สระน้ำใสสะอาดหน้าปากทางเข้าถ้ำ เป็นที่อยู่อาศัยของปลาหลากหลายพันธุ์
การแปรสภาพธรรมชาติในถ้ำ โดยการปั้นหรือแกะสลักหินเป็นพระพุทธรูป รูปเคารพอื่น
รวมถึงสัตว์หิมพานต์ เช่น กินนร-กินรี สิงห์ พญานาค ฯลฯ ที่มีอยู่มากมายภายในถ้ำเชียงดาว
ทำให้พวกเราและอนุชนคนรุ่นหลังไม่อาจสัมผัสสิ่งแวดล้อมภายในถ้ำที่เกิดขึ้นเอง
และเสื่อมสลายไปตามสภาวะปัจจัยที่เกื้อหนุนได้
ปากทางเข้าถ้ำแก้ว มีป้ายเขียนกำกับไว้ว่า "ห้ามเข้าโดยเด็ดขาด
หากไม่มีไกด์นำทาง เพราะอันตรายมาก"
เกือบสิ้นสุดเส้นทางที่อนุญาตให้เข้าชมถ้ำ ทางขวามือของทางเดิน
มีพระพุทธรูปปั้นประดิษฐานอยู่บนชั้นหินซึ่งสูงชัน
มีป้ายเขียนกำกับไว้ว่า
พระพุทธรูปนอนหงาย สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๐
ชื่อว่าพระมหากัสส์ปะ ปางไสยาสน์ เชื่อว่าช่างพม่า เป็นผู้สร้าง
หินลักษณะยาวๆ คล้ายคนนอนหงาย ปรากฏภายในถ้ำ
จะได้ไม่ต้องจินตนาการมาก จึงเกิดแนวคิดแกะสลักหินให้เป็นใบหน้าคนไปเสียเลย
ความชื้นสูงภายในถ้ำ ทำให้มีน้ำใสเย็นไหลผุดตามผนังถ้ำ
หยดน้ำจากเพดานสู่พื้นถ้ำ ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไป
เป็นอย่างนี้ตลอดทั้งปีไม่มีเหือดหาย ก่อให้เกิดปรากฏการณ์หินงอก หินย้อย
สวยงามตระการตาแก่ผู้เข้าชมเป็นอย่างมาก
ม่านถ้ำเกิดจากน้ำที่มีสารคาร์บอเนตสูงที่ไหลตามผนังที่เอียง ซึ่งเกิดจากแรงตึงผิวของน้ำ
เมื่อน้ำเกิดสูญเสียก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงทำให้เกิดการตกตะกอนของสารประกอบคาร์บอเนต
มีลักษณะเป็นแผ่นๆ ย้อยลงมาจากผนังถ้ำดูคล้ายม่าน บางแห่งจะมีสีน้ำตาลแดงสลับกับสีขาว
หรือเหลืองอ่อน มีชื่อเรียกเฉพาะว่าม่านเบคอน
สะพานคอนกรีตแข็งแรง สร้างข้ามธารน้ำภายในถ้ำ มีหลายสะพาน และบางสะพานสูงจนน่ากลัว
สิงห์ปูนปั้น จุดสิ้นสุดเส้นทางที่อนุญาตให้เข้าชม มองไปด้านในเห็นแต่ความมืดสนิท
ได้ทราบว่า เดินเข้าไประยะหนึ่ง จะมีธารน้ำขนาดใหญ่และลึกมากขวางกั้น
เดินต่อไปไม่ได้ จึงไม่ทราบว่าธารน้ำภายในถ้ำดังกล่าวนี้มีความยาวเท่าไร?
รูปปั้นกินรี ใกล้ปากทางในถ้ำ พื้นถ้ำส่วนนี้เป็นทางลาดต่ำ เป็นหินตะปุ่มตะป่ำ
แต่หากเดินไปสักครู่ จะปรากฏพื้นถ้ำเป็นดินทรายขาวสะอาด คิดว่ามีการนำมาทรายปูพื้นถ้ำ
ให้ผู้เข้าชมถ้ำเดินได้สะดวก แต่เจ้าหน้าที่เล่าว่า ทรายเหล่านี้ไหลมากับกระแสน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก
ซึ่งมีระดับสูงเกินเอวของผู้ใหญ่ น้ำจะท่วมขังเป็นเวลาหลายเดือน และเป็นอยู่อย่างนี้ทุกๆ ปี
ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว จะปิดถ้ำไม่อนุญาตให้เข้าชม
ศาสนสถานของวัดถ้ำเชียงดาว"สานเข่งกะหล่ำปลี" (อาชีพเสริมของชาวบ้านเชียงดาว)
ขายให้เกษตรกรผู้ปลูกผักกะหล่ำปลี ที่ปลูกกันมากในพื้นที่
นั่งกันหลังขดหลังแข็ง สานกันทั้งวี่ทั้งวัน ขายได้ใบละ 5 บาท สานได้วันละประมาณ 30-40 ใบ
* พวกขอตังค์พ่อแม่ทั้งหลาย ถ้าพ่อแม่ยังลำบากอย่างนี้ ก็เบาๆ การใช้เงินบ้างนะจ๊ะ