ฉะนั้นในเวลาที่งานศพอยู่ในบ้าน เราจึงนิมนต์พระมาเทศน์
การนิมนต์พระมาเทศน์ก็เท่ากับว่า เราเชิญหมอมาช่วยรักษาโรคทางใจของเรานั่นเอง
เพราะ ว่าพระธรรมคำสั่งสอนนี้เป็นยารักษาโรคทางใจ
พระผู้มีพระภาคของเราทรงค้นพบแล้ววางไว้เป็นบทเป็นแบบ เพื่อให้เรานำมาใช้แก้โรคทางใจ
เราก็ไปหาหมอคือพระให้ช่วยบอกยาให้แก่เรา เราจึงได้ฟังธรรมเทศนาในขณะที่อยู่ในงานศพ
การกระทำในรูปเช่นนั้น ก็เป็นการศึกษาไปในตัวเป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว
แล้วก็เป็นการเผยแผ่ธรรมะไปในตัว เพราะในงานศพมีคนหลายพวกหลายเหล่ามาชุมนุมกัน
เมื่อเขามาแล้วอย่าให้เขาไปเปล่า ให้เขาได้อะไร ๆ กลับไปบ้านตามสมควรแก่ฐานะ
การกระทำอย่างนี้จึงนับว่าเป็นประเพณีที่ดีงาม อันเราทั้งหลายได้กระทำกันอยู่
ความ จริงในงานศพทั่ว ๆ ไปนั้น เราควรจะมุ่งเผยแผ่ธรรม ปฏิบัติธรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ไม่ควรจะมีสิ่งเหลวไหลเข้ามาเจือปนในงานศพ เช่น
ความสนุกไม่เข้าเรื่อง หรือเลี้ยง หรือว่าการเล่นในเรื่องที่ไม่ควรจะเล่น
อันนี้เป็นเรื่องทำลายเศรษฐกิจที่ไม่ได้ประโยชน์ทางใจ
เรา ควรจะมุ่งเอางานศพนั้นเป็นสถานที่ที่เป็นวัตถุสำหรับศึกษา
เพื่อให้เกิดปัญญาเกิดความรู้แจ้งชัดในเรื่องของชีวิตของเราเอง ตามความเป็นจริง
อันนี้เป็นการชอบการควรประการหนึ่ง โดย พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
ที่มา : dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4298http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=11-2009&date=24&group=1&gblog=232 อนุโมทนาสาธุ.. ที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ