[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
23 พฤศจิกายน 2567 15:52:11 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: จงเบิกบาน และ รู้จัก อ่อนโยน กับ ชีวิต  (อ่าน 2459 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2553 14:46:36 »

[ โดย อ.มดเอ็กซ์ บอร์ดเก่า ]


จงเบิกบาน และรู้จักอ่อนโยนกับชีวิต
 
 
การได้พบเจอใครสักคนหนึ่ง บางครั้งก็มีเหตุและปัจจัยหลายๆอย่าง แม้กระทั่งเรื่องของการได้พบกับธรรมาจารย์ก็เช่นเดียวกัน เดือนตุลาคมนี้ทางสังฆะของโรงพยาบาลได้มีโอกาส จัดงานภาวนาเล็กๆ ที่ชื่อว่า ภาวนาเพื่อการตื่นรู้ 2 โดยมีหลวงพี่พิทยา มาเป็นธรรมาจารย์ อีกครั้ง นี่เป็นเรื่องที่เราทั้งหลายต่างดีใจมาก




เบื้องแรกเราต่างไม่แน่ใจนักว่า หลวงพี่จะมีเวลามากมายแค่ไหน ในการมาเยือนเมืองเล็กๆแห่งนี้ แถมที่ผ่านมาเราหลายๆคน ไม่ได้คิดหวังว่าท่านจะมีโอกาสกลับมาที่นี่อีกครั้งด้วยซ้ำ เพราะจากสถานที่เราอยู่ และสถานที่ที่ท่านอยู่ เวลา และ โอกาสต่างๆ ที่ควรจะเป็นไป ดูจะหาเหตุและปัจจัยไม่ค่อยได้เอาเลยว่า ผู้คนในเมืองเล็กๆแห่งนี้ จะได้มีโอกาสภาวนาตามแนวทางของหมู่บ้านพลัม กับศิษย์ของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์อีกครั้ง

ตอนที่ได้รับทราบว่า หลวงพี่พอจะมีเวลาช่วงสั้นๆ ในการมาเยือนเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน 3 – 4 วัน ข้าพเจ้าก็แจ้งกับแกนนำสังฆะถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าเห็นรอยยิ้ม และสีหน้าอาการแสดงความดีใจกันเป็นอันมาก หลายคนบอกว่า แค่นึกถึงใบหน้าหลวงพี่และรอยยิ้มของท่านก็รู้สึกเป็นสุขแล้ว





การที่เราได้พบหลวงพี่ครั้งนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ทำให้สังฆะเราได้พบกับโอมและแอ้ ซึ่งเป็น Staff อาสาของหมู่บ้านพลัม โดยที่ทั้งสองได้เดินทางมาเยือนแม่ฮ่องสอนด้วย นี่เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อจัดงานภาวนาเล็กๆ ในโรงพยาบาลเรา แถมเกิดความรู้สึกผูกพันธ์กันมากมายขึ้น

แม้ว่าการจัดงานภาวนาจะมีเวลาเตรียมตัวไม่มากมายนัก แต่เราต่างก็พยายามอย่างเต็มที่และมีความเบิกบานใจกันมากๆ

อีกทั้งหลวงพี่พิทยา กลายเป็นระฆังแห่งสติของสังฆะเราไปแล้ว เมื่อนึกถึงท่านเราทั้งหลายก็จะนึกถึงความเบิกบานและการกลับมาใช้ชีวิตให้ช้าลง และรู้จักที่จะกลับมามีชีวิตอยู่ด้วยความสุขในปัจจุบันขณะมากขึ้น





และก็เป็นดังเช่นในครั้งก่อน หลายๆ คนที่นี่ประทับใจในธรรมะบรรยายของหลวงพี่ แถมประทับใจใน ความอ่อนน้อมถ่อมตนของท่าน ประทับใจในความอ่อนโยนและความเบิกบานของท่าน

ในการบรรยายธรรมท่านกล่าวสอน ถึงเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตนว่า การมอบดอกบัวให้แก่กัน ( การไหว้ซึ่งกันและกัน) เป็นการฝึกให้เรามีความอ่อนน้อม และการไหว้นั้นควรเป็นการไหว้ด้วยใจที่แท้จริง ไม่ว่าใครคนนั้นจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จะเป็นพระหรือฆราวาส เราไหว้เขาด้วยความเคารพ ไหว้ในความเป็นพุทธะที่มีอยู่ภายในตัวเขาเหล่านั้น

การอยู่อย่างเกื้อกูลกัน และเคารพในสรรพสิ่งทั้งหลายยังเป็นประเด็นที่ท่านเน้้นย้ำ แม้กระทั่งความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาในชีวิต ก็คือสิ่งที่เราควรจะขอบคุณ เพราะการปรากฎขึ้นของความทุกข์ ทำให้เรารู้ถึงคุณค่าของความสุข



 
ท่านกล่าวทำนองว่า เราไม่ควรปฎิเสธความทุกข์ที่เกิดขึ้น แล้วเอาแต่ความสุขเพียงประการเดียว อันที่จริงแล้วเราควรจะเข้าใจความทุกข์ และรับรู้มันอย่างแท้จริงด้วย ไม่ใช่ไปวิ่งหนี เพราะความทุกข์ทั้งหลายนั้น สักวันหนึ่ง มันจะแปรเปลี่ยนเป็นความสุขได้ ดังเช่น ดอกบัวเมื่อเริ่มต้นมันก็เกิดในโคลนตม เราจึงควรขอบคุณการมีโคลนตมเพราะมันทำให้มีดอกบัวเกิดขึ้นมา

เมื่อข้าพเจ้าถามหลวงพี่ว่า ในทางเถรวาท มักจะสอนให้เราทั้งหลายเห็นภัยในความทุกข์ และเน้นย้ำเสมอว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป แต่ในแนวทางของเซนมหายาน แบบหมู่บ้านพลัม เน้นที่การตื่นรู้และเบิกบาน จะเป็นการทำให้เราติดสุข และฟูฟ่องไปหรือไม่ ท่านก็ตอบว่า เราไม่ได้ให้ปฎิเสธทุกข์ แต่ให้มองความทุกข์อย่างเข้าใจ และเข้าใจในด้านบวก เพราะความทุกข์ความสุขเป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นในชีวิต เราจึงต้องเข้าใจทั้งสองด้าน เมื่อเริ่มต้นเดินในแนวทางนี้ เราอาจจะดูเหมือนมีความเบิกบานและมีความสุขจนดูเลยเถิด แต่ในที่สุดเราจะเข้าใจว่า มันเป็นธรรมดา ๆ เช่นนั้นเองเหมือนกัน เพราะ ถึงที่สุดแล้ว ความสุขกับความทุกข์ ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกันเลย มันปรากฏขึ้นมา แล้วในที่สุดก็หายไปเหมือนๆกัน เพราะทุกๆ สิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงเสมอ





หลวงพี่บอกว่ามีหลายๆคนที่เข้าสู่เส้นทางการปฎิบัติสมาธิภาวนา พยายามที่จะทำตัวแตกต่างไปจากเดิม เวลากินก็ต้องบอกตัวเองว่าไม่อร่อย เพราะถ้าติดความอร่อยก็จะเหมือนยังมีกิเลสอยู่ เห็นอะไรสวยก็พยายามคิดว่าไม่สวย เพราะกลัวว่าจะเป็นการติดการยึด ท่านถามว่า จริงๆแล้วในจิตในใจเรา เห็นว่ามันไม่สวย มันไม่อร่อยจริงๆ หรือเปล่า?? คงเป็นแต่สมองเท่านั้นรึเปล่าที่คอยบอกว่ามันไม่สวย มันไม่อร่อย แต่จิตเรายังยึดยังติดอยู่ นี่เป็นการกดและข่มอารมณ์ต่างๆไว้ ต่างหาก แล้วเราก็จะมีความทุกข์ในการภาวนา เมื่อเราภาวนาแล้วเกิดความทุกข์ เราอาจจะต้องมาพิจารณาใหม่ว่า เรามาถูกทางหรือเปล่า ?

ในผู้ปฎิบัติสมาธิภาวนา เมื่อข้ามฝั่งได้ ก็ควรจะรู้จักทิ้งแพ ไม่ควรแบกหามมันไปด้วยอีก เช่น การมีศีล เป็นเบื้องต้นของการดำเนินในวิถีนี้ เราควรจะมีศีลเป็นบาทฐานให้เรายึดถือปฎิบัติ แต่เมื่อไปถึงจุดหนึ่งแล้ว เราไม่จำเป็นต้องแบกมันไปด้วย นี่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องมีศีลกันอีกต่อไป แต่ศีลมันได้อยู่ในเลือดในเนื้อของเราแล้ว ต่างหาก





โอม บอกว่า ในงานภาวนานี้เราสามารถขอให้หลวงพี่บรรยายธรรมในหัวข้อที่เราสนใจ หรือสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ข้าพเจ้าเลยเรียนท่านในวันหนึ่งว่า การทำงานในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ทั้งหลายนั้น มีความทุกข์จากการทำงานมากมายหลายอย่าง งานที่มากมายและอะไรๆ ที่เป็นอยู่ทำให้เราวิ่งไปข้างหน้ากัันไม่หยุด และมีความเครียดอยู่ภายใน จึงอยากให้หลวงพี่บรรยายธรรมเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า ทำอย่างไรเราจะมีความสุขกับการทำงานและการใช้ชีวิต และไม่เครียด หลวงพี่จึงเริ่มต้นการบรรยายธรรมในวันแรกด้วยหัวข้อ “ หยุด.. ยิ้ม .. สัมผัสความหอมของดอกกาสะลอง “ แถมท่านเก็บดอกกาสะลองที่ข้าง ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเรา มาประกอบการบรรยายธรรมด้วย





การได้พูดคุยกับหลวงพี่ในช่วงเวลาต่างๆ ในงานภาวนานี้ ข้าพเจ้าเข้าใจวิถีของท่านอย่างแจ่มชัดขึ้น การพบท่านในครั้งนี้ท่านกล่าวอย่างชัดเจนว่า เมื่อใดก็ตามที่เราได้หลุดพ้นจากกรอบอะไรๆ เราจะรู้สึกเป็นอิสระมาก และเบาสบาย และท่านก็รู้สึกเช่นนั้นอยู่ ดูเหมือนว่าท่านไม่จำเป็นต้องใช้อะไรเป็นระฆังแห่งสติอีกแล้ว เพราะสติคือสิ่งที่ดำรงอยู่กับท่านตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการยืน การเดิน การพูด กายและจิตของท่านอยู่ตรงนั้นอย่างแท้จริง เมื่อเราทั้งหลายอยู่ที่นั่นตรงนั้นต่อหน้าท่าน ท่านก็อยู่ตรงนั้นอย่างแท้จริงกับเรา และไม่เคยจากไปไหนเลย การแสดงธรรมของท่านจึงไม่ได้แสดงผ่านการพูด การสอน การฝึกในห้องภาวนา แต่ประการเดียว แต่ท่านแสดงธรรมอยู่ตลอดเวลา ผ่านการกระทำต่างๆ ของท่านให้เราได้เห็น





ความอ่อนน้อม ความอ่อนโยน ความเบิกบานอย่างแท้จริง ที่ปรากฏ ออกมาจากตัวท่านนั้น ได้กลายเป็นสิ่งที่หลวงพี่สอนออกมาโดยไม่ต้องพูด แถมจากการกระทำนั้น ได้เตือนให้เรารับรู้และมองเห็นว่า เราควรรู้จักมีความเบิกบาน รู้จักมีความอ่อนโยนต่อชีวิต ต่อร่างกาย ต่อจิตใจเรา
และความสุขของเราทั้งหลายนั้น คือความสุขที่อยู่ในปัจจุบันขณะ ไม่ใช่ที่อดีตและอนาคต เนื่องจากว่า สิ่งที่เราจับต้องได้อย่างแท้จริง คือปัจจุบันขณะเท่านั้น


ข้าพเจ้าพบเจอหลวงพี่มาตั้งแต่สองปีก่อน เมื่อครั้งที่กลุ่มสังฆะพลัมน้อย ได้เริ่มก่อเกิดขึ้น และพบท่านอีกครั้งในงานภาวนากับหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ตอนที่หลวงปู่มาเมืองไทย และอีกสองสามครั้งในงานภาวนากับสังฆะพลัมน้อย เบื้องต้นข้าพเจ้าอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับท่านนัก เพราะการสนทนากับพระเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่ และมีความลำบากใจเป็นอย่างยิ่งในการใช้ศัพท์แสงต่างๆ แต่การได้พบท่านแต่ละครั้งนั้น ทำให้เกิดความคุ้นเคยกับท่านมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งข้าพเจ้ามองเห็นเหตุและปัจจัยหลายๆอย่างของหลวงพี่ ที่มีความสำคัญในการน้อมนำใจผู้คน ให้เข้าสู่หนทางแห่งการทำสมาธิภาวนา





เพราะหลวงพี่เปิดกว้างและยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างเข้าใจ ท่านเปิดใจในการเรียนรู้อยู่เสมอกับทุกผู้คนที่ได้พบ ทุกครั้งที่พบท่าน ข้าพเจ้าเห็นถึงความลึกซึ้งในธรรมที่ท่านแสดง และมันก็ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านมีความเบิกบานและมีความเป็นอิสระจากกรอบต่างๆ แถมมีพื้นที่มากมายสำหรับทุกๆคน ทำให้ใครก็ตามที่ได้พบเจอกับท่าน รู้สึกสบายใจและรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านที่อบอุ่น
และการพบเจอหลวงพี่พิทยาในครั้งนี้ ท่านกลายเป็นระฆังแห่งสติ ทำให้เราทั้งหลายรู้จักหยุดคิดหยุดวิ่งไปในอนาคต หยุดกังวลไปกับเรื่องในอดีต แล้วกลับมาอยู่ในปัจจุบันขณะ.. ให้รู้จักเบิกบาน และรู้จักอ่อนโยนกับชีวิต ….



 
 
http://gotoknow.org/blog/sunmoola/307286



Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: เบิกบาน อ่อนโยน รู้ รู้จัก ชีวิต 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
รู้จัก “เต่า” ก่อนปล่อยไปแล้วได้บาป
กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
เงาฝัน 3 7051 กระทู้ล่าสุด 24 มิถุนายน 2555 14:16:03
โดย เงาฝัน
รู้จัก “โลก” ที่แท้จริง อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
มดเอ๊ก 0 1652 กระทู้ล่าสุด 25 กรกฎาคม 2559 14:40:49
โดย มดเอ๊ก
รู้จัก พญาศรีสัตตนาคราช ที่มาของแลนด์มาร์กแห่งใหม่ นครพนม หลวงปู่คำพันธ์เล่าไว้
ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
มดเอ๊ก 1 4338 กระทู้ล่าสุด 07 ตุลาคม 2559 23:47:52
โดย มดเอ๊ก
รู้จัก “หม่าล่า” มันคืออะไรกันแน่!?
สุขใจ จิบกาแฟ
ฉงน ฉงาย 0 1105 กระทู้ล่าสุด 13 มกราคม 2564 10:12:33
โดย ฉงน ฉงาย
รู้จัก LGBTQ ความหลากหลายทางเพศ และธงสีรุ้ง
สุขใจ จิบกาแฟ
ฉงน ฉงาย 0 858 กระทู้ล่าสุด 10 กันยายน 2564 18:59:48
โดย ฉงน ฉงาย
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.403 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 02 ตุลาคม 2567 02:12:49