ความริษยาพาโลกฉิบหาย (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)ไม่อาจมีผู้ยืนยันรับรองได้ว่า วิกฤตของบ้านเมืองเรามีจุดเริ่มต้นที่อะไร เลวร้ายหนักหนาเพียงไหน จึงแผ่ขยายได้รวดเร็วจนท่วมบ้านท่วมเมือง แทบจะทำให้หมดกำลังใจที่จะเห็นการกลับคืนมาเหมือนเดิ ม
ถ้าใช้คำว่าฉิบหายดังที่พระพุทธองค์ทรงใช้ ก็ต้องแก้ที่จุดเกิดเหตุของความฉิบหายนั้น ที่พระพุทธองค์ทรงชี้ว่า คือ ความริษยา ชาติอื่นภาษาอื่นน่าจะไม่ใช่ ที่จะมาก่อความริษยาถึงเป็นความฉิบหายให้เกิดแก่บ้าน เมืองเรา
เราต้องทำกันเอง และอย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ที่ความริษยาจะเป็นเหตุแห่งวิกฤตของบ้านเมืองเรา ขอให้คิดถึงพระพุทธภาษิตที่พระพุทธองค์ทรงเตือนไว้ชั ดเจนน่ากลัวที่สุด “ความริษยาพาโลกฉิบหาย”
ดูให้ดี คิดให้ดี ว่าเหตุแรงร้ายที่สุดในพระพุทธภาษิต กำลังพาเราไปเข้าร่วมด้วยหรือไม่ ในการทำโลกให้ฉิบหาย ทุกคนจงคิดอย่างรอบคอบและเร่งถอนตัวจากการเป็นภัยร้า ยของบ้านเมืองเราให้ได้เถิด
อย่าหูเบาเชื่อง่าย ได้ยินใครเขาพูดอะไร เกี่ยวข้องถึงความผิดความชั่วของผู้ใด แม้ไม่รู้จริงอย่าด่วนเข้าร่วมขบวนการเชื่อตามเขา เพราะจะเป็นการร่วมขบวนการสร้างความฉิบหายให้แก่ไทย
ดังพระพุทธภาษิตในสมเด็จพระบรมศาสดา ที่ไม่ทรงรู้ผิดในเรื่องใดทั้งสิ้น พึงระลึกไว้ว่า สมเด็จพระบรมครูทรงแสดงเหตุที่แท้จริงของความฉิบหายว ่า คือความริษยา
ความริษยาที่เป็นความไม่อยากให้คนอื่นได้ดี มีนิสัยที่เห็นคนอื่นได้ดีแล้วทนอยู่ไม่ได้ ทนอยู่ไม่ได้ก็คือ ต้องคิด ต้องพูด ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพื่อให้ผลร้ายนานาประการเกิดแก่ผู้ที่ได้ดีจนน่าอิจ ฉา ตามความคิดความเห็นของคนริษยา
คนริษยาตามลำพังผู้เดียวจะไม่อาจสร้างความฉิบหายได้ม ากมาย จนถึงกับทรงมีพระพุทธภาษิตเตือนสติไว้ แต่เพราะคนริษยาคนเดียวมักจะสามารถทำให้เกิดขบวนการเ ชื่อตามได้มากมาย นั่นก็หมายถึงว่าขบวนการริษยาจะทำให้เกิดขบวนการฉิบห ายได้ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ได้แน่ นี้เป็นเหตุที่ทำให้อยากจะคิดว่า ความเดือดร้อนหรือที่เรียกว่า ความฉิบหายของบ้านเมืองเราเริ่มด้วยความริษยาจะมิได้ หรือ
เพื่อนอบน้อมถวายเป็นพระพุทธบูชา หยุดเสียงแห่งความริษยาให้หมดสิ้น ทุกคนพร้อมใจกันหยุดการกระทำทั้งทางกายวาจาใจที่เกิด จากความริษยาให้หมดสิ้น หันมาพร้อมใจกันแสดงความมีเมตตาอย่างจริงใจต่อกันและ กัน ทั้งทางกายวาจาใจ ตั้งแต่บัดนี้เถิด
เพื่อความฉิบหาย อันเป็นผลของความริษยา จะได้สิ้นสุดลง พาความวิกฤตที่น่ากลัวนักของบ้านเมืองเราให้จบสิ้นไป ด้วย
ความร่มเย็นเป็นสุขสมเป็นเมืองของพระพุทธองค์จะได้กล ับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ให้เป็นที่อัศจรรย์ของโลก ทั่วทั้งโลกร้อนก็จริงอยู่ แต่เมืองพระพุทธองค์ของเราไม่ร้อนเหมือนเขาก็ได้
แม้เราจะไม่พากันปฏิเสธพระพุทธเมตตา ไม่ปฏิเสธความรักอันสูงส่งบริสุทธิ์ ที่ทรงพระมหากรุณาโปรดประทานให้แล้วเมื่อ ๒๕๙๕ ปีก่อน ในวันมหาบูชาสำคัญ คือวันมาฆบูชา วันแห่งความรักที่สูงส่งบริสุทธิ์ในพระพุทธองค์
: แสงส่องใจ มาฆบูชา ๓ มีนาคม ๒๕๕๐
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก