พรัดพราก
ใน{เอกาทสนิบาต}คาถาว่า.....{กลฺยาณมิตฺตตา} เป็นต้นเป็น
คาถาของ{พระกีสาโคตมีเถรี}มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้....................................
ได้ยินว่าพระเถรีรูปนี้ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า{ปทุมุตตระ}
ก็บังเกิดในเรือนสกุลกรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้ววันหนึ่งฟังธรรม
ในสำนักพระศาสดาเห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะ เป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้ทรงจีวรปอนก็สร้างสมกุศลให้ยิ่ง ๆ
ขึ้นไปท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัปล์ในพุทธุปบาทกาลนี้ก็
บังเกิดในสกุลเข็ญใจ{กรุงสาวัตถี}ชื่อของนางว่า{โคตมี}แต่เพราะตัวผอม
เขาจึงเรียกว่า กีสาโคตมีนางไปมีสามีบิดามารดาและญาติดูหมิ่นว่าเป็น
ลูกสาวของสกุลเข็ญใจนางคลอดลูกชายออกมาคนหนึ่งเพราะได้ลูกชาย
บิดามารดาและญาติก็ทำสัมมานะยกย่องนางแต่ลูกชายนางก็ตายเสียขณะที่
วิ่งเล่นได้ด้วยเหตุนั้นนางจึงเกิดบ้าเพราะความเศร้าโศก
นางคิดว่าเมื่อก่อนเราถูกดูหมิ่นนับตั้งแต่ลูกชายเราเกิดก็ได้รับ
ยกย่องคนเหล่านี้พยายามจะทิ้งลูกชายเราไว้ข้างนอกจึงอุ้มร่างลูกชายที่ตาย
แล้วไปโดยความบ้าเพราะความเศร้าโศกตระเวนไปในนครตามลำดับ
ประตูเรือนโดยกล่าวขอร้องว่าขอท่านโปรดให้ยาแก่ลูกชายของข้าด้วยเถิด
ผู้คนทั้งหลายบริภาษด่าว่าจะเอายาแก้ตายมาแต่ไหนนางก็ไม่เชื่อคำของ
คนเหล่านั้นครั้งนั้นชายบัณฑิตผู้หนึ่งคิดว่าหญิงคนนี้จิตฟุ้งซ่านเป็น
บ้าเพราะโศกเศร้าถึงลูกชายพระทศพลเท่านั้นคงจักทรงรู้จักยาสำหรับหญิง
คนนี้จึงกล่าวว่า แม่คุณไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วทูลถามถึงยาสำหรับ
ลูกชายของแม่นางสินางไปพระวิหารเวลาพระศาสดาทรงแสดงธรรมทูล
ถามว่าข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดทรงประทานยาสำหรับลูกชายของ
ข้าพระองค์ด้วยเถิดพระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยของนางจึงตรัสว่าไปสิ
เข้าพระนครเรือนหลังใดไม่เคยมีคนตายจงนำเมล็ดผักกาดจากเรือนหลัง
นั้นมานางรับพระพุทธดำรัสว่า ดีละพระเจ้าข้า ดีใจก็เข้าพระนครไปในเรือน
หลังแรกพูดว่า พระศาสดาโปรดให้ข้านำเมล็ดผักกาดไปเพื่อทำยา
สำหรับลูกชายของข้าถ้าในเรือนหลังนี้ไม่เคยมีใคร ๆ ตายโปรดให้
เมล็ดผักกาดแก่ข้าด้วยเถิดคนในเรือนหลังนั้นกล่าวว่าใครเล่าจะสามารถนับ
คนที่ตายไปแล้วในเรือนหลังนี้ได้นางไปเรือนหลังที่สอง - สามด้วยพุทธา
นุภาพก็หายบ้าอยู่ในปกติจิตจึงคิดว่าจะประโยชน์อะไรด้วยเมล็ดผักกาด
นั้นพอกันทีสำหรับเมล็ดผักกาดในที่นี้นางคิดว่าธรรมเนียมนี้นี่
แหละคงจักมีทั่วพระนครความจริงนี้คงจักเป็นข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรง
อนุเคราะห์ด้วยหวังดีทรงเห็นแล้วก็ได้ความสลดใจจากที่นั้นก็ออกไป
ข้างนอกทิ้งลูกชายที่ป่าช้าผีดิบกล่าวคาถานี้ว่า
ธรรมคือ {อนิจจตา}ความไม่เที่ยงมิใช่เป็น{ธรรม}
ของชาวบ้านมิใช่ของชาวนิคมและมิใช่ของตระกูล
หนึ่งหากแต่เป็นธรรมของชาวโลกทั้งหมดรวมทั้งเทวโลกด้วย
ก็แลนางครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วก็ไปเฝ้าพระศาสดาพระศาสดาตรัส
ถามนางว่าโคตมีเจ้าได้เมล็ดผักกาดมาแล้วหรือนางกราบทูลว่าข้า
แต่พระองค์ผู้เจริญกิจกรรมเมล็ดผักกาดเสร็จแล้ว พระเจ้าข้าขอทรงโปรด
เป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ด้วยเถิดลำดับนั้นพระศาสดาตรัสคาถาแก่นางว่า
{มฤตยู}ย่อมพานรชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์เลี้ยงมีใจฟุ้งซ่านไปเหมือน
กระแสน้ำหลากขนาดใหญ่พัดพาชาวบ้านที่มัวหลับใหลไปฉะนั้น
จบคาถานางก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลตามอาการที่ยืนอยู่ทูล
ขอบรรพชากะพระศาสดาพระศาสดาทรงอนุญาตให้บรรพชาในสำนักของ
ภิกษุณีนางถวายบังคมพระศาสดา ทำประทักษิณเวียนขวา ๓ รอบแล้วไป
สำนักภิกษุณีบรรพชาอุปสมบทแล้วไม่นานนักทำ{โยนิโสมนสิการ}เจริญ
วิปัสสนาครั้งนั้นพระศาสดาตรัสพระคาถาประกอบด้วยโอภาสแก่นางดังนี้ว่า
ผู้เห็น{อมตบทมีชีวิตอยู่วันเดียวยังประเสริฐ}
ว่าผู้ไม่เห็นอมตบทมีชีวิตอยู่ถึง ๑๐๐ ปี
จบพระคาถานางก็บรรลุพระอรหันต์ในการใช้สอยบริขาร
ก็อุกฤษฏ์อย่างยิ่งครองแต่จีวรที่ประกอบด้วยความปอน ๓ อย่างครั้งนั้น
พระศาสดาประทับอยู่ ณ.พระเชตวันวิหารกำลังทรงสถาปนาพระภิกษุณีทั้ง
หลายไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะตามลำดับก็ทรงสถาปนาพระเถรีไว้ในตำแหน่ง
{เอตทัคคะ}เป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้ทรงจีวรปอน พระเถรีนั้นพิจารณาการ
ปฏิบัติของตนคิดว่าเราอาศัยพระศาสดาจึงให้คุณวิเศษนี้ได้กล่าวคาถา
เหล่านั้นโดยมุข คือ การสรรเสริญกัลยาณมิตรว่า
เฉพาะโลกพระมุนีทรงสรรเสริญความเป็นผู้มี
กัลยาณมิตรคนเมื่อคบกัลยาณมิตรแม้เป็นพาลก็พึง
เป็นบัณฑิตได้บ้างควรคบแต่สัตบุรุษคนดีคนคบสัตบุรุษปัญญา
ย่อมเจริญได้เหมือนกับคนคบสัตบุรุษจะพึงพ้นจาก
ทุกข์ได้ทุกอย่าง
บุคคลพึงรู้จักอริยสัจแม้ทั้ง ๔ คือทุกข์ ทุกข -
สมุทัยทุกขนิโรธและมรรคมีองค์ ๘ ฯลฯ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔- หน้าที่ 302
อรรถกถาเอกาทสกนิบาต ๑{อรรถกถากิสาโคตมีเถรีคาถา}