[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 13:23:45 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 2 [3]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การปล่อยวาง หลวงพ่อชา สุภทฺโท  (อ่าน 45269 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 26 มกราคม 2553 23:23:07 »



http://img10.imageshack.us/img10/8452/lpcha1.jpg
การปล่อยวาง หลวงพ่อชา สุภทฺโท


การปล่อยวาง

โดย

หลวงพ่อชา สุภทฺโท

วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี



“การปล่อยวาง” ความจริงมันหมายความอย่างนี้
อุปมาเหมือนเราแบกก้อนหินหนักอยู่ก้อนหนึ่ง แบกไปก็รู้สึกหนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน

ก็ได้แต่แบกอยู่นั่นแหละ พอมีใครบอกว่าให้โยนมันทิ้งเสียซิ
ก็มาคิดอีกแหละว่า เอ๊ะ! ถ้าเราโยนมันทิ้งเสียแล้ว เราก็ไม่มีอะไรเหลือน่ะซิ

ก็เลยแบกอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมทิ้ง ถึงจะมีใครบอกว่า
โยนทิ้งไปเถอะ แล้วจะดีอย่างนั้น เป็นประโยชน์อย่างนี้ เราก็ยังไม่ยอม

โยนทิ้งอยู่นั่นแหละเพราะกลัวแต่ว่าจะไม่มีอะไรเหลือ

ก็เลยแบกก้อนหินหนักไว้ จนเหนื่อยอ่อนเพลียเต็มที
จนแบกไม่ไหวแล้ว ก็เลยปล่อยมันตกลง
 
ตอนที่ปล่อยมันตกลงนี่แหละ ก็จะเกิดความรู้เรื่อง การปล่อยวาง ขึ้นมาเลย เราจะรู้สึกสบาย
แล้วก็รู้สึกได้ด้วยตนเองว่า การแบกก้อนหินนั้นมันหนักเพียงใด


แต่ตอนที่เราแบกอยู่นั้น เราไม่รู้หรอกว่า การปล่อยวาง มันมีประโยชน์เพียงใด




ดอกกล้วยหมูสังสีนวล

ที่มาภาพ : http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=17&t=25676&st=0&sk=t&sd=a&start=60



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 มกราคม 2553 08:04:20 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้า เพิ่มภาพประกอบค่ะ » บันทึกการเข้า
 
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #41 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2553 17:28:23 »




ครูรู้จักศิษย์

คำว่า ครู มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤตคือ คุ ซึ่งแปลว่าความมืด และรุ แปลว่า ความสว่าง ครู จึงหมายถึงผู้ที่นำศิษย์ออกจากความมืดมาสู่ความสว่าง

เป็นธรรมดาอยู่เองที่บรรดาลูกศิษย์แต่ละคนของครูนั้น มาจากหลายถิ่น ต่างพื้นเพ ต่างจริตนิสัย ต่างจิตใจกันเหมือนไม้ในป่า แต่ช่างไม้ที่ฉลาดรู้จักพืชพันธู์ และคุณภาพของไม้แต่ละต้น ย่อมสามารถนำไม้จากป่า มาทำให้เกิดประโยชน์ใช้สอยได้ตามความเหมาะสม

ครูที่ฉลาดรู้จักลูกศิษย์แต่ละคนของตน ก็ย่อมสามารถปลุกปั้นสั่งสอนศิษย์ให้สำเร็จประโยชน์บรรลุจุดหมายปลายทางได้ฉันนั้น

หลวงพ่อเคยเปรียบเทียบให้ฟังอีกนัยหนึ่งว่า "การให้ธรรมะนี่ก็เหมือนกับให้ยารักษาคนไข้ นายแพทย์รักษาคนไข้ก็ต้องรู้ว่ายาชนิดไหนเหมาะแก่ใคร ต้องรู้จักคนไข้ รู้สมุฏฐานของโรคหรือเหมือนกับเราทอดแห ไปเหวี่ยงแหสะเปะสะปะคร่อมแม่น้ำเลย ไม่ได้หรอก

ต้องคอยเวลาเห็นปลาบ้อน(ผุด)นั่นแหละ มันบ้อนตรงไหนก็เหวี่ยงลงตรงนั้นเลย ถึงจะได้ การสอนก็ต้องดูว่าเขาจะรับได้แค่ไหน ดูความพอดีของเขา เพราะความพอดีนั้นแหละคือธรรมะ ถ้าไม่พอดีไม่เป็นธรรมะ"

หลวงพ่อเป็นครูที่รู้จักลูกศิษย์ เหมือนหมอที่รู้จักคนไข้ และท่านก็ฉลาดในการจัดยา คือเลือกวิธีสอนให้เหมาะแก่จริตนิสัยของลูกศิษย์แต่ละคนด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเทศน์ การพูดจาปราศรัยหรือการปฏิบัติต่อลูกศิษย์ในโอกาสต่าง ๆ ท่านจะพูดหรือทำอะไรที่เหมือนกับว่า ท่านรู้ใจหรือรู้ความเป็นไปของลูกศิษย์อีกด้วย

พระอาจารย์สุริยนต์ได้ให้ตัวอย่างในเรื่องการวางคำสอนว่า

"เช่นลูกศิษย์ฝรั่ง ปกติฝรั่งเขาชอบยิ้มแย้ม ชอบให้ถาม ถ้าเฉยเกินไปเขาก็คิดว่ามันเป็นบรรยากาศที่อึดอัดสำหรับเขา หลวงพ่อจึงต้องเอาใจใส่ไต่ถามความเป็นอยู่ ถามทุกข์สุข การปฏิบัติเป็นอย่างไร ก้าวหน้าหรือถอยหลังอย่างไร

ถ้าพระเณรคนไทยท่านก็จะดูนิสัยเหมือนกัน บางองค์มีความเข้าใจในท่านพอสมควรแล้ว ท่านก็ไม่จำเป็นต้องถามมาก บางองค์ซื่อหรือไม่ค่อยมีปัญญา ท่านก็หาอุบายธรรมะที่เหมาะสมชี้แนะให้

บางองค์หนักไปทางโทสะจริต ท่านก็หาธรรมะคำพูดที่แฝงความขบขัน หรือยกตัวอย่างที่มีความเมตตามีความกตัญญู ทำให้อารมณ์ผ่อนคลายคล้อยตาม เบิกบานร่าเริงได้ เป็นเหตุให้มีกำลังใจ และมีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม"

พระอาจารย์เอนกเล่าว่า เคยได้ยินหลวงพ่อปรารภถึงลูกศิษย์อย่างนี้

"ทำไมจะไม่รู้จักลูกศิษย์ ถ้าไม่รู้จักจะเป็นครูบาอาจารย์ได้อย่างไร เปรียบเหมือนชาวสวนกล้วย ถ้าไม่รู้จักลำต้น ใบ ผล ของมันจะทำสวนกล้วยได้อย่างไร ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน ทำไมจะไม่รู้จักลูกศิษย์

ลูกศิษย์แต่ละรูปก็มีกายกับใจเท่านั้น พูดถึงใจมันก็ไม่แปลกกัน ใจคนหนุ่ม คนแก่ พระเณร ญาติโยม ถ้าเป็นใจที่ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสมันก็ไม่ต่างกัน" นี่หลวงพ่อพูดง่าย ๆ อย่างนี้

หลวงพ่อท่านเป็นคนช่างสังเกต ปัญญาท่านแหลมคม ประกอบด้วยประสบการณ์ในการสอนศิษย์มีมาก ท่านจึงดูคนออกง่าย ท่านมองลูกศิษย์ เดิน ยืน นั่ง นอน ฉัน กราบ ทำงาน ความฉับไวและความละเอียดในการอุปัฏฐาน

ท่านก็เห็นทั้งไส้ทั้งพุงเลย ยิ่งกว่านั้นบางทีในโอกาสที่หลวงพ่อเห็นสมควร ท่านอาจพูดบางคำที่แสดงให้ศิษย์เห็นว่า รู้ความคิดของศิษย์รูปนั้น ๆ เพื่อเร้าความละอายและความเกรงกลัวต่อบาปให้เกิดขึ้นในผู้ประมาท





http://www.watkoh.com/forum/index.php?topic=1209.0
Credit by : http://www.tairomdham.net/index.php/topic,2690.0.html
*8q
Pics by : Google
อกาลิโกโฮม  * ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 11.0.696.65 Chrome 11.0.696.65


ดูรายละเอียด
« ตอบ #42 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2554 16:35:32 »





ยอดคำสอน
หลวงพ่อชา สุภทฺโท
 
ยอดคำสอน เป็นคำสอน เป็นคติ เป็นปรัชญาสั้นๆ ที่คมลึกซึ้ง
ใครได้ฟังแล้วจะเกิดความรู้สึกซาบซึ้ง
และบางครั้งอาจจะถึงกับอุทานออกมาว่า ท่านคิดและกลั่นกรองคำเหล่านี้
ออกมาจากจิตได้อย่างไร ถ้าจิตนั้นไม่บริสุทธิ์แจ่มใสเยี่ยงผู้บรรลุธรรม

คำสอนของหลวงปู่ชาทั้งหมด สามารถสรุปลงได้ดังนี้
       
1. จุดหมาย : มรรค ผล นิพพาน พ้นทุกข์     
2. เนื้อหา : ศีล สมาธิ ปัญญา       
3. วิธีการ : สมถ วิปัสสนา
       
4. กลวิธี : มองเข้าหาตัว
ดูธรรมชาติ เปรียบเทียบ กับธรรมชาติ
ทำให้ดู แล้วรู้ตาม


ข้อมูลจาก  http://www.manager.co.th/Dhamma/PriestBrowse.asp
ขอท่านได้สังเกตคำสอนต่อไปนี้.-
       
       การปฏิบัติคืออำนาจ
       พระพุทธศาสนาไม่มีอำนาจอะไรเลย
       แม้ก้อนทองคำก็ไม่มีราคา ถ้าเราไม่มารวมกันว่ามันเป็นโลหะที่ดีมีราคา
       ทองคำมันก็ถูกทิ้งเหมือนก้อนตะกั่วเท่านั้นแหละ

       พระพุทธศาสนาตั้งไว้มีอยู่
       แต่ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ จะไปมีอำนาจอะไรเล่า
       อย่างธรรมะเรื่องขันติมีอยู่ แต่เราไม่อดทนกัน
       มันจะมีอำนาจอะไรไหม?
       
       ชนะตนเอง
       ถ้าเราเอาชนะตัวเอง
       มันก็จะชนะทั้งตัวเองชนะทั้งคนอื่น
       ชนะทั้งอารมณ์ ชนะทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น
       ทั้งรส ทั้งโผฎัฐพพะ
       เป็นอันว่าชนะทั้งหมด
       
       สุขทุกข์
       คนที่ไม่รู้จักสุข ไม่รู้จักทุกข์นั้น
       ก็จะเห็นว่า สุขกับทุกข์นั้นมันคนละระดับ
       มันคนละราคากัน
       ถ้าผู้รู้ทั้งหลายแล้ว ท่าน จะเห็นว่า
       สุขเวทนา กับทุกขเวทนา มันมีราคาเท่าๆ กัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 พฤษภาคม 2554 16:47:12 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 11.0.696.65 Chrome 11.0.696.65


ดูรายละเอียด
« ตอบ #43 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2554 16:54:52 »



เกิดตาย
       เมื่อเราเกิดมาแล้วโยม ก็คือเราตายแล้วนั่นเอง
       ความแก่กับความตายมันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ
       เหมือนกับต้นไม้ อันหนึ่งต้น อันหนึ่งปลาย
       เมื่อมีโคนมันก็มีปลาย เมื่อมีปลายมันก็มีโคน
     
       ไม่มีโคน ปลายก็ไม่มี
       มีปลาย ก็ต้องมีโคน
       มีแต่ปลาย โคนไม่มีก็ไม่ได้  มันเป็นอย่างนั้น

       ของจริง
       ธรรมของจริงของแท้ที่ทำให้บุคคลเป็นอริยะได้
       มิใช่เพียงศึกษาตามตำรา
       และนึกคิดคาดคะเนเอาเท่านั้น
       แต่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้นจริงๆ
       ของจริงจึงจะเป็นของจริงขึ้นมาได้
       
       ได้เสีย
       ทุกอย่างที่เรามีอยู่เป็นอยู่นั้น
       มันเป็นสักแต่ว่า "อาศัย" เท่านั้น
       ถ้ารู้ได้เช่นนี้ ท่านว่ารู้เท่าตามสังขาร
       ที่นี้แม้จะมีอะไรอยู่ก็เหมือนไม่มี
       ได้ก็เหมือนเสีย  เสียก็เหมือนได้
     
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 11.0.696.65 Chrome 11.0.696.65


ดูรายละเอียด
« ตอบ #44 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2554 16:48:44 »





       พิการ
       เด็กทั้ง 2 พิการ เดินทางได้
       จะเข้ารกเข้าป่าก็รู้
       แต่เราพิการใจ (ใจมีกิเลส)
       จะพาเข้ารกเข้าป่าหรือเปล่า
       คนพิการกายอย่างเด็กนี้ มิได้เป็นพิษเป็นภัยกับใคร
       แต่ถ้าคนพิการใจมากๆ
       ย่อมสร้างความวุ่นวายยุ่งยากแก่มนุษย์และสัตว์
       ให้ได้รับความเดือดร้อนมากทีเดียว
       
       คนดีอยู่ไหน
       คนดีอยู่ที่เรานี่แหละ
       ถ้าเราไม่ดีแล้ว
       เราจะอยู่ที่ไหนกับใคร
       มันก็ไม่ดีทั้งนั้น
       
       ชีวิต
       เมื่อเราทอดอาลัยในชีวิต
       วางวันเสีย ไม่เสียดาย
       ไม่กลัวตาย
       ก็ทำให้เราเกิดความสบาย และเบาใจจริงๆ
       
       นั่งที่ไหนดี
       จะนั่งหัวแถวหรือหางแถวก็ไม่แปลก
       เหมือนเพชรนิลจินดา
       จะวางไว้ที่ไหนก็มีราคาเท่าเดิม
       และจะได้เป็นการลดทิฐิมานะให้น้อยลงไปด้วย

       สอนคนอย่างไร
       ทำตนให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อนแล้ว
       จึงสอนคนอื่นทีหลัง
       จึงจักไม่เป็นบัณฑิตสกปรก
       สอนคนด้วยการทำให้ดู
       ทำเหมือนพูด
       พูดเหมือนทำ
       
       มนุษย์ศาสตร์
       มนุษยศาสตร์ทั้งหลาย มีแต่ศาสตร์ที่ไม่มีคมทั้งนั้น
       ไม่สามารถจะตัดทุกข์ได้
       มีแต่ก่อให้เกิดทุกข์
       ศาสตร์เหล่านั้น ถ้าไม่มาขึ้นกับพุทธศาสตร์แล้ว
       มันจะไปไม่รอดทั้งนั้น
       
       หลับ-ไม่หลับ
       ถ้าหลับมันก็ไม่รู้
       ถ้ารู้มันก็ไม่หลับ
       
       มรรคผล
       มรรคผลยังไม่พ้นสมัย
       คนโง่เท่านั้นที่ปฏิเสธว่า
       ในพื้นดินไม่มีน้ำแล้วไม่ยอมขุดบ่อ
       
       ไม้คด คนงอ
       ต้นไม้เถาวัลย์ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร
       คนคดคนงอนั้น ร้ายนัก
       เป็นพิษเป็นภัยทั้งอยู่บ้านและอยู่วัด
       
       หลง
       คนหลงโลกคือคนหลงอารมณ์
       คนหลงอารมณ์คือคนหลงโลก
       
       แสดงอาการ
       การหัวเราะเป็นอาการของคนบ้า
       การร้องไห้เป็นอาการของทารก
       ฉะนั้นท่านผู้ถึงสงบ
       จะไม่หัวเราะไม่ร้องไห้
       
       สอนอย่างไร
       ทำตนให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน
       แล้วจึงสอนคนอื่นทีหลัง
       จึงจักไม่เป็นบัณฑิตสกปรก
       
       ความอาย
       เมืองนี้ยังไม่เคยมีพระบิณฑบาตเลย
       เพราะเขามีความอายกันเป็นส่วนมาก
       แต่ตรงกันข้ามกับเรา
       เราเห็นว่า
       คำที่ว่าอายนี้
       เราเห็นว่า อายต่อบาป
       อายต่อความผิดท่านั้น
       
       เมืองนอก
       เราได้เดินทางไปเมืองนอก
       และเมืองในนอก
       และเมืองในใน
       และเมืองนอกนอก
       รวมสี่เมืองด้วยกัน
       ที่รวมสมาธิ
       เมื่อนั่งหลับตาให้ยกความรู้สึกขึ้นเฉพาะลมหายใจ
       เอาลมหายใจเป็นประธาน
       น้อมความรู้สึกตามลมหายใจ
       เราจึงจะรู้ว่าสติมันรวมอยู่ตรงนี้
       ความรู้มันจะมารวมอยู่ตรงนี้
       
       เกาสีชัง
       เรามาอาศัยอยู่ที่เกาะนี้ คือที่พึ่งทางใน
       ซึ่งเป็นที่อันน้ำคือกิเลสตัณหาท่วมไม่ถึง
       แม้เราจะอยู่บนเกาะสีชัง
       แต่ก็ยังค้นหาเกาะภายในอีกต่อไป
       ผู้ที่ท่านได้พบ และอาศัยเกาะอยู่ได้นั้น
       ท่านย่อมอยู่เป็นสุข
       ต่างจากคนที่ลอยคออยู่ในทะเล คือความทุกข์
       
       กินแบบไหน
       ฉันอาหารไม่พิจารณา
       จะเป็นเหมือนปลากินเหยื่อ
       ย่อมติดเบ็ด
       
       บริขาร
       บริขารทั้งปวงเป็นเพียงเครื่องประดับขันธ์ห้าเท่านั้น
       การไม่รู้จักประมาณในการบริโภคบริขาร
       มีความกังวลในการจัดหา
       ย่อมเป็นการยุ่งยาก
       ขาดการปฏิบัติธรรม
       ย่อมไม่ได้รับผลอันตนพึงปรารถนา

       


       http://www.phrabuddhasasana.com/ps/index.php?option=com_content&task=view&id=155&Itemid=26

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


ดูรายละเอียด
« ตอบ #45 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2554 21:27:07 »



คติรอยธรรม ตามรอยโพธิญาณ

“การมาอบรมในการบวช ก็เลิกสิ่งชั่วกันไปเลย
เลิกอะไรที่มันเป็นกรรมเป็นเวร
เอาชนะตนเอง ไม่เอาชนะคนอื่น
...”

***

“คนไม่ละกิเลส เป็นคนแบกโลก
กิเลสก็คือโลก โลกก็คือทุกข์
คนสะสมกิเลส จึงเป็นคนแบกโลก แบกทุกข์ไม่รู้สิ้นสุด...”

***

“เป็นพระ เป็นเณรเรา อยู่ดีกินดีแล้ว จะอยู่สบายไม่ได้
กามสุขัลลิกานุโยค นี่มันเป็นพิษอย่างมาก
ให้พวกท่านทั้งหลายกระเสือกระสน หาข้อประพฤติปฏิบัติของตน
เพิ่มข้อวัตรขึ้น เตือนตนเองมากขึ้น
อันใดที่มันบกพร่อง ก็พยายามทำดีขึ้นไป...”

***

อย่าทำให้เป็นตัณหา
อย่าพูดให้เป็นตัณหา
ยืนอยู่ เดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่
ทุกประการท่านไม่ได้ให้เป็นตัณหา

คือทำด้วยการปล่อยวาง...”

***

“ผู้ปฏิบัติควรสนใจการกระทำกิจวัตร อาจริยวัตร อุปัชฌายวัตร
อันนี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจ ของพวกเราทั้งหลายให้เป็นกลุ่ม เป็นก้อน
มีความสามัคคีพร้อมเพรียงซึ่งกันและกัน...”

***

“ผู้ปฏิบัติ จะต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ
กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย
และให้เป็นคนที่ง่ายที่สุด
กินง่าย นอนง่าย อะไร ๆ ก็ให้ง่าย ๆ
แบบตาสีตาสาธรรมดา
สิ่งเหล่านี้ทำไปแล้ว มันจะให้กำลังใจ”


http://portal.in.th/i-dhamma/pages/10132/

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


ดูรายละเอียด
« ตอบ #46 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2554 04:47:15 »




อาหารใจ  หลวงพ่อชา สุภทฺโท

โยมฝรั่งคนหนึ่งตั้งคำถามหลวงพ่อ ๓ ข้อว่า
" ปฏิบัติทำไม? ปฏิบัติอย่างไร? ปฏิบัติแล้วเกิดผลอย่างไร? "
หลวงพ่อท่านจึงย้อนถามกลับว่า

" กินข้าวทำไม? กินข้าวอย่างไร? กินข้าวแล้วเกิดผลอย่างไร? "

โยมฝรั่งคนนั้นก็งงและไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของหลวงพ่อเท่าใดนัก
เพราะไม่เข้าใจหลวงพ่อท่านจึงอธิบายเสริมต่อว่า

" .. ปฏิบัติทำไม? ก็คือกินข้าวทำไม?
ปฏิบัติอย่างไร? ก็คือกินอย่างไร? ก็ให้นึกซิว่าเรากินข้าวทำไม?
เหตุที่เรากินก็เพราะหิว มีความหิว มีความทุกข์ ถ้าไม่กินก็เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น

เราปฏิบัติเพราะอะไร? เพราะความหิว
เรากินอาหารก็เพื่อระงับความหิวทางกาย
เราปฏิบัติธรรมเพื่อระงับความหิวทางใจ ใจเป็นทุกข์ ก็ต้องใช้ธรรมะมาแก้ทุกข์
ทีนี้ปฏิบัติอย่างไร? ก็เหมือนกับเรากินอย่างไร?

ก็ต้องเอาอาหารมาใส่ถ้าใจขาดอาหารก็เอาธรรมะมาใส่ ให้ใจได้กินธรรมะ

ปฏิบัติแล้วเป็นอย่างไร? ก็เหมือนกับกินแล้วเป็นอย่างไรนั่นแหละ
กินแล้วก็อิ่มใช่ไหม? ปฏิบัติแล้วก็อิ่มธรรมะ




*8q : ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต
Pics by : Google
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 พฤษภาคม 2555 09:52:01 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: jpg » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


ดูรายละเอียด
« ตอบ #47 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2554 05:07:58 »




ที่พึ่งทางใจ
หลวงพ่อชา สุภทฺโท

ใจของเราเป็นสิ่งสำคัญ
แต่โดยมาก

คนเราไม่ค่อยมองดูในสิ่งที่สำคัญนั้น

ไปมองดูในสิ่งอื่นที่มันไม่สำคัญ
บางคนแต่งบ้านแต่งช่องอะไรสารพัดอย่าง
แต่  กลับไม่ค่อยคิดที่จะแต่งใจกัน

พระพุทธองค์ท่านจึงตรัสว่า  “ให้หาที่พึ่งทางใจ

ที่พึ่งที่แน่นอนก็คือใจของเรานี่เอง
พึ่งสิ่งอื่นก็พึ่งได้  แต่ก็ไม่แน่นอน
เราจะพึ่งสิ่งอื่นได้ก็เพราะเราพึ่งตัวเราเอง

เราต้องมีที่พึ่งก่อน  จะพึ่งอาจารย์  จะพึ่งมิตรสหาย
การที่จะพึ่งได้ดีนั้น
เราต้องทำตัวของเราเป็นที่พึ่งให้ได้เสียก่อน




lek : ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต
Pics by : Google
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 12.0 Firefox 12.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #48 เมื่อ: 30 เมษายน 2555 16:49:46 »





ธรรมะโอวาท หลวงพ่อชา

"การละบาป เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการทำบุญ
ถ้าทำบาปแลกบุญจะขาดทุนเรื่อยไป"


"ใจจะสงบได้ ก็เพราะความเห็นที่ถูกต้อง"


.....ใจของเรามันอยู่ในกรง
ยิ่งกว่านั้น มันยังมีเสือกำลังอาละวาดอยู่ในกรงนั้นด้วย
ใจที่มันเอาแต่ใจของเรานี้.....
ถ้าหากมันไม่ได้อะไรตามที่มันต้องการแล้ว มันก็อาละวาด
เราจะต้องอบรมใจด้วยการปฏิบัติภาวนา ด้วยสมาธิ
นี่แหละที่เราเรียกว่า "การฝึกใจ".....


"ธรรมดาจิตนั้นนะ..มันมีเวลาขยัน และขี้เกียจ
ถ้าทำเพียรด้วยสัจจะ เราต้องทำเรื่อยทั้งที่ขี้เกียจ
ทำจิตให้จิตรู้อยู่ การรู้ภายใน การฉลาดภายในจิตจะเป็นอย่างนี้
การทำทุกวัน บางทีสงบ บางทีไม่สงบ เป็นอนิจจัง"


"เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นในจิตใจของเราแล้ว
จะมองไปที่ไหน..จะมีแต่ธรรมะทั้งนั้น
เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตลอดเวลา"




รวบรวมคติธรรมดี ๆ มาให้อ่านกัน...
พุทธศาสนา - ธรรมะ - palungjit.com

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  1 2 [3]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.48 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 16 พฤศจิกายน 2567 05:51:22