[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 พฤศจิกายน 2567 02:32:30 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่ : สัปปายะของอริยสงฆ์ กับประสบการณ์ลี้ลับของหลวงปู่แหวนฯ  (อ่าน 11572 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5767


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 06 มิถุนายน 2556 12:59:46 »

.





ถ้ำเชียงดาว
อำเภอเชียงดาว  จังหวัดเชียงใหม่
ถ้ำเชียงดาว อยู่ที่เชิงเขาดอยหลวงเชียงดาว ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ ๗๗ กิโลเมตร  

หากเดินทางจากเชียงใหม่โดยรถยนต์ไปยังอําเภอเชียงดาว  เมื่อได้ระยะทาง ๗๒ กิโลเมตรแล้ว ให้เลี้ยวซ้ายอีก ๕ กิโลเมตร จะถึงลานจอดรถขนาดใหญ่หน้าถ้ำ ซึ่งบริเวณรอบๆ ลานจอดรถมีร้านค้าขายสินค้าพื้นเมือง จำพวกของที่ระลึก เสื้อผ้า ผลผลิตทางการเกษตร สมุนไพรหายาก อาหาร และเครื่องดื่มจำนวนมากมายหลายสิบร้าน
 
ถ้ำเชียงดาว เป็นถ้ำที่น่าสนใจแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นถ้ำขนาดใหญ่และมีความลึกมาก ภายในถ้ำมีซอกหินสลับซับซ้อนเสมือนกั้นแบ่งพื้นที่เป็นห้องๆ เมื่อฉายไฟกระทบผนังหรือพื้นผิวถ้ำจะเห็นประกายระยิบระยับของหินงอกหินย้อยที่เป็นปรากฏการณ์เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ก่อให้เกิดจินตนาการเป็นรูปต่างๆ ได้มากมาย  

เสน่ห์อย่างหนึ่งของถ้ำเชียงดาวอยู่ตรงที่มีน้ำใสไหลเย็นจากเพดานถ้ำผุดออกมาตามผนัง และหยดจากเพดานลงสู่พื้นถ้ำ เป็นอย่างนี้ตลอดทั้งปีไม่มีเหือดหาย และก่อให้เกิดธารน้ำขนาดเล็กไหลมารวมกันเป็นสระน้ำที่บริเวณหน้าถ้ำ มีปลาน้อยใหญ่ว่ายวนไปมา ทำให้บรรยากาศสดชื่นและร่มรื่น



  ถ้ำเชียงดาวเป็นถ้ำขนาดใหญ่ มีชั้นหินงอกหินย้อยและหลืบถ้ำมากมาย อาจทำให้นักท่องเที่ยวซึ่งไม่ทราบลักษณะภูมิประเทศอาจพลัดหลงหายไปได้ ทางวัดถ้ำเชียงดาวจึงจัดให้มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก บริการพาเดินชมภายในถ้ำและให้ความรู้ความเข้าใจ โดยจ่ายค่าบริการ 100 บาท

เส้นทางชมถ้ำ แบ่งเป็น 3 เส้นทางดังนี้
   - เส้นทางแรก คือ ถ้ำพระนอน เส้นทางนี้ยาว 360 ม.
   - เส้นทางที่ 2 คือ ถ้ำแก้ว ถ้ำน้ำ ยาว 734 ม.
   - เส้นทางที่ 3 คือ ถ้ำมืด ถ้ำม้า ยาว 735 ม.

สองเส้นทางหลังนี้ไม่มีไฟฟ้า ถ้าต้องการเดินชมจะมีคนนำทางและส่องตะเกียงให้ ภายในแต่ละถ้ำต่างมีความงามจากหินงอกหินย้อยที่มีชื่อเรียกตามลักษณะรูปทรงที่ปรากฏ เช่น หินโคมไฟเทวดา หินดอกบัวบาน หินมือยักษ์ หินดอกบัวพันชั้น โดยเฉพาะภายในถ้ำแก้ว เมื่อยามกระทบแสงสว่างนั้นดูงดงามตระการตา เพราะจะเห็นเป็นแสงระยิบระยับคล้ายประกายของเพชรเลยทีเดียว






สระน้ำใสสะอาดหน้าปากทางเข้าถ้ำ เป็นที่อยู่อาศัยของปลาหลากหลายพันธุ์








การแปรสภาพธรรมชาติในถ้ำ โดยการปั้นหรือแกะสลักหินเป็นพระพุทธรูป รูปเคารพอื่น
รวมถึงสัตว์หิมพานต์ เช่น กินนร-กินรี สิงห์ พญานาค ฯลฯ  ที่มีอยู่มากมายภายในถ้ำเชียงดาว
ทำให้พวกเราและอนุชนคนรุ่นหลังไม่อาจสัมผัสสิ่งแวดล้อมภายในถ้ำที่เกิดขึ้นเอง
และเสื่อมสลายไปตามสภาวะปัจจัยที่เกื้อหนุนได้


ปากทางเข้าถ้ำแก้ว มีป้ายเขียนกำกับไว้ว่า "ห้ามเข้าโดยเด็ดขาด
หากไม่มีไกด์นำทาง เพราะอันตรายมาก"


เกือบสิ้นสุดเส้นทางที่อนุญาตให้เข้าชมถ้ำ ทางขวามือของทางเดิน
มีพระพุทธรูปปั้นประดิษฐานอยู่บนชั้นหินซึ่งสูงชัน
มีป้ายเขียนกำกับไว้ว่า พระพุทธรูปนอนหงาย สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๐
ชื่อว่าพระมหากัสส์ปะ ปางไสยาสน์ เชื่อว่าช่างพม่า เป็นผู้สร้าง


หินลักษณะยาวๆ คล้ายคนนอนหงาย ปรากฏภายในถ้ำ


จะได้ไม่ต้องจินตนาการมาก จึงเกิดแนวคิดแกะสลักหินให้เป็นใบหน้าคนไปเสียเลย


ความชื้นสูงภายในถ้ำ ทำให้มีน้ำใสเย็นไหลผุดตามผนังถ้ำ


หยดน้ำจากเพดานสู่พื้นถ้ำ ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไป
เป็นอย่างนี้ตลอดทั้งปีไม่มีเหือดหาย ก่อให้เกิดปรากฏการณ์หินงอก หินย้อย
สวยงามตระการตาแก่ผู้เข้าชมเป็นอย่างมาก
 

ม่านถ้ำเกิดจากน้ำที่มีสารคาร์บอเนตสูงที่ไหลตามผนังที่เอียง ซึ่งเกิดจากแรงตึงผิวของน้ำ
เมื่อน้ำเกิดสูญเสียก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงทำให้เกิดการตกตะกอนของสารประกอบคาร์บอเนต
มีลักษณะเป็นแผ่นๆ ย้อยลงมาจากผนังถ้ำดูคล้ายม่าน บางแห่งจะมีสีน้ำตาลแดงสลับกับสีขาว
หรือเหลืองอ่อน มีชื่อเรียกเฉพาะว่าม่านเบคอน


สะพานคอนกรีตแข็งแรง สร้างข้ามธารน้ำภายในถ้ำ มีหลายสะพาน และบางสะพานสูงจนน่ากลัว


สิงห์ปูนปั้น จุดสิ้นสุดเส้นทางที่อนุญาตให้เข้าชม มองไปด้านในเห็นแต่ความมืดสนิท
ได้ทราบว่า เดินเข้าไประยะหนึ่ง จะมีธารน้ำขนาดใหญ่และลึกมากขวางกั้น
เดินต่อไปไม่ได้ จึงไม่ทราบว่าธารน้ำภายในถ้ำดังกล่าวนี้มีความยาวเท่าไร?


รูปปั้นกินรี ใกล้ปากทางในถ้ำ พื้นถ้ำส่วนนี้เป็นทางลาดต่ำ เป็นหินตะปุ่มตะป่ำ
แต่หากเดินไปสักครู่ จะปรากฏพื้นถ้ำเป็นดินทรายขาวสะอาด คิดว่ามีการนำมาทรายปูพื้นถ้ำ
ให้ผู้เข้าชมถ้ำเดินได้สะดวก แต่เจ้าหน้าที่เล่าว่า ทรายเหล่านี้ไหลมากับกระแสน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก  
ซึ่งมีระดับสูงเกินเอวของผู้ใหญ่ น้ำจะท่วมขังเป็นเวลาหลายเดือน และเป็นอยู่อย่างนี้ทุกๆ ปี
ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว จะปิดถ้ำไม่อนุญาตให้เข้าชม


ศาสนสถานของวัดถ้ำเชียงดาว






















"สานเข่งกะหล่ำปลี" (อาชีพเสริมของชาวบ้านเชียงดาว)
ขายให้เกษตรกรผู้ปลูกผักกะหล่ำปลี ที่ปลูกกันมากในพื้นที่
นั่งกันหลังขดหลังแข็ง สานกันทั้งวี่ทั้งวัน ขายได้ใบละ 5 บาท สานได้วันละประมาณ 30-40 ใบ
* พวกขอตังค์พ่อแม่ทั้งหลาย ถ้าพ่อแม่ยังลำบากอย่างนี้ ก็เบาๆ การใช้เงินบ้างนะจ๊ะ   

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 กันยายน 2558 13:47:09 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5767


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2556 15:20:07 »

.

 
หลวงปู่แหวน  สุจิณโณ

ถ้ำเชียงดาว อยู่ในเขตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย  มีสภาพแวดล้อมเป็นภูเขาสูง ปกคลุมด้วยป่าไม้หลากหลายชนิด ทั้งป่าไม้เศรษฐกิจ และป่าเบญจพรรณ ทำให้บริเวณดังกล่าว มีความชุ่มชื้นในอากาศสูง อำนวยให้เกิดต้นแม่น้ำสำคัญหลายสาย  โดยเฉพาะบนยอดดอยมีฝนตกชุกตลอดปี อากาศไม่หนาวจัดมาก ท้องฟ้าแจ่มใสมีแดดตลอดวัน มีหมอกลงบ้างในตอนเช้า

จากสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติและอุณหภูมิที่เหมาะสมดังกล่าวแล้ว จึงมีพระอริสงฆ์สำคัญหลายรูป เดินทางมุ่งสู่ถ้ำเชียงดาว ด้วยเห็นเป็น "สัปปายะ" สถานที่สบาย  เกื้อกูลแก่การบำเพ็ญและประคับประคองรักษาสมาธิเป็นอย่างดี

ดังประสบการณ์ทางจิตอันเร้นลับส่วนหนึ่งของหลวงปู่แหวน  สุจิณโณ ขณะจาริกไปแสวงธรรม ณ ถ้ำเชียงดาว อำเภอเชียงดาว  จังหวัดเชียงใหม่ ดังนี้


หลวงปู่แหวนผจญเปรตถ้ำเชียงดาว
ในระหว่างพรรษา วันหนึ่งประมาณ ๕ โมงเย็น หลวงปู่แหวนกำลังเดินจงกรมอยู่ ก็มีเสียงดังโครมครามเหมือนกิ่งไม้ใหญ่หักลงมา จึงหันไปมอง เห็นเป็นสัตว์ร่างใหญ่ร่างหนึ่ง เอาเท้าเกาะอยู่บนกิ่งไม้ห้อยหัวลงมา มีผมยาวรุงรัง เสียงร้องโหยหวน หลวงปู่บอกว่า ท่านไม่ได้นึกกลัวและไม่ได้ให้ความสนใจ ยังคงเดินจงกรมต่อไป เมื่อร่างนั้นเห็นว่าหลวงปู่ไม่สนใจก็หนีหายไป สองสามวันต่อมาก็มาปรากฏอีก แต่หลวงปู่ก็เดินจงกรมโดยไม่สนใจ   หลังจากนั้นจึงมาปรากฏตัวให้เห็นทุกเย็น แต่ไม่เข้ามาใกล้หลวงปู่ คงแสดงอาการเหมือนเดิมทุกครั้ง

วันหนึ่ง หลวงปู่ได้กำหนดจิตถามไปว่า ที่มานั้นต้องการอะไร ทีแรกเขาทำเฉยเหมือนไม่เข้าใจ  หลวงปู่จึงกำหนดจิตถามอีก  เขาจึงบอกว่าต้องการมาขอส่วนบุญหลวงปู่

จึงกำหนดจิตถามต่อไปว่า เขาเคยทำกรรมอะไรมา จึงต้องมาทุกข์ทรมานอยู่ในสภาพเช่นนี้ ร่างนั้นได้เล่าถึงบุพกรรมของเขาว่า เขาเคยเป็นคนอยู่ที่เชียงดาวนี้ มีอาชีพลักขโมยและปล้นเขากิน ก่อนไปปล้น เขาจะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอพรและขอคุ้มครองกับพระพุทธรูปองค์หนึ่งในถ้ำ เขาทำอย่างนี้ทุกครั้ง และก็แคล้วคลาดตลอดมา
 
อยู่มาวันหนึ่ง เขาไปขอพรพระพุทธรูปแล้วออกไปปล้นเช่นเคย บังเอิญเจ้าของบ้านรู้ตัวก่อน จึงเตรียมต่อสู้ เขาถูกเจ้าของบ้านฟันบาดเจ็บสาหัส จึงหนีตายเอาตัวรอดมาได้ ด้วยความโมโหว่าพระไม่คุ้มครอง เขาจึงกลับไปที่ถ้ำเชียงดาวแล้วเอาขวานทุบเอาเศียรพระพุทธรูป จนคอหัก  ขณะเดียวกัน ก็ยังคุมแค้นอยู่ ตั้งใจว่า บาดแผลหายแล้ว จะกลับไปแก้แค้นเจ้าของบ้านให้ได้ เผอิญบาดแผลที่ถูกฟันนั้นสาหัสมาก เขาจึงต้องตายในเวลาต่อมา

วิญญาณเขาจึงต้องมาเป็นเปรตทนทุกข์ทรมานอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้  จึงได้พยายามมาขอส่วนบุญ เพื่อให้พระท่านช่วยแผ่ให้ จะได้คลายความทุกข์ทรมานลงไปได้บ้าง  

หลวงปู่แหวนท่านเล่าว่า บุพกรรมของเปรตตนนั้น หนักมากเหลือเกิน ท่านได้รวบรวมจิต อุทิศบุญกุศลไปให้  ตั้งแต่นั้นมา ร่างนั้นก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีก แต่จะได้รับบุญกุศลเพียงใดขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง  หลวงปู่บอกว่า เปรตตนนั้นเป็นเปรตสมัยใหม่ เพราะใช้คำแทนตัวเขาเองว่า “ผม” แต่เปรตตนอื่นๆ ที่หลวงปู่เคยพบมา จะใช้คำแทนตนว่า “เรา” หรือ “ข้าพเจ้า” จึงนับว่าเปรตตนนี้ เป็นเปรตสมัยใหม่


พญานาคในถ้ำเชียงดาว
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เล่าถึงถ้ำเชียงดาว ว่า มีพญานาคอาศัยอยู่ถ้ำเชียงดาว  ต้องแยกขึ้นไปทางซ้ายมือ อยู่เหนือถ้ำหลวงเล็กน้อย  พื้นถ้ำมีก้อนหินเป็นรูปกงจักรกับดอกบัว มีพญานาคเฝ้าอยู่ภายใต้แผ่นหินนี้ เวลามีพระเข้าไปภาวนาภายในถ้ำเชียงดาว ท่านแทบกระดุกกระดิกตัวไม่ได้เลย เป็นต้องถูกพญานาคกล่าวโทษทันทีว่า สมณะอะไร ช่างไม่สำรวม คะนองกายเหมือนเด็กๆ ถ้าเดินไปสะดุดเอาก้อนหินดังกรอกแกรก เขาก็จะกล่าวโทษว่า สมณะอะไร จะเดินจะเหินไม่สำรวมระวัง รีบไปรีบมาเหมือนม้าแข่ง ไม่ว่าพระจะทำอะไร ต้องสำรวมทุกอิริยาบถ ถึงอย่างนั้นก็ไม่วายจะถูกตำหนิติเตียน  พญานาคนี้มีอัธยาศัยชอบพอกับ พระมหาบุญ ถ้าพระมหาบุญเข้าไปอยู่ในถ้ำนั้น ไม่ว่าท่านจะทำอะไร เช่น ทำเสียงกระแอมกระไอ เดินเสียงดัง ทำก้อนหินหล่น เธอก็เฉย ไม่แสดงกิริยาอะไรต่อต้าน เพราะมีจริตเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่มีพระองค์ใดเข้าไปอยู่ในถ้ำนั้นได้นาน เพราะในถ้ำมีช่องให้อากาศเข้าไปทางเดียว คือทางปากถ้ำ เมื่อพระเข้าไปอยู่ข้างในแล้ว ทำให้อึดอัด หายใจไม่สะดวก เพราะอากาศภายนอกเข้าไปแทบไม่ได้เลย  ยกเว้น หลวงปู่มั่นองค์เดียว ที่ท่านเข้าไปอยู่ในถ้ำนั้นได้นานเป็นวันๆ หลวงปู่มั่นเคยเทศแนะนำพญานาค แต่เธอไม่ยอมรับคำแนะนำ เพราะยังอาลัยอัตภาพปัจจุบันของตนอยู่ ในที่สุดท่านเห็นว่า เข้าไปทำความรำคาญให้แก่เธอจึงไม่เข้าไปในถ้ำนั้นอีกเลย

ที่ถ้ำพญานาคนี้ (ถ้ำเชียงดาว) หลวงปู่แหวนเข้าไปอยู่ ๑ วัน หลวงปู่ตื้อเข้าไปอยู่ ๓ วัน แต่ละองค์ที่เข้าไปอยู่ ต่างถูกพญานาคตำหนิกล่าวโทษเอาทั้งสิ้น พระท่านอยู่ไม่ได้เพราะส่งจิตออกไปดูทีไร เห็นพญานาคคอยจ้องหาเรื่องตำหนิพระอยู่ตลอดเวลา เมื่อพระต่างองค์ต่างเห็นว่า ถ้าเข้าไปแล้วจะทำให้พญานาคสร้างบาปหนักเข้าไปอีก จึงได้ช่วยเหลือเธอด้วยการไม่เข้าไปรบกวนในที่ที่อยู่ของเธออีกต่อไป  



พระเจดีย์ ๒๕ ยอด (The twenty five top Pagoda)
สร้างในสมัยฤาษีอุคันธะ ชาวไทยใหญ่ มาจากเมืองลายข้า
เขตชาน สเตทต์ เหนือประเทศพม่า สร้างในปี พ.ศ. ๒๔๕๖
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 กันยายน 2558 13:57:06 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
nazhours
มือใหม่หัดโพสท์กระทู้
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 1


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 27.0.1453.110 Chrome 27.0.1453.110


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2556 19:10:22 »

มีโอกาสต้องไปไหว้ซะแล้วละจร้า ตกหลุมรัก
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.356 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 20 พฤศจิกายน 2567 08:21:28