แม่นาคพม่า (ผีนางมะขิ่น) เรื่องเล่าสยองขวัญของชาวพม่าณ หมู่บ้านเล็กๆในเขตเมืองมะละแหม่งแห่งหนึ่ง (เมืองมะละแหม่งนี่บางแห่งบอกว่าเป็นเมืองมอญ) มีพ่อค้าหนุ่มคนหนึ่งชื่อ "หม่องวิน" ผู้สืบทอดอาชีพพ่อค้ามาจากบิดา หม่องวินมีภรรยาสาวสวย ที่ชายอื่นในหมู่บ้านยังอิจฉา ชื่อมะขิ่น
มารดาของหม่องวินอาศัยอยู่ต่างหมู่บ้านกับหม่องวินและมะขิ่น เป็นผู้มีฐานะค่อนข้างดี ถ้าเทียบกับเพื่อนบ้าน
งานของหม่องวินคือ พ่อค้า ต้องเดินทางเป็นคาราวานไปต่างเมืองอยู่บ่อยๆ ไม่ค่อยได้อยู่บ้านว่างั้น มะขิ่นเองก็ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านอยู่เฝ้าบ้านระหว่างที่สามีไม่อยู่เป็นอย่างดี
สภาพครอบครัวแบบนี้จัดว่ามีความสุขไม่น้อย แต่อยู่มาวันหนึ่งทุกสิ่งก็ผันแปรไปสิ้น
คราวหนึ่ง เมื่อหม่องวินต้องเดินทางไปต่างเมืองเป็นระยะเวลานาน ทางหมู่บ้านก็เกิดโรคระบาดขึ้น มะขิ่นก็ล้มเจ็บไปกับเขาด้วย ทางบ้านแม่สามีก็ไม่ได้มาดูแล นี่ถ้าหม่องวินไม่ได้ไปต่างเมือง ก็คงจะได้อยู่ดูแลมะขิ่นไปแล้ว แต่ในเมื่อไม่อยู่ มะขิ่นก็ล้มเจ็บลงเรื่อยๆจนเสียชีวิตในที่สุด โดยที่หม่องวินที่อยู่ต่างเมืองไม่รู้ข่าวอะไรเลย ว่าที่หมู่บ้านเกิดโรคระบาดขึ้น และภรรยาก็เสียชีวิตลงแล้ว เมื่อมะขิ่นเสียชีวิต เพื่อนบ้านญาติสนิทรวมทั้งแม่สามีก็ต่างพากันเศร้าโศรกสงสารทั้งมะขิ่นและหม่องวินเป็นอย่างมาก
พอมะขิ่นตายไป เพื่อนบ้านของทั้งหมู่บ้านของมะขิ่น และหมู่บ้านของสามี (ที่แม่สามีอาศัยอยู่) ต่างก็เจอความเฮี้ยนของผีนางมะขิ่นกันเป็นแถบ
รายแรกเลย เพื่อนของมะขิ่น กำลังนั่งพับผ้าอยู่ในบ้านคนเดียวกลางดึก (ลองนึกภาพไปเรื่อยๆนะครับ) บ้านเป็นกระท่อมมุงฟาง ไฟฟ้ายังไม่มี มีแค่เทียนเล่มเดียวให้แสสลัวๆ หญิงคนนั้นนั่งพับผ้าไปใจก็พะวงไป ว่ามะขิ่นกับเราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่ ไม่แน่ว่าดึกๆแบบนี้เขาอาจจะมาหาเราก็ได้ ดังนั้นรีบพับผ้าให้เสร็จแล้วรีบเข้านอนดีกว่า
ที่ไหนได้ พับกำลังจะเสร็จแล้วแท้ ก็ได้ยินเสียงเรียกจากข้างๆฝาบ้าน เสียงมาจากข้างนอก แต่ฝาบ้านเป็นฝาง ได้ยินเสียงชัดแจ๋ว
เสียงนั้นเย็นมากๆ พูดว่า "เพื่อนเอ๋ย... เปิดประตูให้เราเข้าไปหน่อยสิ" หญิงคนนั้นรู้แล้วว่าเจออะไร แต่ก็พยายามหวังว่าจะไม่เป็นอย่างที่คิด ก็เลยถามกลับไปว่า "นั่นใครเล่า" เสียงนั้นตอบกลับมาว่า "เรา...มะขิ่นไง" เจอเข้าไปอย่างนี้ ใครเล่าจะทนไหว หญิงคนนั้นรีบตะโกนตอบไปว่า "มะขิ่นเหรอ เรากลัวแล้ว อย่ามารบกวนเราเลย" แล้วรีบคลุมโปงเป็นการใหญ่ พอรุ่งเช้าก็ย้ายออกจากมู่บ้านไปเลย
รายอื่นๆ (หนังสือไม่ได้กล่าวโดยละเอียด) ก็เช่น เดินผ่านหน้าบ้านมะขิ่น ก็เจอมะขิ่นนั่งอยู่บนบ้าน
เพื่อนบ้านข้างเปิดหน้าต่างออกมาตอนกลางคืนเพราะร้อน (เป็นผม ทนร้อนดีกว่า) ก็เจอเข้ากับมะขิ่นเต็มๆ ยืนอยู่ที่หน้าตางบ้านมะขิ่น แสยะยิ้มให้อีกแนะ ฯลฯ เรียกว่าทั้งคนทั้งหมู่บ้านมะขิ่นและหมู่บ้านสามีเจอหลอกกันถ้วนหน้า จนไม่มีใครทนได้ พากันย้ายออกไปหมด หมู่บ้านของมะขิ่นนั้นร้างไปเลย ส่วนหมู่บ้านของหม่องวิน เหลืออยู่เพียงครอบครัวของแม่หม่องวินเท่านั้นที่ยังอดทนกับการหลอกหลอนต่างๆนาๆของผีนางมะขิ่นต่อไป เพราะต้องรอการกลับมาของลูกชายที่ขณะนี้กำลังค้าขายอยู่ต่างเมือง และยังไม่ได้รู้ข่าวว่าเมียตายกลายเป็นผีเที่ยวหลอกชาวบ้านไปแล้ว
เมื่อได้ข่าวว่าขบวนคาราวานของลูกชายจะกลับมาแล้ว
และตามเส้นทางนั้นต้องแวะหมู่บ้านของมะขิ่นก่อนที่จะมายังหมู่บ้านของตน ทางบ้านแม่สามีก็ตกลงกันว่า จะไปดักรออยู่ที่ต้นทาง เพื่อไม่ให้หม่องวินได้พบเจอกับมะขิ่นได้ และจะได้ย้ายบ้านไปเมืองหลวงด้วยกันทั้งครอบครัวไม่กลับมาที่แถบนี้อีกเลย แต่ปรากฏว่า ผีนางมะขิ่นเองก็ดูเหมือนจะรู้แผนการของแม่สามี จึงไปดักที่ต้นทางยิ่งกว่าที่พวกแม่สามีไปดักรออยู่ เมื่อขบวนคาราวานผ่านมา ขบวนคาราวานทั้งหมดรวมทั้งหม่องวินต่างก็เห็นนางมะขิ่น(แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นผี) หม่องวินเห็นเมียรักออกจากหมู่บ้านมารับไกลถึงนี่ก็ดีใจ (ความจริงน่าจะเอะใจนะ) เมื่อมะขิ่นชวนกลับบ้าน หม่องวินก็ไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง รีบตามภรรยากลับไปบ้านทันที
เมื่อขบวนคาราวานเดินทางต่อมาจนถึงจุดที่พวกแม่หม่องวินดักรออยู่ แม่หม่องวินตกใจมากที่ขบวนคาราวานไม่มีลูกชายของตน
จึงถามนายกองคาราวานว่า หม่องวินไปไหนเสียแล้ว ก็ได้รับคำตอบที่ตนไม่อยากฟังที่สุด ก็คือ "นังมะขิ่นก็คว้าตัวกลับเรือนไปแล้วเมื่อตะกี้" แม่หม่องวินจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้นายกองฟัง และขอให้นายกองไปตามตัวลูกชายกลับมาให้ที นายกองก็รีบวิ่งแจ้นไปยังเรือนของมะขิ่น เมื่อไปถึงก็พบหม่องวินกำลังนั่งคุยกับมะขิ่นอยู่ (เป็นผมเผ่นแน่บไปแล้ว)
นายกองจึงรีบตะโกนตั้งแต่ยังไม่ขึ้นบ้านเลยว่า "นายๆ แม่นายบอกให้นายไปหาโดยด่วนแนะ" หม่องวินที่ยังไม่รู้ว่ามะขิ่นเป็นผี ก็บอกว่า "กำลังอยู่กับหญิงคนรักอยู่ ไปบอกแม่นะว่าเดี๋ยวไป" นายกองจึงซุบซิบกับหูหม่องวินว่า "ฟังก่อนนะนาย นังมะขิ่นมันเป็นผี" หม่องวินได้ฟังดังนั้นก็ตวาดนายกองว่าบ้าหรือไง แล้วไล่นายกองก็ไปแต่โดยดี (เพราะไม่อยากอยู่เหมือนกัน อยู่ห่างกับผีชนิดที่เรียกว่าจับตัวกันได้เลยนะนั่น)
คืนนั้นเอง หม่องวินก็กินข้าวกับเมีย ที่ไม่รู้ว่าเป็นผี ตอนกำลังกินแรกๆก็ไม่มีอะไร แต่พอเอื้อมมือไปจับมือเมีย
ก็พบว่ามือเมียเย็นเฉียบ แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรมาก ทีนี้พอกินไปสักพัก หม่องวินก็ได้กลิ่นสาบแปลกมาจากตัวเมีย พอกำลังจะถามเมียว่ากลิ่นอะไร เทียนดับครับ พอจุดไฟขึ้นมาอีกรอบ หม่องวินถึงกับผงะ เพราะสภาพของเมียดูแปลกๆไป จากที่เคยสวยใส ใยตอนนี้ ตากลับโปนโตปานว่าจะถลนออกมานอกเป้า แก้มอวบเหมือนคนอ้วน ปากก็เผยอออกมาจนเห็นฝัน น้ำลายไหลติ๋งๆเลย ผิวหน้าผิวกายดำเหมือนศพเน่า แต่หม่องวินก็ยังไม่ได้เผ่น ถามเมียว่า ทำไมเอ็งดูแปลกๆไป มะขิ่นก็ถามกลับมาว่าแปลกตรงไหน แต่ยังไม่ทันที่หม่องวินจะพูดอะไรต่อ ก็ทำช้อนตกลงไปใต้ถุน (มือคงสั่นมั้ง) ก็เลยจะลงไปเก็บ แต่มะขิ่นกลับพูดว่า "พี่วินไม่ต้องไปเก็บหรอก เดี๋ยวมะขิ่นเก็บให้"
และก็ปล่อยลิ้นยาวๆผิดมนุษย์ จากชั้นสองลงไปตวัดช้อนที่ใต้ถุนกลับมาให้สามี
เท่านั้นแหละ หม่องวินตะโกนเลยว่า "โอ้ย นี่มะขิ่นเป็นผีอย่างที่เขาว่าจริงๆนี่"
แล้วกระโดดลงจากเรือน เร่งฝีเท้าเต็มที่เพื่อไปให้ถึงบ้านมารดาซึ่งอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยมีเสียงมะขิ่นตะโกนไล่หลังมาอย่างเย็น "พี่วินจะไปไหน... รอมะขิ่นด้วย..." เท่านั้นไม่พอ ยังหายตัวมาดักหน้าสามีอยู่เป็นระยะๆ จนต้องโดดหลบหลายรอบต่อหลายรอบ เมื่อวิ่งมาถึงหน้าบ้านแม่ ก็รีบตะโกนเรียกแม่ให้ออกมาเปิดประตูให้
แม่หม่องวินก็ได้ยินเสียงลูกชายเรียก แต่ขณะเดียวกับก็ได้ยินเสียงมะขิ่นด้วย "กูจะตายกับผัวกูตรงนี้ ใครกล้าออกมาช่วยก็ลองดู" บ้านหม่องวินมีคนอยู่เกือบสิบคน แต่ก็ไม่มีใครกล้าออกมาช่วยเลย แม่หม่องวินได้ยินเสียงลูกเรียกอีกหลายครั้งจนเงียบไป พอรุ่งเช้าทุกคนถึงกล้าออกมาดู และพบว่าหม่องวินเสียชีวิตเป็นศพนอนแข็งทื่อแล้ว ทางบ้านหม่องวินจึงต่างพากันเศร้าโศรกเสียใจ และรีบย้ายไปอยู่เสียในเมืองหลวง โดยไม่กลับมาพื้นที่แถบนั้นอีกเลย หมู่บ้านของทั้งหม่องวินและมะขิ่นจึงถูกทิ้งร้างอยู่อย่างนั้น วันดีคืนดีมีคนผ่านไป ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังออกมาจากในหมู่บ้านว่า "พี่วินออกมาเถอะ มะขิ่นไม่ทำร้ายท่านหรอก" และได้ยินเสียงผู้ชายตอบเสียงผู้หญิงนั้นว่า "ไปให้พ้น ข้าเกลียดเอ็ง"
ในหนังสือบอกว่า เรื่องนี้ยังมีการเล่าปากต่อปากอยู่ในพม่าอยู่ ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานมากแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงเกรงกลัวผีนางมะขิ่นกันอยู่ หนังสือบอกไว้อย่างนั้น ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า