำโบราณว่า ต้นมะพร้าวนาฬิเก ต้นเดียวโนเน นอกทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง นอกทะเลขี้ผึ้ง ถึงแต่ผู้พ้นกรรม
*สภาวะนี้เองคือธรรม คือที่พึ่งอันเกษม ที่แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงมีธรรมนี้เป็นสรณะ ผู้ใดเห็นธรรมนี้ก็จะรู้ทันทีว่า ไม่มีที่พึ่งอื่นใดยิ่งกว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว เพราะมีแต่ธรรมนี้เท่านั้น ที่พ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริง
จิตที่ได้ประจักษ์รู้สภาวะธรรมนี้จะรู้สึกเต็มอิ่ม และรู้ว่าที่สุดแห่งทุกข์อยู่ที่ตรงนี้เอง คืออยู่ตรงที่สิ้นตัณหา (วิราคะ) สิ้นความปรุงแต่ง (วิสังขาร) และหลุดพ้นจากอาสวะกิเลส เพราะไม่ถือมั่นในขันธ์ (วิมุตติ) กิจเพื่อการแสวงหาที่สุดแห่งทุกข์ที่ยิ่งไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว สภาวะนี้ปรากฎอยู่ต่อหน้าต่อตาแท้ ๆ ไม่เคยหายไปไหน แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็น หรือเคยเห็นก็ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ จึงต้องเที่ยวแสวงหาทางพ้นทุกข์อย่างไมมีที่สิ้นสุด ต่อเมื่อปล่อยวางความยึดถือจิตได้แล้ว จึงหมดการแสวงหา และเข้าใจถึงสภาวะนี้ได้ แต่ก็ไม่มีการหยิบฉวยสภาวะนี้ไว้ เหมือนคนที่เที่ยวแสวงหาเหมืองเพชร แม้เคยเดินผ่านแต่ไม่รู้ ต่อมาจึงรู้ว่าที่นี่คือเหมืองเพชร แต่เมื่อพบเข้าจริง ๆ กลับยืนดูอยู่เฉย ๆ อย่างมีความอิ่มเต็ม ไม่คิดจะครอบครองเหมืองเพชรไว้ เพราะไม่มีตัวเราที่ไหนจะให้ไปเป็นเจ้าของเหมืองเพชรนั้นผู้เข้าถึงธรรมนี้แล้ว จะเข้าใจเส้นทางธรรมได้ตลอดสาย และอาจอุทานด้วยความร่าเริงว่า
เมื่อจิตหลุดออกจากโลกของความคิด
จิตก็รู้รูปนามอันว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน
เมื่อจิตรู้รูปนามโดยไม่เติมแต่งสิ่งใดลงในการรู้
จิตก็เห็นเงาของธรรมอันสงบสันติที่แทรกซ้อนอยู่อย่างเร้นลับ
อันเป็นความสงบท่ามกลางความเคลื่อนไหว อันเป็นความร่มเย็นในท่ามกลางความเร่าร้อน
และเมื่อกำลังของปัญญาแก่กล้าพอ จิตจะปล่อยวางรูปนาม
แล้วเข้าถึงธรรมอันสงบสันตินั้นเองโดยอัตโนมัติ
เมื่อจะเข้าถึงธรรมอันสงบสันติ จิตก็เข้าถึงของเขาเอง
เมื่อจะทรงอยู่กับธรรมอันสงบสันติ จิตก็ทรงอยู่ของเขาเอง
ไม่ต้องพยายามหรือบังคับจิตให้เข้าถึง และทรงอยู่กับธรรมนี้
หากยังบังคับ หรือเพียงจงใจหมายรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้กระทั่งจิต
จิตจะเกิดภพคือการทำงานทางใจ และห่างไกลจากธรรมนี้ออกไปอีก
ต่อเมื่อรู้แจ้งในความจริงของรูปนาม จนปล่อยวางรูปนามได้นั่นแหละ
ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เข้าถึงธรรมนี้ได้แล้ว
เมื่อเข้าถึงธรรมอันสงบสันตินี้แล้ว หากมีกิจที่จะต้องสัมพันธ์กับโลก จิตก็รู้บัญญัติและรูปนาม
จิตอนุโลมตามโลก หรือคล้อยตามสมมติบัญญัติของโลก
เช่นโลกเขาเรียกผู้หญิงก็ผู้หญิงกับเขา และปฏิบัติต่อผู้หญิงและผู้ชายไปตามสมมติ
หรือตามมารยาทของโลก ด้วยความรู้เท่าทันว่า ผู้หญิงไม่มี ผู้ชายไม่มี มีแต่รูปกับนามในการดำรงชีวิตอยู่นั้น เมื่อหิวก็กิน เมื่อง่วงก็นอน เมื่อปวดอึก็ขับถ่าย เมื่อขบขันก็ยิ้ม
เมื่อมีเรื่องควรสลดสังเวชก็มีธรรมสังเวช ไม่เสแสร้งสงบสำรวม
แต่มีอาการทางกายและวาจาไปตามวาสนาที่เคยชิน
ทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นเพียงกิริยาอาการในความว่างเปล่า ไม่กระเทือนเข้าถึงธรรมอันสงบสันติ
เมื่อหมดกิจที่จะต้องสัมผัส/สัมพันธ์กับโลก จิตก็อยู่กับธรรมอันสงบสันติ ซึ่งเป็นอมตธาตุ
และเมื่อคราวจะตาย จิตก็ทิ้งความรับรู้รูปนาม หดตัวเข้ามารู้เฉพาะความสงบสันติ
แล้วรูปนามก็ดับไป ท่านที่กล่าวถึงนี้ก็เช่น หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ และอีกองค์หนึ่งคือหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ วัดป่าเขาน้อย จังหวัดบุรีรัมย์
โดยเฉพาะหลวงปู่สุวัจน์ ทานเล่าประสบการณ์ของท่านให้ฟังว่า “ธรรมนี้เป็นของง่าย เมื่อเข้าใจแล้วท่านถึงกับด่าตนเองว่าโง่แท้ ของเหล่านี้เห็นก็เห็นอยู่แต่ไม่เข้าใจ แต่เมื่อเข้าใจแล้ว ท่านบอกว่าจิตใจของท่านมีสุขมาก ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า บวชมาแล้วจะมีความสุขได้มากมายถึงขนาดนี้
เวลานี้ ท่านเหล่านี้มรณภาพไปแล้ว หากท่านหมดกิเลส ท่านก็คงสบายไปแล้ว ยังเหลือก็แต่พวกเรา จะต้องพากเพียรเจริญสติรู้รูปนาม เพื่อเอาตัวรอดกันต่อไป. พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช
6 กรกฎาคม 2548
เป็นไงครับ อ่านแล้วอยากไปเมืองนิพพานกันมั้ย ถ้ายังไม่เข้าใจก็อ่านกันหลาย ๆ รอบ หลายรอบยังไม่เข้าใจ ก็ต้องเริ่มหัดอ่านจิตอ่านใจตัวเองทุกวี่วัน จึงจะเข้าใจว่าท่านพูดเรื่องอะไร
ธรรมเหล่านี้ ผู้เขียนเคยได้รับฟังมาจากครูบาอาจารย์พระป่าหลายรูป เห็นว่าแปลกดี จึงจำมาเล่าสู่กันฟังในหมู่เพื่อนนักปฏิบัติจะรู้สึกตัวเรามีอยู่อย่างแน่นอน และสิ่งที่เรียกว่าตัวเราก็คือกลุ่มก้อนทั้ง
(๓.) สภาวะของจิต
(๔.) สภาวะของธรรม
บุคคลทั่วไป
จะเห็นธรรมที่เหนือกว่าธรรมชาติ คือเหนือความกิดดับไม่ได้เลย กระทั่ง
ภาพจาก:
www.bloggang.com/viewblog.php?id=geiler&group...
:)
http://www.sanyasi.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=538394&Ntype=5อนุโมทนาสาธุ ที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ