[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 พฤศจิกายน 2567 03:03:14 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  [1] 2   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ชาติสุดท้าย เพชรน้ำหนึ่งในวงการกรรมฐาน โดย หลวงตามหาบัว  (อ่าน 26287 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 17:46:39 »

[ คัดลอกจากที่ อ.มดเอ็กซ์ โพสท์ไว้ในบอร์ดเก่าครับ ]







พระสมบูรณ์แบบ

พระเราที่จะเป็นพระสมบูรณ์แบบขึ้นอยู่กับพระวินัยเป็นหลักประกันพระในขั้นแห่งความเป็นพระทั่ว ๆ ไป ตามหลักนิยมของพุทธศาสนา
การประพฤติทางกาย ทางวาจา มีใจเป็นธรรมนำมารับผิดชอบในการเคลื่อนไหวของร่างกาย วาจา อยู่ด้วยความระมัดระวังเสมอ
นี่คือพระที่ชอบธรรมตามหลักของศาสดาที่สอนไว้ นี่เป็นขั้นหนึ่งแห่งความสมบูรณ์ของพระ เจ้าของก็มีความอบอุ่น คนอื่นมองเห็นก็น่าเคารพเลื่อมใส

ขั้นที่สองก็คือธรรม เจริญธรรมขึ้นภายในใจ มีสมถธรรมหรือสมาธิธรรมเป็นขั้น ๆ ด้วยความพากเพียร และปัญญาธรรมถึงวิมุตติหลุดพ้นเรียกว่า
วิมุตติธรรม ทรงไว้ซึ่งธรรมซึ่งวินัยโดยสมบูรณ์ในหลักธรรมชาติของพระ นี้เป็นพระสมบูรณ์แบบ เป็นพระที่ควรอย่างยิ่งต่อความเป็นสรณะองโลกได้
ดังพระในครั้งพุทธกาลที่ท่านได้เป็นสรณะของโลกเรื่อยมา

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ก็คือ พระพุทธเจ้าเป็นผู้บรรลุวิสุทธิธรรม อันล้ำเลิศ ด้วยการประพฤติปฏิบัติชอบยิ่งของพระองค์เอง

ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ พระธรรมอันประเสริฐเลิศเลอยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในโลกได้ปรากฎขึ้นในพระทัย เพราะการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยิ่งของพระองค์

สงฺฆ สรณํ คจฺฉามิ พระสงฆ์ได้เกิดความเชื่อ ความเลื่อมใสในหลักธรรมที่พระองค์ทรงสอน แล้วนำไปประพฤติปฏิบัติด้วยความเอาจริงเอาจัง
เนื่องมาจากความเชื่ออย่างถึงใจ การทำทุกสิ่งทุกอย่างย่อมถึงใจ เมื่อถึงใจแล้วก็ถึงทั้งสิ่งที่ชั่วมีอยู่ภายในจิตใจของตนมาดั้งเดิม ทั้งสิ่งที่ดี
ซึ่งควรจะเกิดขึ้นได้เพราะความถึงใจในความเชื่อเหตุผลดีชั่วนั้น แล้วประพฤติปฏิบัติด้วยความถึงใจ สุดท้ายก็ปรากฎเป็น สงฺฆ สรณํ คจฺฉามิ
ขึ้นมาอย่างเต็มดวง นี่คือหลักแห่งความสมบูรณ์ของผู้ปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าจริง ๆ



Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 สิงหาคม 2553 14:45:16 โดย Mckaforce » บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 17:47:25 »

เพราะฉะนั้นศาสนธรรมจึงไม่ใช่เป็นเครื่องประกาศอยู่ธรรมดา โดยหาตัวจริงไม่ได้ ธรรมที่ประกาศออกมา แต่ละแง่แต่ละกระทงของศาสนธรรมนั้น
ออกมาจากความจริง และพร้อมที่จะแสดงความจริงให้แก่ผู้ปฏิบัติตามขั้นตามภูมิของตน อยู่ทุกระยะกาล จึงเรียกว่า อกาลิโก ธรรมไม่มีกาลไม่มีเวลา
ให้ผลได้ทุกเมื่อจากการกระทำของผู้ไม่เลือกกาล เครื่องหล่อหลอมพระเราให้สมบูรณ์แบบ หรือให้มนุษย์สมบูรณ์แบบ ก็ไม่มีสิ่งใดนอกเหนือไปจากธรรม
สิ่งใดงามก็ตาม ไม่ซาบซึ้ง ไม่ถึงใจ ไม่แน่ใจ ไม่ตายใจ ไม่อบอุ่นใจยิ่งกว่าธรรม ธรรมจึงเลิศ ธรรมจึงประเสริฐกว่าความดีอื่นใดทั้งสิ้น


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 17:48:46 »

ผู้บรรลุธรรมอัศจรรย์
น้ำตาร่วงเหมือนกันหมด

หลวงปู่มั่น ก็หนัก พรรษา ๒๒ เป็นพรรษาที่ท่านเริ่มเปิดโลก แต่ยังไม่ได้เปิดเต็มที่ อยู่ถ้ำสาริกา พรรษา ๒๒ ท่านเล่าให้ฟัง เปิดจริง ๆ ไปเปิดที่เชียงใหม่ ๒๒ พรรษา
ไปเปิดปฐมฤกษ์อยู่ที่ถ้ำสาริกา เรียกว่าเปิดปฐมฤกษ์ พอจากนั้นไปก็ไปเปิดวาระสุดท้ายที่เชียงใหม่ เราก็ลืมเสียว่าเป็นต้นไม้อะไร

ท่านอยู่ต้นไม้ต้นเดียว ต้นไม้ต้นนั้นร่มหนาทึบเลย กลางวันท่านมาเดิรจงกรมได้สบาย ๆ เพราะปกติเป็นป่าอยู่แล้ว ไม่มีผู้มีคน อยู่ในภูเขา เหมือนอยู่หินดานลักษณะนั้นแหละ
โล่งอากาศดี ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม กลางวันท่านเดินของท่านเพราะไม่มีผู้มีคนไปกวน เดินเวลาไหนจะเป็นไรไป ร่มก็มีตลอดทั้งวัน

ตอนกลางคืนท่านนั่งภาวนาอยู่ที่นั่น โลกธาตุหวั่นไหว ฟ้าดินถล่มเป็นเหมือนกัน องค์ไหนก็พูดแบบเดียวกัน พอตรัสรู้ พูดตรัสรู้จะตรงกับศัพท์ที่ว่าสุดยอดของธรรม
บรรลุนี้เป็นศัพท์ของพระสาวก ตรัสรู้เป็นศัพท์เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า จึงเรียกว่าตรัสรู้ สาวกเรียกว่าบรรลุ ความจริงก็ตรัสรู้ถึงแดนวิเศษเหมือนกันนั่นแหละ

ฟังครูบาอาจารย์ที่เล่าให้ฟังถึงแดนสุดยอด นั่งน้ำตาร่วงเหมือนกันหมด คืนนั้นไม่นอนเลย นั่งน้ำตาร่วงแล้วกราบ ๆ อยู่อย่างนั้น คือกราบความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า
ความอัศจรรย์ของธรรม ที่ได้ครองธรรมเพราะพระพุทธเจ้ากระเทือนกันเลย พระพุทธเจ้ากับท่านก็เป็นอันเดียวกันแล้ว พอตรัสรู้ปึ๋ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอันเดียวกันแล้ว
เป็นอันเดียวกัน ๆ

พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นกิริยาเท่านั้น เหมือนกับเป็นกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ ต้นใหญ่จริง ๆ มีต้นเดียว ธรรมะ คำว่าธรรมอันเดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้าพระสงฆ์สาวก
พอตรัสรู้ธรรมปึ๋งเข้าไปตรงนั้นแล้ว เป็นอันเดียวกันหมดเลย เพราะฉะนั้นคำว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานจึงเป็นแต่เพียงกิริยาเท่านั้น ธรรมชาตินั้นเป็นพื้นเพอยู่แล้ว
เมื่อถึงขั้นธรรมกับจิตเป็น อันเดียวกันแล้วเป็นอย่างนั้น นี่ไม่ว่าองค์ไหนนั่งแล้วกราบแล้วไหว้ อยู่อย่างนั้น อย่างประวัติหลวงปู่มั่นนั่นแหละ เราก็เขียนจากคำบอกเล่าของท่านเอง
นั่งแล้วกราบไหว้ คนเขาเห็นเขาก็จะว่าเป็นบ้าเป็นบอไป

เพราะความอัศจรรย์นั่นแหละ ทำให้เป็นอัศจรรย์แล้วก็สงสารโลกประมาณ เราผ่านมาแล้ว ทีนี้เราหลุดพ้น แล้วจากที่คุมขังจากที่ทรมานในกองทุกข์ สามแดนโลกธาตุนี้
เป็นแต่กองทุกข์แดนทรมานสัตว์ทั้งนั้น ผุดออกมาแล้วพ้นแล้วมองไปทางนี้ก็สงสารทางนี้ มองไปทางนี้ก็อัศจรรย์ทางนี้ มองทางนี้อัศจรรย์พระพุทธเจ้า ๓ อย่างน้ำตาร่วง
องค์ไหนก็เหมือนกันบรรดาที่ได้เล่าสู่กันฟัง ผู้ที่ถึงแดนแห่งความหลุดพ้นอย่างสุดขีดแล้ว เป็นเหมือนกันหมด น้ำตาร่วงเหมือนกัน



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 17:50:20 »

อัฐิเป็นพระธาตุคือพระอรหันต์องค์หนึ่ง

คำว่าเป็นพระธาตุแล้วนั้น คือ พระอรหันต์องค์หนึ่งนั้นเอง ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือพระธาตุนี่เป็นเครื่องหมายของวัตถุ ด้านวัตถุได้แก่ร่างกายซึ่งเป็นส่วนหยาบ
คือจิตที่บรรลุถึงวิสุทธิธรรมแล้ว จิตนี้จะบริสุทธิ์

นี่พูดตามหลักธรรมชาตินะ จิตที่บริสุทธิ์แล้วครองธาตุขันธ์อยู่นี่ ความบริสุทธิ์ของจิตนั้นละจะซักฟอกออกมาธาตุขันธ์เลยกลายเป็นธาตุขันธ์ที่ละเอียดลอออ
จึงกลายเป็นพระธาตุได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นวัตถุธาตุเหมือนกันกับร่างกายของเรา แต่ร่างกายของพระอรหันต์ที่ครองด้วยจิตที่บริสุทธิ์ จิตที่บริสุทธิ์นั้นแหละซักฟอกออกมา
แล้วก็กลายเป็นพระธาตุได้ ๆ

นี่เป็นอย่างนั้น เรื่องราวมีอย่างนั้น ใครจะมากยิ่งกว่า หลวงปู่มั่น ที่อุตส่าห์พยายามแนะนำสั่งสอนลูศิษย์ลูกหามาถึงขั้นบำเพ็ญธรรมนี้ถึงขั้นสลบไสลเหมือนกัน
แล้วต่อจากนั้นมาก็หมดไป ๆ แล้ว เดี๋ยวนี้จะไม่มีครูบาอาจารย์แล้วนะ ที่เป็นเพชรน้ำหนึ่ง ๆ รู้สึกมีน้อยมาก ๆ โดยลำดับ หากมีอยู่ เรื่องมีน่ะมี แต่รู้สึกว่ามีน้อยมาก
ค่อย ๆ มี ไปตาม ๆ กันละ

ท่านผู้ที่ทรงธรรมประเภทนี้จะไม่เหมือนโลกนะ มีเหมือนไม่มี เพราะธรรมในใจของท่านไม่ได้เหมือนกิเลสมีอยู่ในใจมีเหมือนไม่มี คือไม่ผลักไม่ดัน อยากพูดอย่างนั้นอย่างนี้
ท่านไม่มี มีแต่ความพอดีตลอด ถึงกาลเวลาที่จะพูดออกไปเพื่อเป็นประโยชน์แก่โลกหนักเบามากน้อย ท่านก็ออกไปตามสัดตามส่วนที่เห็นว่าสมควร ถ้าไม่ควรแล้วก็เหมือนไม่มี
ธรรมเป็นอย่างนั้นนะ


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 17:50:54 »

หลักเกณฑ์การก่อเจดีย์

การก่อเจดีย์นั้นตามตำราท่านแสดงไว้ ผู้ที่ควรแก่การก่อจดีย์ไว้กราบไหว้บูชานั้นมี ๔ ประเภท ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเอาไว้ ประเภทที่หนึ่ง คือ พระพุทธเจ้า
ประเภทที่สอง คือ พระปัจเจกพุทธเจ้า ที่สาม คือ พระอรหันต์ ที่สี่ คือ พระเจ้าจักรพรรดิ ทั้งสี่ประเภทนี้ควรแก่การกราบไหว้บูชาของพุทธบริษัททั้งหลายทั่ว ๆ ไป
นอกจากนั้นท่านไม่ได้กล่าวถึง


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 17:51:46 »

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์

หลวงปู่มั่นเคารพท่านมากนะ เคารพท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ พูดคำไหน ๆ แย็บออกรู้ทันที ท่านพูดด้วยความเคารพเลื่อมใสด้วยความเทิดทูนจริง ๆ คือท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
ท่านหนักทั้งปฏิบัติด้วย ทั้งปริยัติด้วย ท่านเป็นแบบฉบับได้ เฉพาะอย่างยิ่งทางด้านปริยัตินำกรรมฐาน คือ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์

 
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 17:54:57 »

หลวงปู่เสาร์ ปรารถนาปัจเจกภูมิ

หลวงปู่มั่น ปรารถนาพุทธภูมิ


 
 
พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตาม ได้ทรงทำนายใครแล้วนั้น เรียกว่าลบไม่สูญเลย เช่น คนนี้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้ากำลังเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาพุทธภูมิจะเป็นพระพุทธเจ้าข้างหน้า
พระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณดูแล้วยืนยันแล้ว ว่านี้ในกัปนั้นกัลป์นั้น เธอจะได้เป็นพระพุทธเจ้าชื่อว่าอย่างนั้น แล้วสาวกข้างซ้ายชื่อว่าอย่างนั้น ข้างขวาชื่อว่าอย่างนั้น นี้ยังไงก็ลบไม่สูญเลย
แน่แล้วนั่น จะต้องถึงจุดนั้นเลย
 
ถ้ายังไม่ได้ทรงทำนายแล้วพลิกได้นะ คือจะไปนี้ยังไม่ถึงไหรเลย ปลีกออกเสียจากพุทธภูมิไปเป็นสาวกภูมิก็ได้ อันนี้ก็ยกตัวอย่างเช่นหลวงปู่มั่นเรา ท่านเคยเล่าให้ฟัง
 
ทีแรกท่านปรารถนาเป็นพุทธภูมิ ท่านว่างั้นนะ เพราะฉะนั้นลวดลายของท่านจึงมี ความรู้ความฉลาดนี้เป็นลวดลายของพุทธภูมิยังติดอยู่ในนั้นนะ ทีนี้เวลาท่านพิจารณา
พอจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร เรื่องพุทธภูมิผ่านเข้ามาแล้ว ท่านว่างั้นนะ จิตพอจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร มันจะพุ่งทีไร พุทธภูมิจะผ่านเข้ามา ๆ ก็ทำให้อาลัยเสียดายพุทธภูมิถอยเสีย
ท่านว่างั้นนะ พอกำหนดเข้าไปที่จะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร เรื่องพุทธภูมิจะสวนกันเข้ามาเลย เสียดายพุทธภูมิ ก็ถอยเสีย
 
ทีนี้หลายครั้งต่หลายครั้ง เอ๊ ว่าเป็นพุทธภูมิ ก็ไม่ได้ประมาทพระพุทธเจ้า ความสิ้นกิเลสสิ้นด้วยกัน เป็นแต่เพียงทำประโยชน์ให้โลกได้มากน้อยต่างกันกับสาวกเท่านั้นเอง
เราได้แค่นี้เราก็เอาละ เราไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม ขอให้จิตบริสุทธิ์อย่างเดียวแค่นี้ก็เอาละ พออย่างนั้นท่านก็ขอหยุด อธิฐานเป็นพุทธภูมินะ จากนั้นจิตก็พุ่งเลยท่านว่า
อย่างนั้นแล้วอารมรณ์อันนี้ไม่ครอบ นี้คือยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์ พระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งยังไม่พยากรณ์ ถ้าลงได้พยากรณ์แล้วยังไงก็ลบไม่สูญหาย พุ่งถึงนั้นเลย
ถึงจุดนั้นเลย เรียกว่าลบไม่สูญ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน ถ้ายังไม่ได้ทำนายนี้มันเอียงได้ เอียงนั้นเอียงนี้ไปได้

อย่างหลวงปู่มั่นท่านเล่าให้ฟัง เพราะฉะนั้นนิสัยพุทธภูมิของท่านจึงมีอยู่ ลวดลายของพุทธภูมิยังมี ความรู้ภายนอกภายในอะไรนี้คล่องแคล่วทุกอย่าง เรื่องจิตรวมฟาดนี้เหาะเหินฟ้า
ใครจะเก่งยิ่งกว่าท่านอาจารย์มั่นวะ พรึบนี้ลงพื้นปฐพี พรึบไปเลย ผึงนี้ก็ขึ้นเลย อันนี้ท่านเล่าให้ฟัง จนกระทั่งท่านอาจารย์เสาร์ท่านว่า ท่านมั่นนี่มันผาดโผนเกินไป

ท่านอาจารย์เสาร์ ท่านไม่ค่อยชอบพูด ท่านปรารถนาพระปัจเจกภูมิ แต่ท่านก็พลิกอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นนิสัยท่านจึงไม่ชอบพูด นั่งที่ไหนเหมือนหัวตอไม่พูดไม่คุยกับใครเลย
ถ้าจะพูดก็ เออ พากันทำบุญนะ บาปมันเผาหัวเด้ เท่านั้นแหละไม่มาก บาปมันเผาหัวทั้งนั้นแหละ บุญเป็นความสุขเท่านั้น ท่านไม่พูดมากเป็นพระปัจเจก

ทีนี้เวลาท่านอาจารย์หลวงปู่มั่นเรานี้เล่าเรื่องภาวนาสู่ท่านฟัง เล่าภาวนาทีแรกก็ฟาดไปแต่เรื่องปีติเรื่องตัวลอย สำหรับท่านหลวงปู่เสาร์นี้พอนั่งภาวนานี้ตัวลอยขึ้น ๆ
ลอยทีแรกขึ้นไปได้เมตรหนึ่ง พอรู้สึก เอ๊ นี่เหมือนตัวลอย ลืมตาขึ้นมา จิตมันปล่อยหมด มันก็หนัก ตูมลงเลย เจ็บเอว โหย ตั้งหลายวัน ท่านว่า คือมันเป็นทีแรกท่านสงสัย
เอ๊ นี่ทำไมมันเหมือนตัวลอย น้าท่านว่างั้น เหมือนว่าตัวลอยขึ้น ๆ เลยลืมตาขึ้น ลืมตามันสูงจริง ๆ เลยตกใจ จิตเลยออก ออกก็ตูมเลยซี มันไม่มีกำลังพยุงใช่ไหมละ
 
ตั้งแต่นั้นมาท่านเลยทดลองใหม่ เอาใหม่ ทีนี้ท่านเอาเช่นอย่างท่านเอาเศษไม้หรือเอาอะไรไปเหน็บไว้ เพื่อความแน่นอนท่านว่า พอมันลอยขึ้นไป คือพยุงจิตไว้นะ
นี่ละถ้ามันเจ็บแล้วต้องเข็ดเข้าใจไหม ต้องพยุง ทีนี้พยายามดู พอขึ้นไป ๆ ไปถึงหญ้า พอถึงหญ้าแล้ว ท่านก็เอามือคลำจับเอาอันนี้ออกมาแล้วท่านค่อยลืมตา
จิตท่านก็ยับยั้งเอาไว้นะไม่ปล่อย ถ้าปล่อยก็ตูมเลย ค่อยพยุง ๆ แล้วค่อยลง ๆ กึ๊กถึงพื้น นี่พลังของจิตพยุงไว้ ถ้าปล่อยอย่างที่ท่านตกใจนั่นนะ พอขึ้น โอ๊ย มันตก
พอว่างั้น จิตมันก็ออกทั้งตัวมันก็ตูมเลย จากนั้นมาท่านก็พยุง
 
นี่ท่านพูดถึงเรื่องจิตของท่าน จิตของท่านเป็นอย่างนี้นะ จิตของผมมันไม่เป็นอย่างนั้น ว่างั้นนะที่นี่ มันเป็นยังไงท่านว่า โอ๊ย เวลามันลงนี้ฟาดนี้ทะลุแผ่นดินนี้ไม่มีเหลือ
พุ่งลงเลย พื้นพิภพพิเภ็พที่ไหนก็ไม่ทราบ เวลามันขึ้นก็พุ่งเลย โอ๊ย มันพิลึกท่าน ท่านไม่พูดมากละ พิลึกท่าน ท่านพูดอย่างนั้นนะ จิตของผมยังไม่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แหละ
จิตของท่านมันพิลึกท่านว่า นี่คือความผาดโผนของจิตหลวงปู่มั่นเรานี้ไปแบบหนึ่ง ส่วนหลวงปู่เสาร์นี้ก็ไปอย่างนั้นแหละ ไปเรื่อย ๆ นี่ก็อัฐิเป็นพระธาตุเหมือนกันนะ

หลวงปู่เสาร์ อัฐิก็เป็นพระธาตุ หลวงปู่มั่น ก็เรียกว่าเป็นมาแล้ว นั่นก็เป็นตั้งแต่นู้นแหละ ตั้งแต่มรณภาพแล้วทีแรกหลวงปู่เสาร์ก็เป็นเหมือนกัน ท่านเป็นคู่กันนะ ไปที่ไหนไปด้วยกัน
ท่านติดกันมาแต่นู่นแหละ นี่ละสององค์นี้เบิกกรรมฐานเรานะ จากนั้นก็หลวงปู่มั่นเป็นผู้เบิกจริง ๆ เบิกกรรมฐาน จึงได้มีร่องรอยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ มาจากหลวงปู่มั่นเรา


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 17:56:51 »

หลักใหญ่ คือ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น

 
 
ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนี้ โถ มีแต่องค์สำคัญ ๆ นะที่พวกเราทั้งหลายได้เห็นเป็นขวัญตาขวัญใจกราบไหว้บูชาอยู่ทุกวันอย่างกว้างขวางก็คือ
ออกจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นทั้งนั้นเลย องค์ไหนปรากฎชื่อลือนามไม่ค่อยผิดพลาด ถ้าออกจากหลวงปู่มั่นจริง ๆ นะไม่ค่อยผอดพลาด
ทางด้านปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติภายนอกภายในดี เพราะท่านเอาไปจากหลักใหญ่ คือ พ่อแม่ครูจารย์มั่น ทุกสิ่งทุกอย่างหาที่ต้องติมิได้

เราพูดจริง ๆ เรามอบถวายหมด ไม่มีอะไรเหลือ แม้เม็ดหินเม็ดทรายในหัวใจของเราที่จะไม่ลงท่านนะเราลงถึงสุดขีดเลย เพราะไปอยู่
กับท่านถึง ๘ ปี ตั้งแต่วันไปอยู่ทีแรกจนกระทั่งท่านมรณภาพ หาที่ต้องติไม่ได้เลย ไม่ว่าธรรม ไม่ว่าวินัย เพราะเราก็เรียนไปเหมือนกัน
ท่านปฏิบัติไปในแง่ใดภูมิใด ผิดถูกประการใด มันก็รู้ตามหลักธรรมหลักวินัย ท่านเก็บหอมรอมริบ ไม่มีที่เรี่ยราด
สาดกระจายไปไหนเลย คือหลวงปู่มั่นเราหลักธรรมหลักวินัยตรงเป๋ง ๆ เลย

นี่ละทีนี้ลูกศิษย์ลูกหาเข้ามาอบรมกับท่าน ก็หลักใหญ่ดีอย่างนี้แล้วส่วนเล็กส่วนย่อยไป ก็ต้องเอาจากหลักใหญ่ออกไป ๆ
เวลาไปเป็นครูเป็นอาจารย์สอนใครที่ไหนจึงไม่ค่อยผิดพลาด เป็นที่แน่ใจ
ยกตัวอย่างเด่น ๆ
ก็อย่าง หลวงปู่แหวน ฟังซิ หลวงปู่ขาว หลวงปู่คำดี หลวงปู่พรหม เหล่านี้มีแต่เพชรน้ำหนึ่งทั้งนั้นนะ อัฐิเป็นพระธาตุ ๆ แล้วทั้งนั้นเลย
ท่านอาจารย์กงมา องค์หนึ่งที่ปรากฎเด่นชัด หลวงปู่ตื้อ องค์หนึ่ง หลวงปู่ตื้อนี้พระธาตุท่านสวยงามมากจริง ๆ หลวงปู่ตื้อนี้
ก็บ้านข่า บ้านข่าใกล้กับบ้านสามผง นี่ก็ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเรา ไปอยู่ที่เชียงใหม่ นี้ล้วนแล้วตั้งแต่เพชรน้ำหนึ่งนะที่บอกมานี้
ไปอยู่ที่ไหน ๆ ก็เป็นหลักเกณฑ์ได้ทั้งนั้น ๆ

เพราะฉะนั้นหลักใหญ่จึงสำคัญมากทีเดียว หลักใหญ่เช่นอย่างหัวหน้า คืออาจารย์ เป็นพระประเภทใด ลูกศิษย์ลูกหา
ออกจากนี้ก็จะมีลวดลายอันดีงามต่อไป ถ้าเหลว ๆ ไหล ๆ ไปไหนก็เหลวไหลไปตาม ๆ กันหมด ถ้าว่าดีก็ขลังทางนั้น
ขลังทางนี้ไปเสีย แบบกิเลสตัณหา แบบส้วมแบบถานไปเสียไม่ได้แบบทองคำทั้งแท่ง ๆ เหมือนครูอาจารย์ที่มีหลักเกณฑ์
สอนไว้นะ อย่างหลวงปู่มั่นนี้ทองคำทั้งแท่งละนี่ สอนตรงเป๋ง ๆ เลย

 
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 18:00:42 »

หลวงปู่มั่น ทำประโยชน์ต่อโลก

 
อำนาจของหลวงปู่มั่นของเล่นเมื่อไร ท่านทำประโยชน์ให้โลกอย่างเงียบ ๆ ตลอดมา สมท่านเป็นผู้สงบงบเงียบทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่มีเรื่องมีราวกับใคร หลวงปู่มั่นไม่มีถูกขับถูกไล่ไปไหนก็ถูก แต่ท่านไม่มีกับใคร ท่านก็ไปของท่านสบาย ๆ อย่างนี้

นี่เราทราบเรื่องราวมานะ ไดพิจารณาด้านหลังของท่านที่ผ่านมา โอ๋ย ท่านสมบุกสมบัน ถูกขับไล่ไสส่ง ไปที่ไหนเขาเรียก
เป็นพระจรจัด ตลอดเสือเย็น นี้พวกป่าว่าให้ท่าน พวกบ้านว่าอีกแบบหนึ่งไล่หนีพระ แม้ที่สุดพวกคณะเดียวกันก็ยังขนาบกัน
ว่ากัน หลงยศ นี่เราเห็นทั้งหมดเรื่องราวเป็นมา ๆ คือเราพิจารณาย้อนหลัง ฟังเรื่องราวอะไรย้อนหลัง ๆ

ท่านสมบุกสมบันมากจริง ๆ ถูกขับไล่นี้มากต่อมาก ท่านไม่เอาเรื่องกับใคร สำคัญนะ นั่นละธรรมเป็นธรรม ไม่เอาเรื่องราว
กับใคร ท่านทำประโยชน์อย่างลึกลับ พอได้ประโยชน์เป็นที่พอใจท่านแล้ว ประกาศลั่นออกมาจากหัวใจทองทั้งแท่งออกมา
บรรดาคนที่มีอุปนิสัยปัจจัยก็ต้องยอมรับ ๆ คือค่อยมีผู้เข้าไปอบรมกับท่านเรื่อย ๆ ฝ่ายพระ

นั่นละท่านผลิตพระ พูดให้เต็มยศคือประเภทเพชรน้ำหนึ่งออกมาจากสำนักพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราอยากจะว่าทั้งนั้นไม่ว่า
แต่ว่าแทบทั้งน้น คำว่าแทบที่ตรงไหนบ้างไม่เห็นมี ถ้าว่าลูกศิษย์หลวงปู่มั่น องค์ไหน ๆ อยู่ที่ไหน ๆ มันก็รู้ชัดเจน
จึงว่าทั้งนั้นไปเลย ชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ใช่โด่งดังแต่ชื่อ ตัวจริงโด่งดังมาแล้ว จึงมาออกเป็นชื่อเป็นเสียง นี่ละท่านทำประโยชน์อยู่ลึก ๆ นะ

ใครหาทราบไม่ว่า ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ประกาศธรรมสอนพี่สอนชาวไทยอยู่ทั่วประเทศในทุกภาค ว่าเป็นลูกศิษย์ของใคร
เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นทั้งนั้นนะ นั่นฟังซิ นี่ท่านทำประโยชน์อย่างลึก ๆ องค์ท่านก็นิพพานไปแล้ว ลูกศิษย์ลูกหาของท่าน
ทำประโยชน์ให้โลกมากมาย ภาคไหนมีทุกภาคนะประเทศไทยเรามีหมดทุกภาค ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก
เรียกว่าทุกภาคเลย

พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นเรานี้ ออกไปเทศนาว่าการสั่งสอนมีมากมาย เพราฉะนั้นคนจึงค่อยรู้เรื่องรู้ราวขึ้นบ้าง
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับกรรมฐาน เรียกว่าพระบ้านพระป่า ไม่มีเดี๋ยวนี้นะ ไม่ทะเลาะกัน แต่ก่อนพระบ้านกับพระป่า
พระป่าเป็นพระที่ถูกขับไล่ เดี๋ยวนี้ไม่มีเข้าใจกันก็เป็นอย่างนั้น ไม่ติใครนะ เมื่อไม่เข้าใจก็สงสัยซิคนเรา สงสัยไม่แน่ใจ
ก็ยังไม่ให้เข้าบ้าน ไม่ทราบเป็นโจรผู้ร้ายหรือเป็นมิตรเป็นสหายมาจากที่ไหน จนเป็นที่เข้าใจกันแล้วก็ยอมรับกัน ๆ
นี่ก็แบบเดียวกัน เราตำหนิบ้านก็ไม่ได้ตำหนิใครก็ไม่ได้ เรื่องราวเมื่อไม่เข้าใจก็ต้องเป็นอย่างนั้น
ท่านทำประโยชน์
ได้มากมายจริง ๆ ท่านก็นิพพานไปแล้ว ชื่อเสียงท่านเดี๋ยวนี้สะท้อนกลับมาดังทั่วประเทศไทยแล้ว ใช่ไหมล่ะ ตอนหลัง
ที่ท่านล่วงไปแล้วค่อยดังทีหัลง สมมุติที่เป็นมหามงคลแก่ชาวพุทธเรานี้ดังขึ้นทีหลัง จากหลวงปู่มั่น ส่วนท่านวิมุติไปแล้ว
วางสมมุติที่เป็นมหามงคลไว้แก่พี่น้องชาวไทยเรา

แล้วครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ล่วงไป ๆ จนแทบจะไม่มีแล้ว เวลานี้ลูกศิษย์ผู้ใหญ่ ๆ ของหลวงปู่มั่น ว่าจะไม่มีก็ไม่น่าจะผิด
ไปแล้ว แต่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหล่านี้ ก็ได้ประสิทธิ์ประสาทอรรถธรรมความรู้วิชาด้านปฏิบัติธรรมไว้ สำหรับกุลบุตร
สุดท้ายภายหลังก็ค่อยกระจายออกไป ลูกศิษย์ลูกหาจึงค่อยมีมากอยู่ ถึงครูบาอาจารย์ท่านล่วงลับไปแล้ว มรดกท่าน
ก็มอบไว้แล้วพอเป็นร่องรอยเดินตามท่านไปบ้างเวลานี้

นี่เราพูดถึงเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่ทำประโยชน์ต่อโลกเรื่องเทวบุตรเทวดาไม่ต้องพูดเลย ไม่มีใครถ้าในสมัยปัจจุบัน
ที่ทำประโยชน์ให้แก่พวกเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม มากยิ่งกว่ามนุษย์เราเป็นหลายร้อยเท่าเลย เราอย่าว่าร้อยเท่านะ
หลายร้อยเท่า เทวดาชั้นเดียวเท่านั้นมากกว่ามนุษย์เรานี้ทั่วโลก มนุษย์ทั่วโลกมีกี่พันล้าน เทวดาเพียงชั้นเดียวเท่านั้น
อยู่ในชั้นจาตุมฯ เท่านี้ก็มากกว่าแล้ว

จาตุฯ ดาวดึงส์ ดุสิต นิรมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี ๖ ชั้นนี้มีมากขนาดไหน นี่ฟังเทศน์ท่านหมด แล้วจากนั้นพรหม ๑๖ ชั้น
มากขนาดไหน นี่เรียกว่าท่านทำประโยชน์อย่างลึกลับทุกอย่าง ทำให้ประชาชนเรานี้ท่านก็ทำอย่างลึกลับ

ท่านเป็นโรงงานใหญ่สอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาให้ได้เข้าอกเข้าใจในธรรม กระจายธรรมของท่านออกไป นี่ก็เป็นงียบ ๆ
ท่านสอนอยู่ในป่า ลูกศิษย์ลูกหาออกมาทำประโยชน์แก่โลกก็จากธรรมของท่าน ทีนี้สอนเทวบุตรเทวดามากขนาดไหน
นั่นฟังซิใครจะได้ทำประโยชน์มากยิ่งกว่าหลวงปู่มั่น ท่านพึ่งจะมาร่ำลือหลังจากท่านมรณภาพไปแล้ว

สมัยปัจจุบัน หลวงปู่มั่นเป็นสักขีพยานในเรื่องมรรคผล นิพพาน เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม เป็นหลักสักขีพยาน
ได้อย่างเต็มตัวเลย ท่านเต็มภูมิจริง ๆ เรื่องเทวบุตรเทวดาเต็มภูมิหมดเลย เวลาท่านเทศน์สอนเทวดานี้เราน้ำตาร่วงนะ
ท่านเล่าให้ฟัง พวกเทพทั้งหลายมานี้มืดแปดทิศแปดด้าน พวกพญาครุฑ พญานาค มาหมดนะพวกเทวดาตั้งแต่
ท้าวมหาพรหมลงมา มาหมดเลย มาเป็นระยะ ๆ ท่านบอกว่า ท่านอยู่เชียงใหม่ท่านไม่ได้ว่างนะ ตอนกลางคืนเทศน์
อบรมพวกเทพทั้งหลาย สำหรับประชาชนไม่มีอะไรแหละ เพราะท่านไม่เกี่ยวข้องกับใครแต่ไหนแต่ไรมา ท่านชอบอยู่
องค์เดียว ๆ พระติดตามท่าน ให้อยู่กับท่านทีละองค์บ้าง สององค์บ้าง ถ้ามากกว่านั้นท่านไล่ออกไปอยู่ข้างนอกให้อยู่
กับท่านทีละองค์บ้าง สององค์บ้าง บางทีท่านอยู่องค์เดียวบ้าง อยู่อย่างนี้ นิสัยท่านไม่ชอบยุ่งแต่ไหนแต่ไรมา ท่านจึง
ไม่ค่อยได้สอนคน ท่านบอกท่านไม่ได้สอนใคร แต่พวกเทพนี้สอนแทบทุกคืน ท่านบอกท่านไม่ได้ทำประโยชน์ให้มนุษย์
แต่ทำประโยชน์ให้พวกเทพมากยิ่งกว่ามนุษย์ร้อยเท่าพันทวีท่านว่า ท่านก็ดังไปทางนั้นเสีย ดังกับพวกทวยเทพทั้งหลาย



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 18:07:56 »

เพชรน้ำหนึ่ง ฝ่ายมหานิกาย

หลวงปู่ชา สุภทโท หลวงปู่กินรี จันทิโย หลวงปู่มี ญาณมุนี

(ชาว อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา มานิมนต์รับผ้าป่าช่วยชาติ) อยู่ที่สูงเนิน รู้จักท่านอาจารย์มีไหม (รู้จักครับ)
โห ท่านเมตตาเรามากนะ ท่านอาจารย์มี (พระครูญาณโศภิต) น่ะ เรารักเคารพท่านมาก นั่นละท่านเข้าในขั้นเพชรน้ำหนึ่งนะ
เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น (หลวงปู่เสาร์ด้วยครับ) เออ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น

เราเคยไปกราบนมัสการท่าน โอ๋ย ท่านใจดี เมตตามากเลย ท่านมหาดนดั้นมายังไง คึกคักเลยเหมือนอายุยังหนุ่มเลยน่ะ
เราก็ว่าครูอาจารย์อยู่ที่ไหนก็มาที่นั่นแหละ พ่อแม่ญาติพี่น้องเราอยู่ที่ไหน เราก็ต้องไปหาพ่อแม่ญาติพี่น้องของเรา
อันนี้ครูบาอาจารย์อยู่นี้ก็ต้องมา เหอ ๆ อู๊ย คึกคัก ๆ อยู่ในถ้ำนะ เราจำไม่ได้ว่าเป็นมวกเหล็กหรือเป็นอะไร
หากเป็นแถวนั้น ท่านเคยไปพักอยู่เป็นประจำ

หลวงปู่มี เราเรียกครูจารย์ ๆ เลยแหละ เราไปพักกับท่านอยู่ที่สูงเนินก็ไป (วัดป่าสูงเนิน) นั่นแล้ว พักวัดป่าสูงเนินเราก็ไป
ท่านอยู่แถวมวกเหล็กหรืออะไรเราจำไม่ได้ แต่ว่าแถวนั้นท่านมาอยู่เป็นประจำ เราไปเราก็บุกเข้าไปหาเลย อู๊ย
ท่านดีใจเมตตามากจริง ๆ หือ ท่านมหามาได้ยังไง โอ๋ ครูบาอาจารย์อยู่ไหนมาได้ทั้งนั้นแหละ รู้สึกท่านเมตตามากจริง ๆ
เป็นพิเศษเลย คึกคัก วัยท่านแก่ ๆ โอ๋ย กิริยาท่าทางไม่แก่เลย คึกคัก ๆ ก็นาน ๆ จะเจอกันทีหนึ่ง เรากับท่านเจอกัน
มาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสืออยู่นู้นนะ ท่านก็เรียนหนังสือ คุ้นกันสนิทสนมกับท่านมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ
พอเรียนแล้วก็ออกปฏิบัติ พอหลังจากนั้นก็มาพบกับท่านเรื่อย ๆ

เพราะการที่เคยพบกันอยู่เสมอ ๆ เรานาน ๆ ทีหนึ่ง คราวนี้ที่ไปหาท่าน บุกเข้าไปในป่า ท่านถึงยิ่งเมตตาดีใจมาก
อู๊ย เราไม่ได้พบกันเลย คุยกันนานนะ นี่ละลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ องค์นี้องค์หนึ่ง ที่ท่านเล่าให้ฟัง เราจำได้
หมดนั่นแหละ องค์ไหนชื่อว่ายังไงสมัยนั้นนะ เวลานี้ท่านก็ล่วงลับไปหมด แม้แต่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเรายังล่วงลับไปแล้ว
ท่านบอกลูกศิษย์ของท่านฝ่ายมหานิกายที่ท่านบอกเอง ไม่ให้ญัตติ อาจารย์มีนี้ท่านห้ามไม่ให้ญัตติ ท่านพูดเองนี่
เมื่อท่านพูดแล้วแม่นยำร้อยเปอร์เซนต์ ๆ ท่านพูดด้วยความเมตตาสงสารมากนะ

อาจารย์ทองรัตน์ อาจารย์กินรี อาจารย์มี เท่าที่เราจำชื่อได้นะ แล้วอาจารย์ไหนบ้าง ท่านเล่าไปหมดนั่นแหละแต่เรา
จำไม่ได้ ท่านแนะนำสั่งสอนตลอดมา ท่านก็เลยกระจายออกมาว่า เมื่อไม่ให้ท่านเหล่านี้ญัตติแล้วเพื่อนฝูงก็ได้มาก
ทำประโยชน์ได้มากมายก่ายกอง ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านเห็นประโยชน์ส่วนรวม

ท่านพูดจี้ลงอย่างหนัก ๆ ประสาชื่อ ตั้งแต่ไก่มันก็มีมาหาพูดอะไรธรรมยุต มหานิกาย วะ ท่านว่าอย่างนี้ ตั้งแต่ไก่
มันก็มีชื่อนี่นะ ตั้งไว้อย่างนั้นแหละ ความถูกต้องโดยอรรถโดยธรรมนี้ อยู่ไหน ๆ เข้ากันได้สนิทเลยท่านว่า เพราะฉะนั้น
จึงไม่อยากให้ท่านเหล่านี้ญัตติ เพราะธรรมดาโลกเราต้องถือสมมุติ คณะนั้นคณะนี้ เมื่อท่านเหล่านี้มาญัตติเสียแล้ว
บรรดาเพื่อนฝูงที่เป็นสายเดียวกัน ก็จะเข้าหาลำบากเพราะฉะนั้นจึงไม่ให้ญัตติ เพื่อจะเปิดทางให้บรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลาย
เข้ามาแล้วได้เป็นประโยชน์อันกว้างขวาง ท่านว่าอย่างนั้น ก็เป็นจริง ๆ เห็นไหมสายอาจารย์ชากว้างขวางขนาดไหน
อาจารย์ชาก็เคยไปอยู่วัดหนองผือด้วยกันนี่นะ ตอนที่ท่านไปศึกษาอบรม เราก็อยู่ที่นั่น ถึงคุ้นกันมาตั้งแต่โน้นละ
กับอาจารย์ชานะ ที่นี่ (วัดป่าบ้านตาด) ท่านก็มา..อาจารย์ชา ที่หนองป่าพง เราก็ไป ไปเวลาไหน เราไปพักหนองป่าพง
เราไปพักที่อื่นนะ ไปทีไร เราไปพักหนองป่าพง วัดอาจารย์ชานั่นแหละ เป็นอย่างนั้นตลอดมา

ทางอุบลฯ ไปหมดแหละ สายกรรมฐานอยู่ที่ไหน ๆ เราไปหมด จนกระทั่งถึงเขื่อนสิรินธร ที่ไหน ๆ วัดป่าเป็นสายของ
หนองป่าพง เราไปพักหนองป่าพง แล้วก็ให้พระที่วัดหนองป่าพงพาไป สำนักไหน ๆ ไป ๆ พอแนะยังไงก็แนะ ๆ
เพราะเราสงวนกรรมฐานมาก คือกรรมฐานนี้ละเราแน่ใจจะเป็นผู้ทรงมรรคผลแทนองค์ศาสดา และสาวกทั้งหลายเรื่อยมา
ด้วยภาคปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้นเราจึงสงวนมาก พระกรรมฐานอยู่ที่ไหน นี้คือกองแห่งธรรมจะอยู่ที่นี่
ธรรมจะงอกเงยขึ้นที่นี่

เพราะฉะนั้นเราถึงไป ถ้าเป็นกรรมฐานอยู่ที่ไหน อย่างไปทางกรุงเทพฯ ก็เหมือนกัน อยู่ทางด้านตะวันออก ทางเมืองชล
ก็เหมือนกัน เราไปเรื่อยนะ พอไปถึงกรุงเทพฯ แล้วเราก็ไปเขาฉลาก แล้วก็แถวนั้น เขาเขียวเขาอะไรพอเราบอกข่าวไป
โทรศัพท์ไปบอกว่าเราจะไป ทางโน้นก็นัดแนะกันมารวม ๆ อยู่ที่วัดเขาฉลาก เราก็ไปให้โอวาทสั่งสอนที่ตรงนั้น
เพราะขาดครูขาดอาจารย์ เหมือนลูกเต้ามีหลายคน พ่อแม่ไม่มี โหย อะไรจะเป็นกองทุกข์ยิ่งกว่าลูกแตกกับพ่อกับแม่
ใช่ไหมล่ะ แตกกระสานซ่านเซ็นไปก็มี อันนี้เราก็ไป เวลาว่าง ๆ ไปเราก็จี้เลย เทศน์ธรรมะล้วน ๆ ให้ฟังเลย
ถ้าเป็นสำนักกรรมฐานอยู่ที่ไหน เราจะเข้าถึงทันทีเลยไม่สนใจว่าธรรมยุต มหานิกาย เราไม่สนใจจริง ๆ นะ มันเรื่อง
ชื่อเฉย ๆ ธรรมต่างหากว่างั้นนะ อยู่คณะเดียวกันก็ลองดูซิ อย่างวัดป่าบ้านตาด ใครมาปฏิบัติขัดข้อง หรือขัดขวาง
ต่อหลักธรรมหลักวินัย เราไล่หนีทันที ถ้าเฮ่อ ๆ หนหนึ่งหนสองไม่ฟังนะ มากกว่านั้นไล่เลย อย่างหนึ่งไล่ทันทีก็มี
หลายแบบนะ ควรจะไล่ทันที ไล่ทันที ควรจะ เฮ่อ ๆ ขู่เสียก่อนก็มี มันหลายแบบ ตั้งแต่วัดเดียวกัน ชื่อเดียวกัน
ธรรมยุตเดียวกันก็ตาม เราไม่ได้เอาอันนั้น เราเอาหลักธรรมวินัยเป็นตัวตั้งใช่ไหม ทีนี้เมื่อธรรมวินัยตั้งอยู่ที่ไหน ๆ
เข้ากันได้หมด นั่นเราเอาตรงนั้น

พูดถึงอาจารย์มี เรารักเคารพท่านมากนะ ตั้งแต่เรียนหนังสือ โอ๋ย ท่านเป็นพระที่สุขุมละเอียดมาก สมชื่อสมนามว่า
เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นจริง ๆ แต่ก่อนเรายังไม่เคยไปเห็นหลวงปู่มั่น ท่านไปเห็นมาก่อนแล้ว อยู่มาก่อนแล้ว ทีนี้พอไป
อยู่กับหลวงปู่มั่น กลับมาแล้ว จึงได้เข้ามาหาท่าน คราวนี้ยิ่งสนิทกันใหญ่โตเลยเทียวนะ เรียกว่าลูกพ่อแม่เดียวกัน
ไปเลยทีเดียว กลมกลืนทันทีเลยนะ ท่านก็ เหอ ท่านมหา มาเหรอ คึกคักเลย ทั้ง ๆ ที่แก่ ๆ นะ คึกคักด้วยกัน
มาได้ยังไง โหย ครูบาอาจารย์อยู่ที่ไหน มาได้ทั้งนั้นแหละ (ตอนที่ละสังขารอายุ ๗๖ ปี ครับ) ปี ๒๕๑๔
เราไม่ได้ไปงานศพท่าน ตอนนั้นเรามีอะไรนั่นแหละที่ไปไม่ได้

ที่ไหนก็เหมือนกัน เช่นอย่างศพอาจารย์ใช่ (ท่านอาจารย์ใช่สุชีโว วัดป่าลิไลย์วัน) อยู่ที่เขาฉลาก ก็เหมือนกัน
อันนั้นจะมานิมนต์ มาวันเดียวกันอีกแหละ ทางนี้ก็รับนิมนต์เขาแล้วจะไปเทศน์ที่วัดถ้ำผาปู่ อาจารย์สีทน อันนั้นก็วัน
เดียวกัน ตกลงก็อย่างนี้แหละ รับนิมนต์ทางนี้ก่อนเลยตกลงก้ต้องไปทางนี้ ถ้ารับทางโน้นก่อน ทางโน้นต้องมี
ความหมายทันที อันนี้ปัดทันทีเลย คือก่อนหลังนั่นแหละ

นี่พูดถึงเรื่องอาจารย์มี โอ๋ย เราดีใจนะพูดถึงเรื่องอาจารย์มีสูงเนิน เราเคยไปพักแล้วนี่ ไปพักกับท่านนั่นแหละ
ถ้าไม่มีท่านอาจจะไม่ได้พักก็ได้ เพราะท่านเป็นแม่เหล็กใหญ่อยู่นั่น พอเราทราบว่าท่านอยู่ที่นั่น ก็บึ่งเข้าหาเลย
พักกับท่านนั่นอย่างนั้นแล้ว โอ๊ย ท่านเมตตาจริง ๆ กับหลวงตานะรู้สึกเมตตามากจริง ๆ เหมือนหนึ่งว่าเป็นกรณี
พิเศษนะ มาเห็นบอกพระเณร

นี่ท่านมหาบัวนะ ลูกศิษย์ผู้โปรดท่านอาจารย์มั่น อู๊ย อย่าพูดอย่างนั้นเถอะ นาน ๆ ได้พบกันท่านว่าอย่างนั้นนะ
ท่านว่าลูกศิษย์ผู้โปรดหลวงปู่มั่น ท่านว่างั้นนะ อู๊ย อย่าพูดอย่างนั้น ขอพูดบ้างเถอะ มันไม่ได้พูดสักทีท่านว่า
แล้วท่านก็พูดเอาอย่างเต็มปากของท่านเลย เราก็หมดท่า ท่านก็พูดกับพระกับเณรนั่นละ คุยกัน โฮ้ สนุกสนาน

ที่ท่านพักอยู่สูงเนินก็ดี วัดป่า ท่านอยู่วัดป่าของท่าน เรารักเราเคารพท่านมากจริง ๆ นะ เรียกท่านว่าครูจารย์เลยแหละ
คือมันติดปากมาแต่ดั้งเดิม เรียกแต่ครูจารย์ ๆ สนิทติดปาก ไปหาท่าน ท่านอยู่ในเขานะ ท่านแก่ ๆ อย่างนั้น
อู๊ย คึกคัก ๆ คุยกันตั้งนานกว่าจะได้กลับเพราะไม่ได้ค้าง เราไปเราทราบว่าท่านอยู่ที่นั่น เราก็เข้าแวะเลย เข้าไปหาท่าน
เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราถึงออกมา แล้วก็ไปกรุงเทพฯ เป็นอย่างนั้นละ ท่านอยู่ที่ไหน เราไปหา อยู่ที่สูงเนิน
เราก็ต้องไปพักกับท่านเลย มาจากกรุงเทพฯ ก็เข้าไปพักกับท่าน ไม่ได้มาก น้อยก็เอา นาน ๆ ได้พบท่านทีหนึ่ง
ได้กราบท่านพอแล้ว เพราะฉะนั้นวัดสูงเนินถึงได้ไปพักที่นั่น

 
 
 
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 18:11:25 »

เพชรน้ำหนึ่ง ฝ่ายธรรมยุต

หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม หลวงปู่หล้า เขมปัตโต คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ
 

ครูบาอาจารย์องค์ไหนเท่าที่เราได้ทราบมานี้ ไปหาครูบาอาจารย์ โถ เวลาเราไม่ได้คุยกับท่านนี้ก็เหมือนกับว่าเรา
ทุกข์แต่เราคนเดียวในการประกอบความเพียรชำระกิเลส แต่เวลาไปหาครูบาอาจารย์องค์ที่ปรากฎชื่อลือนาม
ไปสนทนากันแล้ว เราหงายเลยนะ เรียกว่าสู้ท่านไม่ได้ สู้ท่านไม่ได้ยังไง ความเพียรของท่านน่ะซี เด็เดี่ยว
เอา เป็น – เป็น – ตาย – ตาย เวลาท่านเล่าออกมานี้ โถ ไม่ใช่เล่น ๆ นั่นเห็นไหมกิเลสต้องเอาแบบรอดตายเทียว
มันถึงฟื้นตัวขึ้นมาได้ มาเป็นครูเป็นอาจารย์

อย่างลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนี่เป็นยังไง ในทั่วประเทศไทย เราว่าอย่างนี้เลย ไม่มีใครที่จะผลิตลูกศิษย์ลูกหาที่ดีงาม
จนกระทั่งถึงเพชรน้ำหนึ่งลงมาได้มากยิ่งกว่าหลวงปู่มั่นนะไปที่ไหนทั่วประเทศไทย มีแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ๆ
ทั้งนั้นนะ องค์สำคัญ ๆ นั่นเห็นไหม ท่านปฏิบัติตัวของท่าน

หลวงปู่มั่นนี้ถึงขั้นสลบไสลนะ เวลาท่านเป็นไข้ท่านนั่งภาวนา ท่านไม่ถอย ล้มสลบลงไป ท่านบอกว่า สลบถึง ๓ หน
เหมือนกันนะ นี่ตอนที่ท่านเป็นไข้ ท่านไม่ถอยความเพียร นั่งฟาดนี้ล้มทั้งหงายไม่รู้เลย ท่านว่างั้นนะ พอรู้สึกตัวขึ้นมา
มันสลบลงไปแล้ว ลุกขึ้นใหม่เอาใหม่ นู่นฟังซินะ ท่านเล่าให้ฟังนะ ๓ หน สลบนี้สลบตอนเป็นไข้ทุกครั้งแหละ
คือท่านไม่ถอยเป็นไข้ก็ไข้ เอา นั่งภาวนานี่ซัดนี้สลบล้มลงไป พอรู้สึกตัวขึ้นมาซัดอีก ท่านว่างั้นนะ นั่นเห็นไหมหนักไหม
นี่ละครูบาอาจารย์ของพวกเราในสมัยปัจจุบัน

ต่อจากนั้นครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นเพชรน้ำหนึ่ง ๆ เวลานี้อัฐิของลูกศิษย์ลูกหาหลวงปู่มั่นมีน้อยเมื่อไรที่กลายเป็น
พระธาตุ ๆ อัฐิที่ลงได้กลายเป็นพระธาตุแล้วนั้น คือ พระอรหันต์ ๆ นั่นเอง ท่านตีตราไว้แล้ว ในตำราบอกอย่าง
ชัดเจนทีเดียว นี้มีมากขนาดไหนลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนี้ โห ตั้ง ๑๐กว่าองค์ไม่ใช่น้อย ๆ นะ มีแต่องค์สำคัญ
เริ่มมาตั้งแต่หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่คำดี หลวงปู่พรหม อู๊ย หลายองค์นะ ที่ได้เป็นพระธาตุแล้ว อัฐิท่าน
เป็นพระธาตุ ๆ แล้ว นอกจากนั้นก็มีทั่ว ๆ ไป

อย่างผู้เฒ่าแม่แก้วที่ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า จะบวชเป็นเณรให้นั่นนะ อัฐิก็กลายเป็นพระธาตุแล้ว แม่ชีแก้ว ก็อย่างนั้นแล้ว
ผู้หญิงก็แม่ชีแก้วคนหนึ่งที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุ นี่ก็ลูกศิษย์ต้นของหลวงปู่มั่น ตั้งแต่แกยังเป็นสาวอยู่ ท่านหลวงปู่มั่น
ท่านแนะนำสั่งสอน หลังจากนั้นมาแล้ว เวลาแกตายลงไปนี้ อัฐิของแกก็กลายเป็นพระธาตุ

ส่วนพระนี้มีมาก เท่าที่จำได้ ท่านหล้า ภูจ้อก้อนี่ก็เป็นพระธาตุแล้ว หลวงปู่ตื้อ นี่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่ตื้อ
นี้ก็กลายเป็นพระธาตุ โอ๊ย สวยงามมากนะ เราไปเห็นด้วยตาเราเอง ให้พระเอาออกมาดู พอทราบว่า องค์ไหน
เป็นพระธาตุ ๆ เมื่อมีโอกาสแล้ว เราจะไปดูจนได้ด้วยตาของเราเองแล้วหายสงสัย ๆ

อย่างหลวงปู่ตื้อนี้ โอ๋ย สวยงามมากจริง ๆ สดใส เหลืองอร่ามเลยเทียว เป็นเม็ด ๆ เท่าเม็ดข้าวโพด เล็กกว่านั้นน้อย
มองดูแล้วเหมือนทองคำ อัฐิของหลวงปู่ตื้อสวยงามมากจริง ๆ นี่องค์หนึ่ง นี่ก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น

หลวงปู่พรหม ก็ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น นี่ก็เป็นเพชรน้ำหนึ่งนี้กลายเป็นพระธาตุ เท่าที่เราจำได้ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ตื้อ
หลวงปู่แหวน หลวงปู่คำดี หลวงปู่พรหม เท่าที่ทราบมาโดยลำดับ ท่านหล้า จากนั้นท่านจวน หลวงปู่ฝั้น ก็เป็นนะ
แต่ส่วนใหญ่ที่เก็บไว้นั้นไม่เป็น เขาเอาไว้ในบ้านเป็น หลวงปู่ฝั้นก็แน่แล้วว่าเป็น แล้วก็ ท่านสิงห์ทองก็เป็น
นี่ก็เคยอยู่กับท่านมาแล้วเหมือนกัน นับมานี้ตั้ง ๘-๙ องค์แล้วนะ เท่าที่ทราบมานี้เป็นพระธาตุแล้วทั้งนั้น

 
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 18:12:28 »

ครูบาศรีวิชัย หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ หลวงปู่เกิ่ง อธิมุตตโก

หลวงปู่มั่น พูดถึง ครูบาศรีวิชัย


หลวงปู่มั่นท่านพูดชมเชยสรรเสริญครูบาศรีวิชัย ท่านพูดด้วยความเคารพจริง ๆ นะ เราดูอากัปกิริยาของท่าน
พูดด้วยความสนิทสนมในจิตในใจ ท่านพูดด้วยความเคารพจริง ๆ ครูบาศรีวิชัยท่านนั่งได้นะทั้งวัน เขาเอาอันนั้น
มาถวาย อันนี้มาถวาย เพราะทำทางขึ้นดอยสุเทพ คนแถวนั้นมาหมดเลย ครูบาศรีวิชัยท่านเป็นตัวประธาน
เป็นองค์ประธานนะ เขาเอาอันนั้นมาถวายอันนี้มาถวาย ท่านให้พรทั้งวัน ท่านว่า อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ฯลฯ
ตาไม่ลืม เฉพาะให้พรโยม อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ฯลฯ หมดทั้งวัน

นี่ท่านก็มาสรุปนะ เราก็อศจรรย์ท่าน ท่านทนจริง ๆ ถ้าอย่างเราไม่ได้ เผ่นเลย หมดวัน พอตื่นขึ้นมาคนเต็มเลย
ค่ำก็ยังไม่หนี ทั้งวัน อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ฯลฯ อยู่นั่น เราก็เลยไม่ลืม ก็ท่านพูดเอง เวลาพูดไปสัมผัสถึงครูบาศรีวิชัย
ท่านสนิทสนมกันมากนะครูบาศรีวิชัยกับหลวงปู่มั่นเรา ดูเวลาท่านพูดให้ฟัง โอ๊ย! จึงรู้ว่าท่านสนิทสนมกันมาก
ทีนี้เวลาท่านพูดท่านก็พูดด้วยความสนิทจริง ๆ พูดด้วยความเลื่อมใส


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 20:19:31 »

หลวงปู่เกิ่ง อธิมุตตโก

ท่านอาจารย์เกิ่ง นี้ก็เป็นคนสามผง ลูกศิษย์องค์สำคัญองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่น ท่านอาจารย์เกิ่งนี้แต่ก่อนท่านเป็นอุปัชฌาย์
ท่านอาจารย์เกิ่ง ท่านอาจารย์สีลา นี้ล้วนแล้วแต่เคยเป็นอุปัชฌาย์มาก่อนในฝ่ายมหานิกาย แล้วเกิดความเคารพเลื่อมใส
เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมจากหลวงปู่มั่นเราแล้ว เลยยกวัดญัตติใหม่หมดเลย อุปัชฌาย์ท่านอาจารย์เกิ่งนี้องค์หนึ่ง
ท่านอาจารย์สีลาบ้านวา อากาสอำนวย นี้องค์หนึ่ง

ท่านอาจารย์เกิ่งนี้อยู่บ้านสามผง ยกขบวนไปญัตติแลย ญัตติทั้งวัด ๆ อุปัชฌาย์เกิ่งหมดทั้งวัด อุปัชฌาย์สีลาก็หมดทั้งวัด
ญัตติใหม่ นี่เป็นลูกศิษย์องค์สำคัญของท่านองค์หนึ่ง ก็คงเป็นนิสัยวาสนาจะเกี่ยวโยงอะไรกันมากับท่านนั้นแหละ
นี่ละสายบุญสายกรรมหากเป็นมาเองนะ ท่านได้รับการอบรมกับหลวงปู่มั่นมาเต็มที่แล้ว จากนี้ท่านก็แยกออกไปนู่น
ลงชลบุรี ไปทางชลบุรีเลยท่านไปตั้งวัดอะไร บางพระ นั่นท่านอาจารย์เกิ่งนะนั่น เหตุที่ท่านเหล่านั้นจะเข้าอก
เข้าใจทางด้านธรรมปฏิบัติ ก็ท่านอาจารย์เกิ่งไปพักที่นั่นตั้งที่นั่น ไปอยู่หลายปีนะ บางพระ ท่านไปพักที่นั่น
หลายปีแล้วแถวนั้น ท่านตั้งสำนักไว้ในที่ต่าง ๆ ตามประชาชนเขาขอร้องให้สร้างวัด

ท่านเป็นพระที่จริงจังมากนะ เด็ดเดี่ยว ท่านอาจารย์เกิ่ง เราก็คุ้นกับท่านอยู่แล้ว อันนี้เราไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง
ได้ทราบว่าอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุนะ เราเชื่อไว้ก่อนแล้วแหละ เพราะท่านจริงจังมาก ข้อวัตรปฏิบัติ
เคร่งครัดทางธรรมวินัย แต่เรายังไม่ได้ไปเห็นจริง ๆ ที่ว่าเป็นพระธาตุแล้วนะ เรายังไม่ได้ไปเห็น แต่เราก็เชื่อไว้
ล่วงหน้าอยู่แล้ว เพราะเชื่อปฏิปทาการดำเนิน ความสัตย์ความจริงของท่าน เคร่งครัดในธรรมวินัยมาก

ลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทางจังหวัดชลบุรีน้อยเมื่อไร ลูกศิษย์ลูกหาท่านอาจารย์เกิ่งนี่ ทั้งพระทั้งอะไรนะ ประชาชน
ก็เยอะ พระก็เยอะ แล้วจากนั้นก็ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ พระกรรมฐานเราเกี่ยวโยงกันตั้งแต่โน้นละ ตั้งแต่ท่านอาจารย์
เกิ่งไปเป็น.. รู้สึกจะเป็นครั้งแรกเลย ทางฝ่ายกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นลงไปทางเมืองชลฯ นะ มีท่านอาจารย์เกิ่ง
จากนี้ก็องค์นันไปองค์นี้ไป ท่านอาจารย์เกิ่งเป็นหลักอยูนั้นนาน โอ๊ย หลายปีนะ

เราไปพบกันอยู่ที่สกลนคร ที่ท่านมาเยี่ยมหลวงปู่มั่นพบกันกับเราที่สกลนคร ตอนนั้นท่านอยู่ จังหวัดชลฯ อยู่นะ
ท่านยังไม่มา ท่านมาเยี่ยมบ้านของท่านด้วยความจำเป็น แล้วก็มากราบพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา ก็ได้พบกันกับเรา
ที่สกลนคร จากนั้นท่านก็กลับไปเมืองชลฯ คือตอนนั้นท่านยังอยู่โน้น ท่านยังไม่มา ตอนแก่นี่ท่านถึงได้ย้ายมา
ทางสามผง ก็มามรณภาพทางนี้ โห ท่านเป็นพระเด็ดเดี่ยวมากนะ แต่เรายังไม่ได้เข้าไปดูที่สำนักของท่าน
บางพระ ว่าอยู่บางพระ ว่างั้นนะ จังหวัดชลฯ ผ่านไปผ่านมาหากไม่ได้เข้า ท่านอยู่จริง ๆ สำนักนั้นอยู่ที่ตรงไหน
บอกแต่ว่าบางพระเท่านั้นแหละ ท่านอยู่นาน แล้วแถวรอบ ๆ นั้นยังมีนะ แตกสาขาออกไป

พวกพระพวกอะไรที่มารับการศึกษาจากท่าน เป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่าน กระจายออกไปเกาะตามอะไรก็มีอยู่ทางนั้นนะ
เราไปอะไร เขาเลยบอก นี่สำนักนี้เราลืมแล้วแหละ เราไปเห็นสำนักนี้ก็ท่านอาจารย์เกิ่ง ท่านมาสร้าง พาลูกศิษย์
มาสร้างที่นี่ไม่ใช่บางพระนะ แถวนั้นแหละเป็นเกาะอะไรไม่รู้ เราก็ไปซอกแซก มันก็ดื้อเหมือนกันนั่นแหละ
ไปที่นั่นที่นี่เห็นหมด ท่านเป็นพระที่น่าเคารพมาก

พูดถึงเรื่องท่านอาจารย์เกิ่ง ท่านไปทำประโยชน์ทางเขตเมืองชลฯ นี้มากที่สุด ดูว่าไม่ได้ไปทางระยองนะ ทราบว่า
อยู่เขตเมืองชลฯ กว้างขวาง สำนักต่าง ๆ ออกจากท่านองค์เดียว มีลูกศิษย์ลูกหาไปตั้งสำนักมีความเคารพ
เลื่อมใสบวชอยู่กับท่าน แล้วก็แยกออกไปตั้งหลายแห่งจนกระทั่งทุกวันนี้ นี่ท่านอาจารย์เกิ่ง ทราบว่าอัฐิของท่าน
กลายเป็นพระธาตุแล้ว แต่เรายังไม่ได้ไปเห็น แต่เราค่อนข้างจะเชื่อไว้แล้ว ถึงยังไม่เห็นก็ตาม

เพราะเชื่อปฏิปทาของท่าน เป็นคนเด็ดเดี่ยวจริงจังมาก ทุกอย่างคล้ายคลึงกับนิสัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา นิสัย
เด็ดเดี่ยวจริง ๆ ว่าอะไรเป็นอันนั้นเลยเทียว นี่ละหลวงปู่มั่นเราเป็นอย่างนั้นเด็ดเดี่ยว ว่าอะไรเป็นอันนั้น
ท่านอาจารย์เกิ่งก็เหมือนกัน นิสัยแบบเดียวกัน มาพบก็คุยสนิทสนมกันอยู่ กับท่านนะ

ตอนที่ได้คุยกันพอสมควร ก็คือตอนที่ท่านมากราบเยี่ยมพ่อแม่ครูจารย์มั่น อยู่สกลนคร ท่านมาจากเมืองชลฯ
มีลูกศิษย์ตาผ้าขาวมาคนหนึ่ง แล้วมีพระติดตามมาองค์เดียว เพราะท่านบอก ท่านมาชั่วคราวแล้วท่านจะกลับ
ท่านว่างั้น กลับเมืองชลฯ ก็ได้คุยกันตรงนั้นแหละ ดูลักษณะท่าทางของท่านสำคัญอยู่ จากนั้นก็ได้พบกันทางสามผง
อีกทีนึงนะตอนท่านย้ายมาแล้ว ท่านแก่แล้ว ได้พบกันทีหนึ่งปีท่านอยู่สามผงเป็นอุปัชฌาย์ญัตติมาอยู่นั้น ท่านอาจารย์
สีลาก็เสียแล้ว ท่านก็เสียแล้วแหละ

 
 
 
 
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 20:20:59 »

หลวงปู่บุดดา ถาวโร
 
วัดกลางชูศรีเจริญสุข จ.สิงห์บุรี

หลวงพ่อบุดดา อายุ ๑๐๐ ปีพอดี ผู้เฒ่าก็สำคัญ อยู่ถึง ๑๐๐ ปีนี่พอแล้วนะ เป็นว่าหลวงพ่อบุดดานี่เป็น
พระสำคัญอยู่นะ ทางจิตใจสำคัญอยู่ แต่ข้างนอกพวกนั้นเอาไปถลุงหมดแหละ พวกผีพวกเปรตนะ ทางภายนอก
ถูกเขาถลุงหมดแหละ ก็ผู้เฒ่าปล่อยแล้วนี่ ว่าอะไรก็ปล่อยไปเลย พวกนั้นก็สนุกถลุงแหละ คุ้นกันนะกับเราก็ดี
แต่ไม่ได้พูดธรรมะธัมโมกันโดยเฉพาะแต่พอเชื่อแน่ในใจแล้ว

 
ผู้เฒ่านี่เป็นพระสำคัญ ในสำนวนโวหารพูดอะไรออกมามันก็แปลก ๆ อยู่ มันแปลกมาจากใจนั่นแหละ จะแปลก
มาจากไหน ใจไม่แปลกมันก็ไม่แปลก ถ้าใจแปลก มันแปลกทั้งนั้น กิริยาแสดงออกมามันแปลก มันแปลก
ออกมาจากหัวใจ ผู้เฒ่าสำคัญอยู่องค์หนึ่ง


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 20:28:34 »

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

เทวดามาใส่บาตร

 
ท่าน (หลวงปู่ชอบ) พูดเรื่องที่ท่านกลับมาจากพม่า เรียกว่า เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมา ท่านว่างั้นนะ ก็เรียกว่าสมท่าน
เป็นกรรมฐานกล้าหาญนั่นเอง ตอนนั้นเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง พวกทหารอังกฤษมาป้วนเปี้ยนอยู่ในเขตพม่า
พอดีท่านบิณฑบาตกำลังนั่งให้พรเขาอยู่ พวกทหารอังกฤษเข้ามา เขาก็เลยมาถามพวกนี้ เขาไม่ไว้ใจว่าพระนี้เป็นพระไทย
 
เวลานั้นเหมือนกับว่าทางโน้นเป็นข้าศึกกับไทยอยู่ พวกอังกฤษนะ ทางนี้ก็พูดรับรองยืนยัน ท่านมาตั้งแต่ก่อน
สงครามโลกเกิด ท่านมาหลายปีแล้ว ท่านมาพักอยู่นี้นาน ท่านไม่มีอะไร เขาก็ยังไม่แน่ใจ เขาดูแล้วดูเล่า
พอกลับไป วันหลังเขามาอีก เขายิ่งถามหนักเข้า ๆ เห็นท่าไม่ได้การ เขาจึงมาส่งท่าน กลัวว่าพวกอื่นมาจะหนัก
ยิ่งกว่านี้ ดีไม่ดีฆ่าท่านเสีย เลยเอาท่านไปส่งใส่ทาง

ทางนี้ก็เป็นทางไปเมืองไทย เป็นทางที่พวกขายของเถื่อน พวกฝิ่นพวกอะไร เขามีทางพอเป็นด่าน ๆ พอไปได้
เขาก็ไปบอกทางให้ท่านจับต้นทางอันนี้ไว้ให้ดี ท่านสังเกตุให้ดีนะ รอยพวกสัตว์พวกเนื้อ พวกเสือพวกช้าง
มันผ่านไปผ่านมา ก็สังเกตให้ดีให้จับต้นทางให้ดี ถ้าผิดจากนี้แล้ว ท่านจะไปไหนไม่ได้เลย ดงใหญ่มาก เดินเป็นวัน
เป็นคืนเลยจะว่าไง ท่านก็พยายามจับทางนั้นละมา นี่ละที่นี่ก็มาสำคัญตอนที่เคยเล่าให้ฟังแล้วว่า วันนั้น
ท่านเพลียมากจริง ๆ ท่านบอก ข้าวก็ไม่ได้ฉัน แล้วก็เดินทั้งวันด้วย เพลียมาก ท่านเลยรำพึงในใจ ท่านเล่าให้ฟังนะ
ที่มันถนัดชัดเจนมาก

พอมาถึงที่นั่นเพลียเป็นกำลัง ก้าวขาจะไม่ออกแล้ว ยังไงกันแต่ก่อนตั้งแต่เราอยู่เป็นปกติ เทวบุตรเทวดาก็มา
เกี่ยวข้องกับเราอยู่เสมอท่านนึกในใจ แต่เวลานี้เรากำลังจะเป็นจะตาย เทวบุตรเทวดาทำไมใจดำน้ำขุ่นเอานักหนา
พระกำลังจะตายก็ไม่เหลียวแลกันบ้างเลยยังไงกัน ท่านนึกอย่างนี้ คือท่านอดอาหาร ท่านไม่ได้ฉันอาหาร
ไปอีกดูไม่ถึง ๓๐ นาทีนะปรากฎว่าถ้าว่าอย่างนานก็ระยะนี้ ท่านก็เดินไป ๆ ดงข้างล่างมันโล่ง หน่อย ข้างบนมัน
มืดหนาหนาไปหมดด้วยใบไม้ ข้างล่างมองเห็นโล่ง ๆ ท่านมองไปเห็นบุรุษคนหนึ่งนั่งจบอาหารอยู่ เลยมองไป
อ้าว นี่คนจะใส่บาตรน้า ก็ดงอันนี้เป็นดงทั้งดงไม่มีผู้คน คน ๆ นี้เขามาจากไหน ถึงมาใส่บาตรเราน้า ท่านก็เดินไป
พอเดินไปถึงนั้นเขาก็บอกว่านิมนต์ท่านพักที่นี่ก่อน ขอใส่บาตรท่าน โยมมาจากไหน ท่านถาม มาจากโน้น
ชี้นิ้วสูง ๆ โน่น ไม่ได้บอกว่ามาจากบ้านนั้นบ้านนี้ มาจากโน้นชี้ไปสูง ๆ เขาก็เตรียมจะใส่ ท่านก็เลยปลดเปลื้อง
อะไรออก เอาบาตรออก รับเขา

แล้วเขาก็บอกว่าไม่เป็นไรแหละ ท่านจะถึงเมืองไทยในวันนี้แหละ นิมนต์ฉันบิณฑบาตเสียก่อนค่อยไป จะถึง
เมืองไทยในวันนี้แหละ เขาว่าอย่างงั้นนะ แล้วแต่งเนื้อแต่งตัวก็เหมือนทางคนไทยเราแต่ง ว่างั้นนะ แต่ดูลักษณะ
ท่าทาง อู๊ย เป็นสง่าราศีทุกอย่าง คน ๆ เดียวผู้ชายอายุประมาณ ๓๐ นี้ กะว่าประมาณนั้น พอท่านเตรียมบาตรออกไป
เขาก็มาใส่บาตร พอเข้ามานี้กลิ่นไม่ใช่กลิ่นธรรมดา กลิ่นปึ๋งขึ้นมา

อ๋อ นี่พวกเทพใส่บาตร ท่านนึกในใจ ใส่บาตรนั้นของพอดิบพอดีนี้อันหนึ่งที่สำคัญมาก ท่านว่า อาหารท่านบอก
มีปลา มีอะไรหลายอย่างไม่ใช่อย่างเดียว เขาใส่อย่างละพอดี ๆ เขาจัดใส่บาตรเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็ให้พรเขา
ให้พรแล้ว ทีนี้ผมจะลากลับบ้านแหละ บ้านโยมอยู่ไหนล่ะ อยู่โน้น ชี้ไปทางโน้นอีกแหละ ชี้ขึ้นฟ้าโน่น

ทีนี้จับจ้องจะดูเขาจะเคลื่อนไหวไปไหนมาไหน พอรับบาตรแล้วเขาไหว้เสร็จเรียบร้อย ให้พรเขาแล้ว เขาก็ไป
มีต้นไม่ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ข้าง ๆ นั้น พอไปนี้ เขาก็ไปลับต้นไม่ใหญ่ ทีนี้ยิ่งจ้องใหญ่เลย เขาจะไปยังไง พอถึง
ต้นไม้ใหญ่แล้วหายเงียบออกทางนี้ ดักดูก็ไม่เห็นออกทางไหน ดักดูไม่เห็น หายเงียบเลย โอ๊ย เทวดาแล้วแหละ
ท่านว่าอย่างงั้น ไม่เห็นเลย หายเงียบเลย นี่ท่านพูดเอง

แล้วก็มาฉันจังหัน จังหันนี้ก็เอาอีกแหละ ถ้าจะเกินนั้นไปอีกก็ไม่ได้ อิ่มพอดีเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเรียกว่าหมดทุกชิ้น
พอดีทุกอัน ท่านว่าอย่างนั้น เอ๊ มันทำไมถึงพอเหมาะพอสม ไม่ใช่เทวดาจะมาใส่ได้ยังไงอย่างนี้เอาอีกแหละ
ต้องเทวดาแน่ ๆ วันนั้นรู้สึกว่าปีติยินดี ธาตุขันธ์ก็มีกำลัง เดินมาถึงเมืองไทยในวันนั้นเข้าทางเมืองกาญจน์นะ
ท่านมาทางเมืองกาญจน์

นี่ท่านเล่าให้ฟัง เทพแหละไม่ใช่ใคร ท่านว่าอย่างงั้น อาหารการกินหอมหวน อาหารเอร็ดอร่อย ก็พวกปลา
พวกอะไรธรรมดา แต่ทำไมหรือว่าจะเป็นเพราะเราหิวมากก็ไม่ทราบ ถ้าหิวเราก็เคยหิวนี่นะ ถ้าว่ากลิ่นมันก็แปลก ๆ
อะไรก็แปลก ๆ ไปหมดนี่นะ ท่านว่าอย่างงั้น นี่ท่านเล่าให้ฟังเป็นกันเอง ทุกอย่างท่านเล่าน่าฟังนะ กับพวกเทพ
รู้สึกท่านชำนาญอยู่มาก ท่านอาจารย์ฝั้นหนึ่ง ท่านอาจารย์ชอบหนึ่ง ยกพ่อแม่ครูจารย์มั่นเราเสีย เหล่านี้รู้สึกเด่น ๆ ทั้งนั้น

 
 
ท่านอาจารย์ชอบนี้องค์หนึ่งเด่นมาก เวลาท่านไปพักอยู่ทางเชียงใหม่ก็เหมือนกัน พูดถึงพวกเทพพวกอะไร
เขามาฟังเทศน์ฟังธรรมเขามาขับกล่อมท่านก็มี ท่านว่านะ ขับกล่อมตามประสาของเทพเขานั่นแหละ ขับกล่อม
เป็นลักษณะเหมือนเพลง แต่ไม่ใช่เพลงท่านว่าอย่างงั้นนะ เป็นเรื่องของเทพ ท่านว่า เขาทำนั้นเขาไม่ได้มีเรื่อง
สงสารมาเจือปน กิริยาอาการที่เขาแสดงออก เขาแสดงออกด้วยความปลื้มปีติในครูบาอาจารย์ ในธรรมทั้งหลาย
ของเราต่างหาก ที่เขาแสดงอาการอย่างนั้นออกมา แต่ถ้าทางโลกแล้วก็เรียกว่า แสดงความรื่นเริงกันแบบมหรสพ
ครบงันไปอย่างนั้นแหละนะ แต่นี้ไม่เป็นอย่างนั้น ท่านเล่าให้ฟัง นี่พูดถึงเรื่องเทพนะ นี่อัฐิของท่านได้ทราบว่า
เป็นพระธาตุแล้วใสเป็นแก้วไปเลย แต่เรายังไม่ได้ไปดู มีโอกาสเราถึงจะไปดูอัฐิ

 
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 20:29:28 »

หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ
วัดประสิทธิธรรม จ.อุดรธานี

หลวงปู่พรหมนี้ได้พูดกันอยู่ที่บ้านนามน อันนี้ท่านก็เล่าให้ฟัง ชัดเจนมากนี่ก็ดี เวลาเงียบ ๆ วันไหนไม่ได้ขึ้นหา
พ่อแม่ครูจารย์มั่น ก็แอบไปหาท่าน คุยกันสองต่อสองทุกคืน คุยสนุกสนาน ท่านพูดให้ฟังทุกแง่ทุกมุมในการ
ปฏิบัติธรรมของท่าน นี่ท่านก็ผ่านที่เชียงใหม่ ท่านผ่านมานานแล้วนี่ ก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วละซี ท่านเล่าให้ฟัง
ถึงเรายังไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรทางปริยัติทางอะไร มันก็เข้ากันได้ ๆ ลงใจทันที นี่อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ

 
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 20:31:44 »

หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี

องค์ที่เราชัดเจน ก็มีแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้น ที่ระบุนามออกมานี้มีแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้น แต่ไม่ทราบ
ว่าจุดไหน ๆ ที่ท่านสำเร็จที่นั่นที่นี่ จำได้แต่หลวงปู่ขาวท่านเล่าให้ฟัง เพราะนั้นซัดกันเสียเต็มเหนี่ยวจึงได้รู้เรื่อง
หมดละซี ท่านบอก จนกระทั่งสถานที่ ที่จุดเฉพาะเสียด้วยนะ ท่านบอกว่า โรงขอด อำเภอพร้าว ท่านไปเสร็จ
(บรรลุธรรมอัศจรรย์) อยู่ที่นั่น

ท่านเดินออกไป ท่านไปอาบน้ำ ท่านว่าอย่างนั้นนะ ไปเห็นข้าวเขากำลังสุก เขียวก็มี กำลังพอทำข้าวเม่านี้ก็มี
อ่อนอยู่ก็มี ท่านก็ดู นี่ละธรรมะจะไต่ไปตามนั้น ข้าวมีหลายประเภท คนที่มีบารมีมีแก่กล้าแล้วก็เหมือนข้าวสุก
ไม่เป็นอื่นจะสุกโดยถ่ายเดียว ผู้ที่มีบารมีลดลงมาก็เป็นอย่างนี้ ๆ ท่านไล่ลงไปนะ ข้าวประเภทลดกันลงมา
ก็บารมีอยู่ในขั้นนี้ ๆ ท่านไล่ไปจนกระทั่งลงถึงรากถึงโคน ที่มันเป็นดอกเป็นผลไปแล้วก็เป็น ที่อยู่กับต้นมีแต่ใบเฉย ๆ
คอยจะตายอยู่กับต้นก็มีใช่ไหมละ ในต้นข้าวต้นนั้นแหละที่เป็นดอกเป็นผลไปแล้วก็มี ที่รองกันลงมาก็มี ที่ฝัง
อยู่กับโคนของมันก็มี คอยแต่จะตาย

ท่านพิจารณาไป จิตของเรามันเริ่มแรกมาตั้งแต่ต้น ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อได้รับการบำรุงเสมอก็เป็นอย่างนี้ ๆ ท่าน
พิจารณา อาบน้ำก็มีแต่อันนี้เป็นอารมณ์ ท่านว่าอย่างนั้นนะ อาบน้ำเสร็จท่านไม่เสร็จท่านว่า เข้าห้องไปที่นั่งภาวนาเลย
เอาอันนี้เข้ามาเป็นสนามมวยเลย ซัดกัน เลยผึงขึ้นในคืนวันนั้น อย่างนั้นแหละธรรมะอัตโนมัติ ท่านเล่าให้ฟัง
นั่นเห็นไหมสติปัญญาอัตโนมัติ ขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้ว เดินไปไหนเป็นธรรมทั้งหมดนะ ธรรมะจะกว้าน
เข้ามา เป็นธรรม ๆ ทั้งหมด

ถ้าเวลาจิตมันเป็นกิเลส กิเลสเต็มตัวแล้ว ไปไหนเป็นกิเลสทั้งนั้นเต็มตัว ๆ ทีนี้เวลาจิตได้ก้าวออกสู่ธรรมแล้ว
ก็แบบเดียวกัน ไม่ได้ผิดกันแม้เปอร์เซ็นต์เดียวกัน เวลากิเลสมีกำลังกล้านี้มันเป็นอัตโนมัติ หมุนของมันต่อสัตว์โลก
ทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีต้นมีปลาย มันหมุนของมันอยู่อย่างนั้นคิดแย็บออกไปเป็นแล้ว เพราะกิเลสดันออกให้คิด
คิดออกไปก็เป็นกิเลส เป็นดอกเป็นผลของกิเลสทั้งนั้น ๆ เป็นปกติของสัตว์โลก เมื่อไม่มีอะไรแทรกขึ้นมาก็
ไม่มีคู่แข่งละซี เมื่อมีธรรมแทรกขึ้นมาก็ไม่มีคู่แข่งละซี เมื่อมีธรรมแทรกขึ้นมา ธรรมก็เป็นคู่แข่ง แข่งเข้าไปเรื่อย
จนกลายเป็นธรรมอัตโนมัติเหมือนกัน


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 20:34:43 »

หลวงปู่หล้า ขันติธโร
วัดป่าบ้านนาเก็น จ.อุดรธานี


ท่านอาจารย์องค์นี้ ท่านมีคุณธรรมสูงมาก น่ากราบไหว้บูชา แต่ท่านเสียไปได้ราว ๔-๕ ปีแล้ว เวลาท่านจะจาก
ขันธ์ไป ก็ทราบว่าไม่ให้ใครวุ่นวายกับท่านมาก เป็นกังวลไม่สบาย ท่านขอตายอย่างเงียบแบบกรรมฐานตาย
จึงเป็นความตายที่เต็มภูมิของพระปฏิบัติ ไม่เกลื่อนกล่นวุ่นวาย

เวลาประชุมเพลิงท่าน ก็ทราบว่าพระผู้ใหญ่ทั้งหลายไม่ค่อยทราบกันเลย เนื่องจากท่านไม่ให้บอกใครให้ยุ่งไปมาก
วุ่นเปล่า ๆ วุ่นกับคนตาย หมดราคาค่างวดแล้ว ไม่ค่อยเกิดประโยชน์เหมือนวุ่นกับคนอื่น ท่านพูดอย่างสบายง่าย ๆ
อย่างนี้เอง ใครจึงไม่กล้าขัดขืนคำท่าน ประการหนึ่งก็เป็นคำท่านสั่งเสียด้วยใจจริงด้วย กลัวเป็นบาปถ้าขืนคำท่าน
แม้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่

ผู้เขียน (หลวงตา) ก็เคยได้ไปพักอาศัยอยู่กับท่านในเขาลึกราวครึ่งเดือน ที่ท่านพักอยู่นั้นเป็นป่าเขา อาศัยอยู่
กับชาวไร่บิณฑบาตพอเป็นไปวันหนึ่ง ๆ ทราบว่า ท่านจำพรรษาที่นั่นหลายพรรษาเหมือนกัน ที่นั้นผู้เขียนเคยตั้งเวลาดู
ตอนออกเดินทางกลับจากที่พักท่านออกมาหมู่บ้านกว่าจะพ้นจากป่าก็เป็นเวลา ๓ ชั่วโมง ๒๐ นาทีพอดี จนถึง
หมู่บ้านก็ร่วม ๔ ชั่วโมง

ชื่อท่านว่า ท่านอาจารย์หล้า ภูมิลำเนาเดิมอยู่เวียงจันทร์ นับแต่อุปสมบทแล้ว ท่านเลยอยู่ฝั่งไทยตลอดมาจนวัน
มรณภาพ เพราะทางฝั่งไทยมีหมู่คณะและครูอาจารย์ทางฝ่ายปฏิบัติมาก การบำเพ็ญสมณธรรมท่านมีนิสัย
เด็ดเดี่ยวอาจหาญ ชอบอยู่และไปคนเดียว อย่างมากก็มีตาปะขาวไปด้วยเพียงคนเดียว ท่านมีนิสัยชอบรู้สิ่ง แปลก ๆ
ได้ดี คือ พวกกายทิพย์ มีเทวดาเป็นต้น พวกนี้เคารพรักท่านมาก ท่านว่าท่านพักอยู่ที่ไหนมักมีพวกนี้ไปอารักขาอยู่เสมอ

ท่านมีนิสัยมักน้อย สันโดษมากตลอดมา และไม่ชอบออกสังคมคือหมู่มาก ชอบอยู่แต่ป่าแต่เขากับพวกชาวไร่
ชาวป่า ชาวเขา เป็นปกติตลอดมา ท่านมีคุณธรรมสูง น่าเคารพบูชา คุณธรรมทางสติปัญญา รู้สึกว่าท่านคล่องแคล่วมาก
แต่ผู้คนพระเณรส่วนมากไม่ค่อยทราบเรื่องนี้มากนัก เพราะท่านไม่ค่อยแสดงตัว มีเพียงผู้ที่เคยใกล้ชิดท่านที่ทราบกันได้ดี

ราว พ.ศ.๒๔๙๓ ที่ผู้เขียนไปอาศัยอยู่กับท่าน ได้มีโอกาสศึกษาเรียนถามธรรมท่านรู้สึกว่าทราบซึ้งมาก ท่านอธิบาย
ปัจจยาการ คืออวิชชา ได้ดีละเอียดลออมาก ยากจะมีผู้อธิบายได้อย่างท่าน เพราะปัจจยาการเป็นธรรมละเอียด
สุขุมมากต้องเป็นผู้ผ่านการปฏิบัติภาคจิตตภาวานามาอย่างช่ำชอง จึงจะสามารถอธิบายได้โดยละเอียดถูกต้อง

เนื่องจากปัจจยาการหรืออวิชชาเป็นกิเลสประเภทละเอียดมาก ต้องเป็นวิสัยของปัญญาวิปัสสนาขั้นละเอียด
เท่า ๆ กัน จึงจะสามารถค้นพบและถอดถอนตัวปัจจยาการคืออวิชชาจริงได้ และอธิบายได้อย่างถูกต้อง ท่าน
ท่านอาจารย์องค์นี้เป็นผู่หนึ่งที่อธิบายอวิชชา ปัจจยาการได้โดยละเอียดสุขุม เกินความสามารถของผู้เขียน
จะนำมาอธิบายในที่นี้ได้ จึงขอผ่านไปด้วยความเสียดาย

ท่านอาจารย์องค์นี้ท่านเริ่มฉันหนเดียว และเที่ยวกรรมฐานอยู่ตามป่าตามเขากัยท่านพระอาจารย์มั่น
ท่านพระอาจารย์เสาร์มาแต่เริ่มอุปสมบทจนถึงวันมรณภาพ ไม่เคยลดละข้อวัตรปฏิบัติและความเพียรทางใจตลอดมา
นับว่าเป็นอาจารย์ที่เหนียวแน่นทางธรรมปฏิบัติที่หายากองค์หนึ่งในสมัยปัจจุบัน ควรเป็นคติตัวอย่างแก่ท่านผู้
สนใจปฏิบัติทั้งหลายได้เป็นอย่างดี


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.125 Chrome 5.0.375.125


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2553 20:45:07 »

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่

 
ลูกศิษย์ : นึกถึงท่านอาจารย์เทศน์ถึงหลวงปู่แหวนท่านสูบบุหรี่ที่ว่าเอาแบงก์ ๕๐๐ พันแล้วสูบ

หลวงตา : นั่นละเห็นไหม คือท่านวางตามหลักธรรมชาติไม่ให้สมมุติเข้าไปเกี่ยวข้องกับจิตว่าเป็นโทษ เป็นคุณ
อะไรเลยท่านทำเป็นกรณีพิเศษให้โลกทั้งหลายได้เห็น ท่านเอาธนบัตรใบละห้าร้อย อยู่ ๆ ท่านก็เอามามวลบุหรี่
เสร็จแล้วท่านก็เอามาจุดไฟสูบเฉย ไม่สนใจกับใครนะ นั่นใครจะไปว่าท่านเป็นอาบัติไม่ได้นะ คือนี้เป็นกิริยาสมสุติ
ท่านใช้ให้สมมุติทั้งหลายได้เห็น ถ้าท่านไม่ทำใครก้ไม่เห็น คือวิมุตติจิตนั้น
 
หมดแล้ว เรื่องสมมุติที่จะเข้าไปอาจเอื้อมถึงไม่มีเลย คำว่าสมมุติโดยประการทั้งปวง เช่น โทษคุณเหล่านี้เป็น
สมมุติทั้งหมด อันนั้นเลยหมดแล้ว เช่นอย่างสูบบุหรี่ด้วยธนบัตรใบละห้าร้อยท่านก็สูบเฉยท่านไม่มีอะไรนะ
พวกดูข้างหลังเป็นบ้าตาจ้องเลยนะ ท่านเฉย ท่านไม่สนใจ คือให้ดู

แต่ก่อนใครจะรักษาพระวินัยเคร่งครัดยิ่งกว่าท่าน บทเวลาท่านออก ที่ออกจากหลักธรรมหลักวินัย ที่เป็นสมมุติ
นี้ทั้งหมดอยู่ข้างบน แล้วก็มาเกี่ยวข้องกับสมมุตินี้ เอาธนบัตรใบละห้าร้อยมาสูบบุหรี่เฉย

นี่ใครจะมาว่าท่านเป็นอาบัติไม่ได้นะ คือธรรมชาตินั้นเลย ทุกอย่างแล้ว ท่านรักษาเป็นขนบประเพณีอันดีงาม
ในระหว่างขันธ์ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นแหละ เวลาท่านจะแสดงออกมาในกรณีพิเศษ ท่านก็เอาธนบัตรใบละห้าร้อย
มามวนแล้วสูบเฉยสบายเลยอย่างงั้นแล้วเห็นไหมละ คืออันนั้นเลยทุกอย่างแล้วขึ้นชื่อว่าสมมุติ ไม่มีสมมุตใด
แม้เม็ดหินเม็ดทรายจะไปแทรกจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วนั้นได้เลย ทีนี้โลกไม่เห็นละซิ ท่านจึงแสดงให้เห็น
ปัญหานี้ ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้

หลวงตา : ได้ยินไม่ใช่เหรอที่หลวงตาไปหาท่าน ซัดกันเต็มเหนี่ยว

ลูกศิษย์ : พ่อแม่ครูอาจารย์เล่าให้ฟังอยู่ครับ ว่าเข้าไป ให้คนอื่นออกหมด แล้วอยู่สองต่อสองกับท่าน พ่อแม่
ครูอจารย์ว่าถ้าคนไม่เป็นเรื่องนี้จะถามไม่ได้คำถามนี้ ถามแล้วจะตอบไม่ได้ด้วย

หลวงตา : คือ ปัญหานี้ถ้าไม่รู้จริง ๆ จะถามไม่ได้ว่างั้นเลย เอ้าถ้าไม่รู้จริง ๆ อันนั้นก็ตอบไม่ได้ เมื่อถามผึง
เข้าไปที่รู้อยู่แล้วมันก็ออกกันรับผึงเลย เราไม่ลืมนะ เพราะเราพยายามจะเข้าไปหาท่าน ชื่อเสียงท่านร่ำลือมานาน
แล้วไม่ว่าท่านว่าเรา ถ้าพูดถึงเรื่องทิฐิมานะก็เหมือนกัน จะไม่เชื่อสุ่มสี่สุ่มห้า ว่างั้นเถอะ จะเชื่อโดยหลักความจริงต่อกัน

เวลาเราไปทีแรก ไปทีไรนี้คนรุมมาเลย ตกลงก็ได้เข้าเฝ้าท่านพร้อมกันหมด ก็ไม่มีเวลาจะถามธรรมะ

ไปทีไรก็เป็นอย่างนั้นทุกที เราจึงตั้งโปรแกรมใหม่ ไปคราวนี้จะไม่ให้ใครทราบ จะไม่ให้ใครเข้าไป คือธรรมดา
นั้นเข้าหาท่านไม่ได้ พวกเปรตผีอยู่นั้นมันกั้นกาง เข้าไปไม่ได้ แต่เราไปนี้เปรตมันกลัวเรา เข้าใจไหม เปรต
โดดไปอยู่ภูเขาลูกไหนก็ไม่ทราบ

พอเราไปปั๊บเขาก็รุมมาหมด เพราะรถจอดอยู่ไม่ทราบว่ากี่คัน รถบัสใหญ่ พอเห็นเรามาเขาก็มีหวัง เขาก็รุมมาเลย
เออมานี่ นี่นะให้เราไปหาท่านเสียก่อน เราเข้าไปหาท่านโดยเฉพาะในห้องเรียบร้อยแล้ว พอเสร็จธุระแล้วเรา
ก็ออกมา เราจะให้สัญญาณ แล้วเข้าหาท่านด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ เขาพอใจแตกฮือกลับหมดเลย ก็เหลือแต่
เราคนเดียว ปั๊บเข้าเลย เอากันตรงนั้นแหละนะ พวกนั้นเขาตายใจแล้ว ได้รับคำสัญญาแน่นอนจากเราแล้ว
เวลาเราออกจากนั้นเราจะให้สัญาณ แล้วเข้าไปหาท่าน จะได้เข้าทั่วหน้ากันหมดนั่นแหละ เขาเข้าใจแล้ว ก็พรึบ
ออกหมดเลย เราก็ปั๊บเข้าเลย เขาก็ซัดกันเลยไม่ได้ถอยนะคือไม่ได้รอเลย มวยก็ไม่ได้ไหว้ครูว่างั้นเถอะ
ต่อยเลยปึ๋ง ๆ
 
ถามสองประโยค ไม่ถามมากนะ ประโยคสำคัญ ๆ ใส่ปั๊บเข้าไปท่านก็ผางออกเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ถ้ารู้แล้ว
ก็ไม่ยากนะ ผางออกมาเลย เราก็ดูนาฬิกาของเรา ๑๐ นาที ประโยคนี้นะ เราหายสงสัยเรียบร้อยแล้ว พอท่าน
จบลงปั๊บ ประโยคที่สองก็เข้า ทีนี้เด็ด เฉียบขาดเลย พอประโยคที่สองเข้าปั๊บ ท่านก็ผางออกมาเลย คราวนี้
ฟาดถึง ๔๕ นาที เวลาท่านพูดนี้ไหลเลยนะ พุ่ง ๆ ๆ ตั้งแต่เริ่มต้นถึง ๔๕ นาที รวมแล้วกับคราวก่อน ๑๐ นาที
ก็เป็น ๕๕ นาที

นี่แหละที่ได้คุยกับท่านอย่างถึงใจทุกอย่าง โอ๋ย เหมือนคนทะเลาะกันนะ คือธรรมะของท่าน เทียบกับน้ำที่สะอาด
สุดยอด ขังไว้ในตุ่มใหญ่ หรือว่าในถังใหญ่นี้ ท่านไม่เคยเปิด เปิดออกมาที่ไหน ๆ ก็ไม่สมควรแก่น้ำประเภทนี้
ท่านก็ต้องปิดไว้อย่างนั้นตลอดมา ใครไปหาท่าน เกี่ยวข้องกับท่านที่จะเปิดน้ำถังนี้มันก็ไม่มี ท่านก็ปิดไว้อย่างนั้น ๆ
แหละ เหมือนกับว่าหูหนวกตาบอดไปกับเขา พอเราไปนี้ก็เรียกว่า เราเปิดก๊อกใหญ่ ว่างั้นเถอะ พอไปเปิดนี้ก้ไหลซ่า
ซัดกันนี้เอากันเต็มเหนี่ยวเลย ๔๕ นาที

พอจบลง ท่านขึ้นอีกนะ เอา ที่พูดไปทั้งหมดนี้ ถ้าท่านมหาเห็นว่ายังผิดอยู่ที่ตรงไหน คลาดเคลื่อนอยู่ที่ตรงไหน
ไม่เป็นที่ลงใจ เอ้า ให้ถามมา ท่านว่าอย่างงั้นนะ เอ้าให้ถามมา กระผมหาธรรมะประเภทนี้แหละเราว่างั้น ฟังเสียง
ท่านหัวเราะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ โห ตัวแดงหมดนะ ตัวท่านแดงหมด นั่นแหละธรรมที่ไม่เคยเปิด เข้าใจไหม พอเปิดนี้
ออกรอบด้านเลย ผึง ๆ ตัวแดงหมด พลังของธรรมพุ่ง ๆ ๆ ตัวแดงเหมือนคนโกรธ คนเคียดแค้นให้กันอย่างสุดขีด
ว่างั้นเถอะ

นี่แหละธรรมะออกอย่างสุดขีด ไม่มีกิเลสแม้เม็ดหินเม็ดทรายเข้าแทรกเลย มีแต่พลังธรรมล้วน ๆ ออกผาง ๆ ๆ
นี่แหละธรรมล้วน ๆ จะทำยังไงให้มีกิเลสก็ไม่มี ถ้ายังมีอยู่ ก็ไม่เรียกว่ากิเลสสิ้น เข้าใจไหม ทำยังไงก็ไม่มีกิเลส
ก็มีแต่ธรรมล้วน ๆ โอ๊ย ท่านหัวเราะลั่น ฮ่า ๆ ๆ ๆ อาจารย์องค์นั้นละได้คุยกันแล้วยัง คุยธรรมะประเภทนี้
แล้วอาจารย์องค์นั้นล่ะ ระบุชื่อ ๆ องค์ไหนที่เราได้คุยแล้วเราก็กราบเรียนท่าน ท่านว่าเป็นยังไงล่ะ เราก็กราบเรียนท่าน
ท่านก็เข้าใจ ๆ

องค์ไหนที่ไม่แน่ใจ เราก็บอกว่ายังไม่ได้คุยกันด้วยความสนิทสนม ก็ไปอย่างนั้นเสีย เราไม่ได้บอกว่ายังไม่ได้คุย
ยังไม่ได้สนิทสนม มีโอกาสพอจะคุยกันแล้วก็ผ่านไป ๆ โอ๊ย วันนั้นท่านดีใจสุดขีดนะ เพราะธรรมะประเภทนี้
ไม่เคยมีใครไปเปิดนี่นะ ท่านถึงออกเต็มเหนี่ยวเลย ตัวแดงหมด พุ่ง ๆ ๆ ดีไม่ดีเรียกว่าจะฟังไม่ทัน พุ่ง ๆ ๆ นั่นละ
ธรรมที่ท่านปิดเอาไว้ในถังใหญ่ที่สะอาดสุดยอด น้ำอันนี้จะไปชำระล้างสิ่งใดก็ไม่สมควรแก่น้ำนี้ ก็ต้องเก็บเอาไว้ ๆ
จะสงเคราะห์คนใดสั่งสอนคนใดก็ไม่สมควรแก่ธรรมประเภทนี้ ประหนึ่งว่าท่านเหมือนไม่มี ทีนี้พอเราไป จะเป็น
ประเภทไหนก็ไม่รู้ ใส่ก็ผางเข้าเลย ตีถังท่านเลย ถ้าท่านแตกก็เอาใหญ่เลย ใส่เปรี้ยง โอ๊ย วันนั้นท่านรื่นเริงจริง ๆ
รู้สึกว่ารื่นเริงสุดขีด ตัวนี้แดงหมดเลย นี่พลังของธรรมพุ่ง ๆ หัวเราะไม่หยุด ฮ่า ๆ ๆ เรื่อยทีเดียว ของเล่นเมื่อไร


 
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7871


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.126 Chrome 5.0.375.126


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #19 เมื่อ: 12 สิงหาคม 2553 18:18:13 »

ท่านพ่อลี ธัมมธโร
วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ

ตั้งแต่ได้พบท่าน (ท่านพ่อลี) ครั้งแรกมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ เพราะท่านผู้ดีหายาก คนผู้ดีหายาก พระที่ดีหายาก
ศาสดาคือพระพุทธเจ้า ยิ่งเป็นผู้ที่หายาก ตั้งกัป ๆ กัลป์ ๆ ก็ไม่ได้ปรากฎแก่โลกแม้พระองค์เดียว ท่านผู้สิ้นกิเลส
ที่เรียกว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ซึ่งเป็นที่ฝากเป็นฝากตายของชาวพุทธหรือเหล่าสัตว์ทั้งหลายก็เป็นสิ่งที่หายาก
เพราะไม่มีในที่ทั่วไปเหมือนสิ่งทั้งหลาย

ท่านพ่อลีท่านก็ได้อุตส่าห์พยายามบำเพ็ญคุณงามความดีเต็มเม็ดเต็มหน่วย ท่านมีนิสัยเด็ดเดี่ยวอาจหาญชาญชัยมาก
ในการประพฤติปฏิบัติ และท่านเคยเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่เริ่มแรกโน่น จนกระทั่งได้พลัดพราก
จากกันทั้งหลวงปู่มั่นและองค์ท่านเองก็เคยไปมาหาสู่กันเสมอ

เท่าที่ได้สังเกตในเวลาท่านไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่นที่วัดป่าหนองผือนั้น รู้สึกว่า หลวงปู่มั่นท่านแสดงอากัป
กิริยาเต็มไปด้วยความเมตตาอย่างมากมาย เห็นได้อย่างเด่นชัด แม้ท่านจะไม่ได้พักอยู่วัดป่าหนองผือเป็น
เวลานานก็ตาม แต่สถานที่ให้พักสำหรับท่านพ่อลีเรานี้ ท่านเป็นผู้สั่งเองว่า ให้ไปจัดที่นั้น ๆ คือในป่านอกบริเวณรั้ววัด
ให้ท่านพ่อลีได้พักสบาย ๆ เพราะสงัดดีกว่าที่อื่น ๆ คำว่าที่นั้น ๆ นั่นหมายถึงในป่าลึก ๆ โน่น แล้วก็สั่งผู้แสดงธรรม
(หลวงตา) อยู่เวลานี้ เป็นผู้ไปดูและจัดสถานที่ที่จะให้ท่านพัก หลังจากนั้นท่านยังตามไปดูสถานที่พักนั้นอีกด้วย

นี่ก็เป็นเหตุให้ประทับใจไม่ลืม และการให้โอวาทสั่งสอนใน ๒-๓ คืนที่ท่านพักนั้น รู้สึกว่าท่านประทับใจอย่างมาก
ทีเดียว เพราะครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน และป็นที่เมตตาเป็นที่ไว้วางใจของท่าน นาน ๆ จะได้ไปพัก
กับท่าน กราบนมัสการท่านครั้งหนึ่งและได้สนทนาธรรมกัน ท่านจึงได้สนทนากันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็ม
อรรถเต็มธรรมทุกขั้นตอนซึ่งยากที่จะหาฟังในเวลาอื่น ๆ

นี่ก็เป็นเหตุการณ์ไม่ให้ลืม เพราะหลวงปู่มั่นนั้นแสดงอาการอันใดออกมา ย่อมเต็มไปด้วยเหตุด้วยผลด้วยความหมาย
ที่ยึดเป็นคติได้ตลอดไป ไม่สักแต่ว่ากิริยาที่แสดงออกมาเท่านั้น แต่เต็มไปด้วยความหมาย นี้ท่านพ่อลีก็เป็นลูกศิษย์
องค์สำคัญองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่นเรา


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: ชาติสุดท้าย เพชรน้ำหนึ่ง วงการ กรรมฐาน หลวงตามหาบัว ธรรมะ ธรรม 
หน้า:  [1] 2   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
เสียงอ่าน ชีวประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เสียงธรรมเทศนา
หมีงงในพงหญ้า 18 13902 กระทู้ล่าสุด 01 ตุลาคม 2553 01:22:44
โดย หมีงงในพงหญ้า
เห็นด้วยปัญญา หลวงตามหาบัว
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 0 2272 กระทู้ล่าสุด 04 มกราคม 2554 13:32:13
โดย เงาฝัน
มิจฉาสมาธิ-สัมมาสมาธิ หลวงตามหาบัว
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 5 10405 กระทู้ล่าสุด 18 มกราคม 2554 08:44:25
โดย หมีงงในพงหญ้า
POST เพลินไปเลย{ชาติสุดท้าย}หลวงตามหา(บัว)
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
時々๛कभी कभी๛ 0 1749 กระทู้ล่าสุด 15 เมษายน 2554 20:24:04
โดย 時々๛कभी कभी๛
การ์ตูน ทศชาติชาดก 10 ชาติสุดท้าย เพื่อบำเพ็ญบารมี 10 ประการ ของพระโพธิสัตว์
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 0 2273 กระทู้ล่าสุด 28 มิถุนายน 2559 03:29:56
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.721 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 17 พฤศจิกายน 2567 01:08:01