[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 ธันวาคม 2567 17:02:25 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สัทธรรมปุณฑรีกะสูตร บทที่ 1 นิทานปริวรรต+บทที่ 2 อุปายโกศลปริวรรต  (อ่าน 16686 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553 08:59:16 »



   คำนำนี้ คัดลอกมาจาก หนังสือสัทธรรมปุณฑรีกะสูตร
ของ อ.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ซึ่งเป็นการพิมพ์ในครั้งที่สี่
คำนำนี้เขียนโดย ส.ศิวรักษ์ เมื่อ 1 มีนาคม 2537


       สัทธรรมปุณฑรีกะสูตรนั้น ถือกันว่าเป็นพระคัมภีร์ที่สำคัญและมีอิทธิพลมากสำหรับมหายาน แทบทุกลัทธินิกายในฝ่ายนั้นพากันเคารพนับถือพระสูตรนี้เป็นอย่างยิ่ง มีผู้ศึกษาค้นคว้า จนเขียนเป็นอรรถกถาและฎีกาขยายความจากพระสูตรมากมาย นี่ในระหว่างผู้รู้ สำหรับคนธรรมดาสามัญก็พากันท่องบ่นหรือสวดและทรงจำกันไว้ได้มาก แทบตลอดทั้งเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะก็จีน เกาหลี และญี่ปุ่น

        พระสูตรนี้รจนาขึ้นเมื่อไร เป็นภาษาอะไร ไม่มีใครทราบเข้าใจก็น่าเดิมคงเขียนขึ้นเป็นภาษาพื้นเมืองในชมพูทวีปหรือในเอเชียกลาง ต่อมาจึงประพันธ์ขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต เพื่อให้ศักดิ์สิทธิ์

         ทราบแน่ว่า เมื่อ พ.ศ. 798 นั้น มีการแปลออกจากสันสกฤตเป็นภาษาจีนแล้ว และต่อมามีคำแปลเป็นภาษาจีนหลายสำนวน แต่สำนวนที่สำคัญสุดนั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ.949 โดยท่านกุมารชีวะ สำนวนนี้แพร่หลายที่สุดในเมืองจีนและได้ถ่ายทอดออกสู่ ประเทศอื่นๆที่รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีนอีกด้วย

          ต้นฉบับภาษาเดิมนั้นไม่ปรากฏ แม้ฉบับภาษาสันสกฤตก็อันตรธานไปนาน จนเพิ่งค้นพบได้เมื่อเร็วๆ นี้เองที่เนปาล ที่เอเชียกลางและที่กัษมีระ แต่ฉบับภาษาสันสกฤตที่ว่านี้ดูเหมือนจะจารลงไว้ในคริสต์ศตวรรษที่ 11 หรือพุทธศตวรรษที่ 17 นี่เอง หรือหลังจากนั้นเสียด้วยซ้ำ แต่บางฉบับก็ถือว่าจารลงไว้แต่ คริสต์ศตวรรษที่ 5 หรือ 6 ฉบับสันสกฤตที่ว่านี้ผิดแผกแตกต่างไปจากฉบับที่ท่านกุมารชีวะแปลเป็นอันมาก มีการแต่งเติมเสริมต่อแสดงโวหารยิ่งๆขึ้น แสดงว่าฉบับที่ท่านกุมารชีวะแปลนั้นเก่าแก่กว่าภาษาสันสกฤตทุกฉบับที่เพิ่งค้นพบได้

         นอกจากแปลเป็นภาจีนดังกล่าวแล้ว ได้มีการแปลเป็นภาษาธิเบต และต่อมาแปลเป็นภาษามงโกล แมนจู เกาหลี และญี่ปุ่นด้วย โดยที่ทางอัษฎงคตประเทศนั้น ในไม่กี่ปีมานี้ มีฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งอื่นๆอีกด้วย แต่ดูเหมือนคนไทยโดยทั่วๆไปแทบจะไม่รู้จักพระสูตรนี้กันเอาเลยก็ว่าได้ จึงใคร่ขอทำคำอธิบายไว้ หวังจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง

        ท่านกุมารชีวะผู้แปลพระสูตรนี้เป็นภาษาจีนนั้น มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ. 887-956 บิดาท่านเป็นชาวภารตประเทศ แต่มารดาเป็นเจ้าหญิงเมืองกุชา (ซึ่งปัจบันนี้อยู่ในแคว้นซินเกียง) ท่านเป็นนักปราชญ์ทางพุทธศาสนา จนพระเจ้ากรุงจีนต้องยกกองทัพไปตีกุชา เพื่อได้ตัวท่านมาเป็นปราชญ์ของราชสำนักเมืองเชียงอาน

         ตามประวัตินั้นท่านและพระมารดาออกบวชด้วยกันทั้งคู่ ได้ไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่แคว้นกัษมีระ ท่านกุมารชีวะนั้นนอกจากศึกษาทางพระศาสนาแล้ว ยังเชี่ยวชาญวิชาดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์และไสยศาสตร์ด้วย เมื่อไปอยู่ประเทศจีน ท่านรู้จักภาษาจีนดี สำหรับการแปล พระสูตรจากภาษาสันสกฤตเป็นจีนนั้น ท่านกุมารชีวะใช้วิธีอธิบายความหมายให้พระจีนฟัง 2 ครั้งก่อน แล้วพระนักแปลเหล่านั้นอภิปรายกันจนเข้าใจชัดเจน จากนั้นจึงแปลออกเป็นภาษาจีนอย่างไพเราะ โดยท่านกุมารชีวะจะนำคำแปลมาเทียบกับต้นฉบับเดิมและแก้ไขซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเป็นที่พอใจอย่างที่สุดจึงยุติได้

          นี้นับว่าผิดกับนักแปลอื่นๆ ที่มุ่งการแปลคำต่อคำ ท่านกุมารชีวะมุ่งให้ได้สาระแห่งพระสูตร แม้จะตัดทอนให้สั้นลง ท่านก็กล้าทำ และปรุงสำนวนโวหารให้เข้ากับจารีตของฝ่ายจีนด้วย ฉบับแปลที่ท่านบัญชาการแปลจึงเป็นที่นิยมและแพร่หลายมาก จนภายหลังมีพระจีนที่มีความสามารแปลได้เองโดยตรง เช่น พระตรีปิฎก (ถังซำจั่ง) จึงเกิดอีกโวหารการแปลที่เทียบได้ถึงสำนวนของท่านกุมารชีวะ


           สัทธรรมปุณฑรีกะสูตร ตามฉบับของท่านกุมารชีวะนั้น แบ่งออกเป็น 28 บรรพ และทุกบรรพมีทั้งคาถาที่เป็นคำร้อยกรอง และมีความเรียงร้อยแก้วกำกับไปด้วย ที่มีคาถาตามกำหนดท่านฉันทลักษณ์นั้นก็เพื่อให้ง่ายแก่การท่องบ่น สะดวกสำหรับทรงจำเข้าใจว่าเดิมคงมีแต่คาถา ต่อภายหลังจึงเขียนความเรียงประกอบขึ้น ออกจะเป็นการกล่าวซ้ำ คือความเรียงนั้นรจนาขึ้นเพื่อดำเนินเรื่องให้อ่านเข้าใจง่าย ขยายความจากคาถาเดิมอีกที

        พระสูตรเริ่มดังพระสูตรอื่นๆในพระไตรปิฎก ดังทางบาลีประเดิมด้วยคำว่า เอวม.เม สุตํ เอวมฺเม สุตํ เอกํสมยํ ภตวา กล่าวคือ เอาคำไปถวายให้พระอานนท์นำมาบรรยายว่า "ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วดังนี้"

        สำหรับพระสูตรนี้อ้างว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้าหรือพระสมณโคดมพุทธเจ้า เสด็จประทับ ณ ยอดภูเขาคิชกูฏ (ท่านกุมารชีวะแปลเป็นจีนว่า ยอดเขานกอินทรี คงเกรงว่าจีนจะรังเกียจนกแร้ง) นอกกรุงราชคฤห์ แล้วทรงแสดงธรรม หากผิดไปจากการแสดงธรรมตามพระสูตรของฝ่ายบาลี ที่มีแต่พระสาวกสดับพระธรรมเทศนา อย่างดีก็เมื่อทรงแสดงจบ เทวดา มาร พรหม จึงอนุโมทนาด้วย ดังตอนแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตรหรือปฐมเทศนาเป็นอาทิ

         โดยที่พระสูตรของทางมหายานนั้น นอกจากพระสาวกที่เป็นมนุษย์แล้ว ยังมีเทวดา มาร พรหม มาสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาอีกเป็นอันมาก ที่สำคัญคือพระโพธิสัตว์หรือมหาสัตว์ต่างๆ

         เราต้องเข้าใจว่าในทางมหายานนั้น ต้องการพรรณนาด้วยการใช้โวหาร พ้นภาษาคนออกไป ถ้าเราเข้าใจในทางภาษาธรรมจึงจะได้ถึงเนื้อหาสาระของพระสูตรตามนิกายฝ่ายเหนือ และถ้าไม่ใจกว้าง จะเกิดอาการชนิดที่บันดาลโทสะได้ง่ายด้วย โดยเฉพาะพระสูตรนี้ ฟังดูเผินๆ ออกจะเป็นการเหยีดหีนยานหรือสาวกยานของฝ่ายเถรวาท ด้วยการดำเนินความว่าในสมัยปฐมโพธิกาล พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้พระสาวกได้บรรลุอรหันตผลเพื่อเข้าถึงพระนิพพานเป็นประการสำคัญ หากมาถึงสมัยที่ตรัสเทศนาสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ในตอนปัจฉิมโพธิกาล คือเมื่อทรงจาริกสั่งสอนเวไนยสัตว์อยู่กว่า 40 พรรษาแล้ว จึงทรงเน้นที่เอกยานอันเป็นจุดสุดยอดหนึ่งเดียว กล่าวคือ ประการแรกหรือชั้นแรกได้แก่สาวกยานหรือหีนยานดังกล่าวแล้ว เพราะในชั้นนั้นการสอนพระสัทธรรมให้สูงไปกว่านั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ขยับขึ้นจากสาวก จึงถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งตรัสรู้ได้เอง หากไม่ทรงสั่งสอนผู้อื่น หรือเพราะไม่มีเวไนยสัตว์จะให้ตรัสสอนได้ ต่อขึ้นที่สามจึงถึงโพธิสัตวยาน หรือมหายาน คือสรรพสัตว์อาจบรรลุได้ถึงการเป็นพระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น

         แม้พระอรหันตสาวกและพระอรหันตสาวิกาก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น รวมถึงพระนางมหาปชาบดีโคตรมีพระแม่น้าผู้เป็นปฐมภิกษุณี และพระนางยโสธราพิมพา ซึงก็ออกบวชเป็นพระภิกษุณีด้วยเช่นกัน มิใยต้องเอ่ยถึงพระอรหันตสาวกอย่างพระอัญญาโกณฑัญญะ พระสารีบุตร และพระโมคคัลลาน์ที่สุดจนพระเทวทัต ซึ่งถูกแผ่นดินสูบลงไปตกนรกอเวจีอันต่ำใต้และร้ายแรงที่สุด ต่อไปในอนาคตก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้เพราะในอดีตชาติ พระเทวทัตเคยมีบุญคุณกับพระศากยมุนีพุทธเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือแม้คนเลวสุด ก็สามารถเข้าถึงจุดสูงสุดในทางพระศาสนาได้

      ที่เคยกล่าวกันว่าสตรีไม่อาจตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้นั้นพระสูตรนี้ก็ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง จนถึงกับกล่าวว่าพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ได้ลงไปยังนาคบาดาล เทศนาสัทธรรมปุณฑรีกสูตรแก่พญานาค ชื่อสาคร แล้วธิดาพญานาคอายุเพิ่งจะเข้าแปดขวบย่างก็สามารถตรัสรู้เป็นพระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

       ประเด็นคือ อย่างว่าแต่สตรีเพศเลย แม้เด็กและผู้ซึ่งไม่ใช่มนุษย์ก็อาจตรัสรู้อย่างสูงสุดได้ ทั้งๆที่ในทางตรรกวิทยา พระอนุตรสัมมาสัมพุทะเจ้าน่าจะต้องทรงค้นพบพระสัทธรรมเองหากนี่ได้ฟังจากพระโพธิสัตว์อีกที แต่เราต้องทำความเข้าใจไว้ว่า พระมัญชุศรีโพธิสัตว์นั้นถือได้ว่าเป็นพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า ในทางบุคคลาธิษฐาน กล่าวคือธิดาพญานาคใคร่ครวญพระสัทธรรมตามพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า แล้วก็อาจตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การตรัสรู้ทางฝ่ายมหายานนั้น ไม่ขีดวงจำเพาะบรรพชิต แต่ที่ว่านี้ไม่ทั่วไปในทุกนิกายของฝ่ายมหายาน หากเน้นจำเพาะพวกที่ยึดถือตามพระคัมภีร์นี้เท่านั้น


    อนึ่ง พระสูตรนี้เอง มีข้อความที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสยืนยันว่าพระองค์มิได้ทรงตรัสรู้ในพระชาตินี้ ดังที่ทางฝ่ายสาวกยานเข้าใจ หากได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณมานับได้อสงไขยแสนกัลปแล้ว หรืออีกนัยหนึ่งคือพุทธภาวะนั้นเป็น สภาวะแห่งนิรันดร บางครั้งทรงเนรมิตพระองค์เป็นพระโพธิสัตว์มาช่วยสรรพสัตว์ บางครั้งเสด็จหลีกออกจากโลกไปเลย เพื่อให้เป็นประหนึ่งว่าโลกว่างจากพระพุทธเจ้า เวไนยสัตว์จะได้ไม่ประมาทเร่งประพฤติธรรม หาไม่จะนึกว่ามีพระโพธิสัตว์มาคอยเกื้อหนุนตนอยู่ตลอดเวลา ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธบารมีกล่าวอีกนัยหนึ่งคือทรงใช้อุปายะ ที่ว่าวิธีหนึ่งใดจะมีคุณในการเอื้อหนุนสรรพสัตว์เป็นที่สุดนั้นแลเป็นประการสำคัญ

        พระสูตรนี้เน้นให้เห็นว่าเราต้องไม่คำนึงถึงพระพุทธเจ้าในฐานะพระมนุษยพุทธที่ประสูต ณ สวนลุมพินี ตรัสรู้ที่พุทธคยา ทรงแสดงปฐมเทศนาที่ป่าอิสิบตนมฤคทายวัน และเสด็จดับขันธ์ที่นอกเมืองกุสินารา เพราะนั่นเป็นเพียงการแสดงออกทางประวัติเท่านั้น แท้ที่จริงพระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอยู่เหนือกาล เหนือสถานที่ เหนืออวกาศ ทรงเป็นสภาวะสัจและทรงเป็นมหากรุณาคุณอันดำรงคงอยู่ทุกแห่งหนและในทุกๆสรรพสัตว์

         เนื้อหาประการหลังนี้คือหัวใจของมหายาน อาการที่ทรงแสดงสัทธรรมปุณฑรีกสูตร ณ ภูเขาคิชกูฎนั้น ถือได้ว่าแสดงออกทางพระธรรมกาย อันสุดวิสัยที่ปุถุชนจะรับรู้ได้ ทรงนำเอานิทานต่างๆ มาเล่าไว้ในพระสูตรนี้ และพรรณาอย่างไพเราะลึกซึ้งและอย่างน่าเห็นคล้อยตาม หากไม่เป็นไปตามนัยแห่งตรรกะหรือปรัชญาแบบตะวันตก แม้คำสอนหลักในทางพระศาสนา เช่น เรื่องอริยสัจและปฏิจจสมุปบาท ก็เอ่ยไว้อย่างผ่านๆไปเท่านั้น เพราะถือว่าพุทธศาสนาย่อมรู้จักหัวข้อคำสอนหลักเหล่านั้นอยู่แล้ว หากความในพระสูตรนี้เน้นในเรื่องที่ไม่มีปรากฏในพระสูตรอื่นๆ

          พระสูตรนี้เน้นว่าพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้งละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพ อย่างยากที่สามัญมนุษย์จะเข้าได้ถึงจึงเสนอให้ท่องบ่นพระสูตรนี้ แม้ไม่เข้าใจ หากอาศัยศรัทธาปสาทะก็จะตรัสรู้โดยใช้อธิษฐานบารมี มุ่งที่โพธิสัตวธรรม เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลสรรพสัตว์ ให้พากันเข้าถึงพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

         ถ้าใช้วิชาการอย่างฝรั่งจะหาบทสรุปจากพระสูตรนี้ไม่ได้เลยดัง ยอช ทานาเบ หัวหน้าแผนกวิชาศาสนาของมหาวิทยาลัยฮาวาย(อเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น) ถึงกับกล่าวว่า สัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ "ว่าด้วยพระสูตรแต่ไม่มีคำสอนในพระสูตรเลย....เป็นดังคำนำอย่างยาว หากไม่มีเนื้อเรื่อง"

         เราต้องไม่ลืมว่า ทางมหายานถือว่าปรมัตถสัจนั้นไม่อาจใช้ถ้อยคำแสดงออกได้ เพราะภาษามีขอบเขตอันจำกัด หากใช้ภาษาพรรณนาปรมัตถสัจก็เท่ากับทำลายสภาวะของศูนยตานั่นเอง ฉะนั้น ถ้อยคำในพระสูตรจึงตีวงกรอบไว้รอบๆ เพื่อให้ปรมัตถสัจอยู่ตรงกลาง โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง หรือเอ่ยถึงไม่ได้ หากให้เวไนยสัตว์อาจตรัสรู้ได้เอง


        ก็ในเมื่อปรมัตถสัจเข้าถึงไม่ได้ด้วยถ้อยคำหรือด้วยการใช้ความคิด พระสูตรนี้จึงเน้นให้แต่ละคนเข้าหาพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้าด้วยศรัทธาปสาทะและการปฏิบัติตามเท่านั้นเอง

        อิทธิพลของพระสูตรนี้ในแง่ที่เน้นเรื่องศรัทธาและภาวนานั้นจึงมีคุณอนันต์ แม้คนที่ไร้การศึกษาก็เข้าหาพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้าได้ ด้วยการยึดตามพระสูตร ด้วยวิธีอ่าน ด้วยการท่องบ่น ด้วยการคัดลอก และด้วยการสอนข้อความตามพระสูตรนี้

       ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นบุญกิริยา ซึ่งสามารถเอาชนะอกุศลและความชั่วร้ายต่างๆได้


       นอกจากสวดสังวัธยาย ฯลฯ แล้ว ยังควรทำพิธีบูชาด้วย ธูปเทียน ดนตรี แก้วแหวนเงินทองต่างๆอีกด้วย ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่ายิ่งถวายของมีราคามากจักได้บุญกุศลมาก หากขึ้นอยู่กับศรัทธาปสาทะที่แนบแน่นและจริงใจต่างหาก แม้ยากจก ถ้าจิตเป็นกุศล แม้ของที่ถวายจะน้อยค่าทางทรัพย์สินก็อาจได้อานิสงส์ยิ่งกว่าเศรษฐีที่ถวายมาก หากไม่ศรัทธาจริงหรือหวังผลตอบแทนจากการถวายนั้นๆ

        อนึ่ง การสวดสังวัธยายนั้น ให้มั่นในพระพุทธคุณ โดยเฉพาะก็พระกรุณาคุณอันแสดงออกทางบุคคลาธิษฐาน เป็นองค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ซึ่งตามพยัญชนะหมายถึง พระองค์ผู้ทรงรับเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากชาวโลกนั่นเองชาวโลกในที่นี้อาจเป็นสัตว์นรกก็ได้ ใครก็ตามที่เชื่อมั่นในพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ พระองค์จะทรงแผ่กรุณยภาพไปถึงตลอดเวลา ขอให้มั่นในศรัทธาปสาทะเท่านั้น

         พระสูตรนี้เอ่ยถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ซึ่งทรงเนรมิตพระกาย ออกเป็นถึง 33 พระรูป ทรงเป็นทั้งเพศหญิง เพศชายเป็นมนุษย์และอมนุษย์ สูงส่ง ยิ่งใหญ่ และต่ำต้อย

         จากพระสูตรนี้เองที่พระโพธิสัตว์พระองค์นั้นกลายสภาพเป็นเจ้าแม่กวนอิมในเมืองจีน และแคนนอนในญี่ปุ่น แม้จนบัดนี้พระโพธิสัตว์พระองค์นี้ก็ทรงเกื้อหนุนจุนเจือให้ผู้คนเป็นอันมากได้รับความสุข โดยทรงช่วยขจัดความทุกข์ให้นานาประการ

        ถ้าเข้าใจพระสูตรนี้จากแง่มุมของมหายาน ก็จะเห็นได้ว่า สัทธรรมปุณฑรีกสูตรประมวลไว้ทั้งคำเทศน์ นิทาน และการแนะนำช่วยเหลือให้สาธุชนเกิดศรัทธาปสาทะในสถานะต่างๆกัน นี้แลคือหัวใจสำคัญอันเป็นเหตุให้พระสูตรนี้แพร่หลายในโลกของฝ่ายมหายานมาจนตราบเท่าทุกวันนี้



Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 กรกฎาคม 2554 15:01:30 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553 09:57:31 »



คำนำจากนายทรงวิทย์  แก้วศรี บรรณาธิการ
หนังสือสัทธรรมปุณฑรีกสูตร ฉบับของวัดโพธิ์แมนคุณาราม

 

       สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ถือเป็นพระสูตรชั้นเอกอุหนึ่งในเก้าพระสูตรสำคัญของมหายาน ในเนปาล ถึงในจีนและญี่ปุ่นก็ให้ความสำคัญแก่พระสูตรนี้ทัดเทียมกัน เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเทียนไท้ทั้งในจีนและญี่ปุ่น และของนิกายนิชิเรนในญี่ปุ่น ต้นฉบับสันสกฤตที่เป็นต้นแบบใช้แปลเป็นภาษาไทยเล่นนี้ เกิดจากฉบับเก่าก่อน 3 ฉบับคือ

       ฉบับแรก ศาสตราจารย์ H.Kern และ B.Nanjo นำลงตีพิมพ์ในวารสาร Bibliotheca Buddhica เล่มที่ 10 จัดพิมพ์ที่เซนต์ปิเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย ระหว่างปี พ.ศ.2451-2455 ฉบับนี้เป็นอักษรเทวนาครี ประมวลและชำระจากต้นฉบับ 6 ฉบับ จากลอนดอน 2 ฉบับ จากเคมบริดจ์ ฉบับหนึ่ง Ekai Kawaguchi ค้นพบที่เนปาล และอีก 1 ฉบับ จาก Mr.Watters อดีตเจ้าหน้าที่กงสุลอังกฤษประจำไต้หวัน นอกจากนี้คณะบรรณาธิการยังสอบทานกับต้นฉบับที่ชำรุดเหลือเพียงบางส่วนที่เป็นสมบัติส่วนตัวของ Mr.NF Petrovskij อนึ่ง คณะบรรณาธิการยังเทียบเคียงกับฉบับพิมพ์ด้วยอักษรเทวนาครี ที่จัดพิมพ์โดย Faucaux ในชื่อ "Parabole de l'Enfant egare" ที่ปารีส เมื่อ พ.ศ.2397 ซึ่งฉบับนี้มีหลายตอนของพระสูตรที่ได้ค้นพบที่เมืองกาษการ์ ในเอเชียกลาง

     ฉบับที่สองเป็นอักษรโรมัน ตรวจสอบชำระโดย Prof. U. Wogihara และ C.Tsuchida จัดพิมพ์ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2477 บรรณาธิการทั้งสองท่านนี้เพียงแต่ชำระสอบทานฉบับแรกและอาศัยต้นฉบับเดิมที่ H.Kern และ B.Nanjo เคยใช้มาแล้ว

      ฉบับที่สามเป็นอักษรเทวนาครี Dr. Nalinaksa Dutt เป็นบรรณาธิการ จัดพิมพ์โดย Asiatic Society of Bengal ที่กรุงกัลกัตตา เมื่อ พ.ศ.2496 Dr. Nalinaksa Dutt ใช้สองฉบับแรกเป็นหลัก โดยชี้ประเด็นแตกต่างที่สำคัญไว้ในบางแห่ง และบางครั้งก็เทียบเคียงกับต้นฉบับ บางส่วนที่ค้นพบจากเอซียกลาง ในห้องสมุดของมหาวิทยาลักโอตานี ในญี่ปุ่น ตามที่         Mironv เคยเข้าไปศึกษา นอกจากนี้บรรณาธิการยังใช้บางส่วนจากต้นฉบับของ Gilgit แต่น่าเสียดายว่า  Dr. Nalinaksa Dutt ไม่ได้ชี้ให้เห็นว่า มีอะไรแตกต่างจากต้นฉบับของ Gilgit

      ต้นฉบับสัทธรรมปุณฑรีกสูตรเล่มนี้ เป็นการประมวลต้นฉบับเก่าก่อนทั้ง 3 ฉบับมาเป็นแบบสอบทานเป็นฉบับเดียวกัน โดยมี P.C. Vaidya เป็นบรรณาธิการ เป็นความจริงที่ว่าภาษาในภาคโศลกเป็นภาษาเก่ากว่าที่เป็นส่วนร้อยแก้ว และโศลกก็มักจะกล่าวย้ำซ้ำกับเนื้อความของภาคที่เป็นร้อยแก้ว ถึงกระนั้น ก็อาจไม่เป็นการถูกต้องเสียทีเดียวที่จะกล่าวว่า ส่วนที่เป็นโศลกมีอายุเก่ากว่าส่วนที่เป็นร้อยแก้ว

      ในส่วนของธิเบต สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ได้รับการแปลเป็นภาษาธิเบตโดยท่านสุเรนทรโพธิ และ นา นัม เยเศ โด ในจีนก็มีฉบับแปลถึง 6 ฉบับ โดย 3 ฉบับแรกแปลเมื่อประมาณ พ.ศ. 796 พศ. 813 และ พ.ศ. 929 ตามลำดับ ทั้ง 3 ฉบับนี้ ปัจจุบันต้นฉบับสูญหายแล้ว ส่วน 3 ฉบับหลังที่ยังหลงเหลืออยู่ เป็นฉบับเก่าแก่ที่สุดเมื่อ พ.ศ. 878 และฉบับล่าสุดเมื่อ พ.ศ. 1144 ในจำนวน 3 ฉบับหลังนี้ ฉบับแปลของกุมารชีพ เป็นที่นิยมมากที่สุด และมีเนื้อหาใกล้เคียงกับฉบับแปลของธิเบตมากที่สุด ในฐานะที่สัทธรรมปุณฑรีกสูตร เป็นพระสูตรสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ของผู้นับถือนิกายเทียนไท้ทั้งในจีนและญี่ปุ่นและของนิกายนิชิเรนในญี่ปุ่น จึงมีคัมภีร์ประเภทอรรถกถาหรืออรรถาธิบายรวมทั้งฉบับย่อเกิดขึ้นอีกมากมาย รวมแล้วถึง 60 เรื่อง พิมพ์เผยแพร่อยู่ในประเทศเหล่านี้ในปัจจุบัน

         ต้นฉบับสัทธรรมปุณฑรีกสูตรคงจะได้มีการชำระสอบทานมาแล้ว 2 ครั้ง เดิมทีน่าจะเป็นฉบับย่อบรรจุเนื้อหาเพียงปริวรรตที่1-20 และ 27 ตามที่ปรากฏในเล่มนี้ และเล่มก่อนๆ ส่วนปริวรรตที่ 21-26 ค่อนข้างจะมีปัญหา เพราะประการแรก ฉบับแปลจีนปริวรรตที่ 27 (ซึ่งเป็นบทส่งท้ายของเรื่อง) กลับมาอยู่หลังปริวรรตที่ 20 และประการที่ 2 เนื้อหาของบทที่21-26 มุ่งเน้นไปที่ธารณีและพระโพธิสัตว์สำคัญบางองค์ เช่น พระไภษัชยราช (ปริวรรตที่ 22) พระคัทคททัสวร (ปริวรรตที่ 23) พระสมันตมุขอวโลกิเตศวร (ปริวรรตที่ 24 ) พระศุภวยูหราช (ปริวรรตที่ 25) และพระสมันตภัทร (ปริวรรตที่ 26)


         ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นแล้วว่า สัทธรรมปุณฑรีกสูตรเคยมีการชำระต้นฉบับจัดพิมพ์มาแล้ว 2 ครั้ง ฉบับสั้นมีเพียงปริวรรตที่ 1-20 และ27 ฉบับยาวมีทุกปริวรรตตั้งแต่ 1-27 แต่แม้ว่าฉบับสั้นก็ยังมีส่วนที่เป็นภาคโศลกหรือร้อยกรอง ซึ่งพิจารณาจากภาษาศาสตร์จะเห็นว่ามีความเก่าแก่กว่า และเป็นที่ยอมรับกันว่า ส่วนที่เป็นภาษาร้อยแก้วดูเหมือนจะเป็นภาษาบรรยายธรรมดาตื้นกว่า อนึ่ง ในกรณีส่วนใหญ่ ส่วนที่เป็นโศลกก็มักจะกล่าวซ้ำเนื้อความในภาคร้อยแก้วซึ่งปรากฏความนำมาก่อนโดยไม่พรรณนารายละเอียดมากนัก และในปริวรรตที่ 21-26 แทบจะไม่มีโศลกเลย หรือมีแต่น้อยมาก ซึ่งก็ไม่ได้พรรณนาซ้ำข้อความร้อยแก้วที่เป็นความนำมาก่อน อย่างไรก็ดี ก็เป็นการยากที่จะโต้แย้งว่า ส่วนที่เป็นโศลกอายุเก่าแก่กว่า ส่วนที่เป็นร้อยแก้ว และส่วนที่เป็นร้อยแก้วนั้นแต่งเพิ่มเติมเต้ามาในภายหลัง เพราะโครงสร้างของสัทธรรมปุณฑรีกสูตรไม่ได้ใช้กับโศลกและร้อยแก้วตามที่ปรากฏในปริวรรตที่1 เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปได้ และน่าจะถูกต้องที่จะลงความเห็นว่าเป็นธรรมเนียมนิยมที่ยุคสมัยนั้นจะแต่งเป็นร้อยแก้วก่อนแล้วจึงกล่าวซ้ำความเป็นโศลก เพื่อช่วยให้จดจำง่าย รูปแบบของภาษาที่ดูเก่าแก่กว่าในโศลกอาจเป็นเพียงลักษณะของคำประพันธ์ที่ต้องการจะใช้คำเก่าแก่เท่านั้น

        ความหมายของชื่อ สัทธรรมปุณฑรีกสูตร Mr.Anesaki อธิบายไว้ว่า "ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความสมบูรณ์ เพราะเจริญจากโคลนตม แต่ไม่แปดเปื้อนด้วยโคลนตมนั้น เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นในโลกนี้แต่ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่เหนือโลกนี้ (โลกุตตระ)  และเพราะเมล็ดบัวนั้นจะแก่เต็มที่ได้ก็ต่อเมื่อดอกบัวบานแล้ว เช่นเดียวกับสัจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนจะในผลดีคือการตรัสรู้ทันที" อธิบายง่ายๆว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกับปุณฑรีกหรือดอกบัว พระสูตรนี้มีชื่อเช่นนี้ก็เพราะทรงไว้ซึ่งอรรถาธิบายแห่งคำสอนนั้น

       สัทธรรมปุณฑรีกสูตร แบ่งออกเป็น 27 บท ซึ่งเรียกว่า ปริวรรต โดยส่วนใหญ่แล้วจะแสดงพระสูตรในลักษณะที่ให้ผู้ศรัทธามีความเคารพยำเกรงในพระพุทธเจ้า และในตัวของพระสูตรเอง มีจ้อความพรรณนาโวหารถึงอิทธิปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าทั้งในส่วนที่เป็นโศลกและเนื้อความร้อยแก้ว ถ้าผู้ศึกษาจะมองข้ามส่วนนี้เสียถือเอาแต่การวิเคราะห์เนื้อหาก็จะได้พบวัตถุประสงค์สำคัญของพระสูตรนี้ว่าต้องการจะกล่าวย้ำถึงคำสอนของเอกยานกล่าวคือพุทธยานซึ่งนอกเหนือไปจากตรียาน คือสาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน และโพธิสัตว์ยาน อย่างไรก็ดี เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเผชิญกับความขัดแย้งของคำสอนของพระองค์ในที่อื่นๆ ก็จะทรงอธิบายว่า พระองค์ทรงสอนแต่เพียงเรื่องเอกยานเท่านั้น พระธรรมเทศนาที่ทรงเอ่ยอ้างถึงตรียานเป็นเพียงนำผู้ปฏิบัติที่หลงทางให้เข้าสู่เอกยาน ข้อนี้เป็นคุณลักษณะของอุปายโกศล หรือ "วิธีการที่ฉลาดแยบยล" เพื่อแสดงมรรคาที่ถูกต้องแก่สาวกของพระองค์
ผู้อ่านมักจะพบคำว่าอุปายโกศลน้อยมากในพระสูตรฝ่ายมหายาน เช่นดังที่ปรากฏในอาษฏาสาหัสริกาศาสตร์ ว่ามีข้ออุปมาเปรียบเทียบและนิทานสาธกที่วิเศษยิ่งเกี่ยวกับอุปายโกศลของพระพุทธเจ้า ในปริวรรตที่ 3,4 และ 5 ของพระสูตรเล่มนี้ และผู้อ่านคงจะเห็นพ้องกับ วินเตอร์นิตซ์ ที่ว่า อุปมาอุปไมยและนิทานสาธกเหล่านี้เป็นเรื่องที่คงความงดงาม ถ้าหากว่าจะไม่ทำให้เรื่องต้องยึดยาดเยิ่นเย้อออกไปจนกระทั่งว่าประเด็นสำคัญของข้ออุปมาอุปไมยต้องมีผลกระทบไปด้วย ความเยิ่นเย้อ เช่นนี้เป็นลักษณะของสัทธรรมปุรฑรีกสูตรนี้ ข้อความที่วกวนเช่นนี้อาจทำให้ผู้อ่านเกิดความสับสนงุงงงได้ และแนวคิดหลักจริงๆ ก็มักอยู่ในกระแสคำบรรยายดังว่านี้

       เป็นการยากที่จะชี้ชัดลงไปในแน่นอนว่าสัทธรรมปุณฑรีกสูตรมีการจารึกขึ้นเมื่อไร ต้นฉบับเนปาลที่ใช้เป็นต้นฉบับพิมพ์เล่มนี้ล้วนมีอายุเหลังพุทธกาล 1500ปี ทั้งสิ้น ฉบับแปลของธิเบตซึ่งปรากฏก่อนหน้านี้ ก็ตกอยู่ในประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 และฉบับแปลจีนของท่านกุมารชีพ ก็มีเนื้อความคล้ายคลึงกันกับฉบับของธิเบต เมื่อมีการสอบทานชำระอาจจะเกิดฉบับที่มีข้อความสั้นเพียงบทที่ 1-20 และ 27 ก่อนฉบับสมบูรณ์ 27 บทปัจจุบัน หากไม่พิจารณาถึงการสอบทานฉบับเก่าๆ หันมาพิจารณาเฉพาะฉบับแปลแรกๆของจีน จะมีอายุในช่วง พ.ศ.776-998 วินเตอร์นิตซ์ ให้ความเห็นว่า ท่านนาคารชุนได้ยกข้อความไปจากนี้ เพราะฉะนั้นต้นฉบับเดิมคงจะมีขึ้นแล้วเมื่อประมาณ พ.ศ.693 เพราะฉะนั้น ไม่น่าจะผิดพลาดนักถ้าเราจะกำหนดว่าสัทธรรมปุณฑรีกสูตรจารึกไว้เมื่อพุทธศตวรรษที่ 6 ลักษณะของสัทธรรมปุณฑรีกสูตรแสดงให้เห็นพัฒนาการอันสุกงอมของพระพุทธศาสนามหายาน โดยเฉพาะในแง่ของการอุทิศตนเพื่อพระพุทธเจ้า ความเชื่อในการบูชาพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูป และพัฒนาการก้าวหน้าแห่งพุทธศิลป์

        เฉพาะในประเทศจีน สัทธรรมปุณฑรีกสูตรมีการแปลถ่ายทอดเป็นภาษาจีนถึง 6 ครั้งด้วยกัน แต่ 3 ฉบับแปลแรกได้สูญหายไปแล้วเมื่อประมาณ พ.ศ. 1273 เมื่อมีการจัดทำบัญชีรายชื่อคัมภีร์พระพุทธศาสนาขึ้นโดยท่านจื้อเซิง อีก 3 สำนวนแปลหลังที่ยังหลงเหลืออยู่เป็นของท่านธรรมรักษ์ พ.ศ.829 ท่านกุมารชีพ พ.ศ.934 และท่านชญานคุปตะร่วมกับท่านธรรมคุปตะ พ.ศ.1144 ฉบับแปลล่าสุดจะมีเนื้อความสอดคล้องกับต้นฉบับภาษาสันสกฤตมากที่สุด ฉบับแปลของท่านกุมารชีพ ทั้งที่มีในจีนและญี่ปุ่นมีขนาดยาว 8ผูก มีรวม 28 ปริวรรต โดยเพิ่ม "เทวทัตปริวรรต" คือบททีว่าด้วยพระเทวทัตเข้ามาอีกหนึ่งบท พระสูตรนี้เป็นที่เคารพนับถือมากในหมู่ผู้นับถือนิกายเทียนไท้ (เทนได) ทั้งในจีนและญี่ปุ่น โดยเฉพาะนิกายนิชิเรนถือเป็นพระสูตรสำคัญมากที่สุดพระสูตรหนึ่งของมหายาน ซึ่งมีหลักคำสอนว่า แม้แต่สาวกของยานอื่นๆก็สามารถบรรลุความตรัสรู้อันสมบูรณ์ได้ และสอนว่าความตรัสรู้อันสมบูรณ์นั้น พระพุทธเจ้าได้บรรลุมาเนิ่นนานหลายกัลปหลายกัลป์จนนับมิได้แล้ว

         ในส่วนของอรรถกถาพระสูตรนี้ ท่านวสุพันธุ ได้รจนาเป็นฉบับย่อในชื่อว่า "สัทธรรมปุณฑรีกสูตรอุปเทศ" ในจีนมีคัมภีร์ชั้นฎีกาเกิดขึ้นมากมาย เช่นของท่านเต้าเซิง, ฝ่าอวิ่น, จื้ออี, จี้จ้าง, และกุยจี เป็นต้น แม้แต่ท่านจื้ออี(มหาคุรุเทียนไท้) ผู้สถาปนานิกายเทียนไท้ ก็อาศัยมูลฐานจากพระสูตรนี้ ในญี่ปู่น เจ้าชายโชโตกุ ก็ทรงแต่งอรรถาธิบายพระสูตรฉบับสันสกฤตและฉบับแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ ก็มีปราชญ์ตะวันตกจัดพิมพ์เผยแพร่ดังกล่าวแล้วข้างต้น

         อนึ่ง มีข้อที่ควรทราบถึงความสำคัญของสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ว่า ในกลุ่มประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนามหายาน เช่นจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน เวียตนาม และแม้แต่นิกายมหายานในประเทศไทย เมื่อมีพิธีเกี่ยวกับการบูชาพระอวโลกิเตศวร(กวนอิม)ก็จะนิยมสวดบท "สมันตมุขปริวรรต" โดยมิได้ขาด อันเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พระสูตรนี้เป็นบ่อเกิดแห่งศิลปกรรมและพิธีกรรมต่างๆ มากมายนอกเหนือไปจากหลักธรรมและปรัชญาอันลึกซึ้ง

         ในการศึกษาวิเคราะห์ด้านเนื้อหาสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนั้น บทที่ 2 คืออุปายโกศลปริวรรต มีอิทธิพลต่อแนวคิดของท่านจื้ออีหรือเทียนไท้มาก เพราะถือว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าก่อนหน้านี้เป็นเพียงอุบายเทศนาวิธี แต่สัทธรรมปุณฑรีกสูตรคือแก่นแท้ของพระสัทธรรม ซึ่งสรุปเป็นเอกพุทธยาน

          ในส่วนของท่านนิชิเรน ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากสัทธรรมปุณฑรีกสูตรเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะบทที่ 15 ตถาคตายุษประมาณปริวรรต ท่านถือว่าพระศรีศากยมุนีพุทธเจ้าเป็นเพียงนิรมานกายของพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ซึ่งตรัสรู้มาแล้วเนิ่นนานจนนับกาลไม่ได้แล้วและสุดท้ายท่านสรุปว่า ตัวท่านเองคือผู้สำแดงร่างของพระพุทธเจ้าองค์ล่าสุด ถึงกับตั้งสมญานามตนเองว่า  ไดโชนิน"ซึ่งแปลว่า "พระมหามุนี" นอกจากนี้บทท้ายๆคือ บทที่26-27 ซึ่งท่านนิชิเรนนำแนวคิดซึ่งพระสูตรไปใช้เป็นบทสัมภาวนา "นามเมียวโฮเรงเงเกียว" [นโม สทฺธรฺมปุณฺฑรีกสฺย]และสร้างมณฑลสัญลักษณ์ ซึ่งเรียกว่า "ไดโมกุ" เป็นวัตถุแห่งการบูชาผู้ศึกษาวิจัยควรอ่านประวัติของท่านจื้ออีผู้สถาปนานิกายเทียนไท้ของจีนและประวัติของท่านนิชิเรน ไดโชนิน จะได้ทราบแนวคิดที่ท่านทั้งสองได้ไปจากสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ และน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับความเลิศล้ำของพระสูตรนี้

          ในประเทศไทย มีผู้แปลพระสูตรนี้จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยหลายสำนวนต่างกรรมต่างวาระ มีจำหน่ายเผยแพร่อยู่โดยทั่วไปแล้ว สัทธรรมปุณฑรีกสูตรเล่มนี้แปลจากต้นฉบับภาษาสันสกฤตโดยตรงโดยผู้เชี่ยวชาญภาษาสันสกฤตของกรมศิลปากรคือ อาจารย์ชะเอม แก้วคล้าย โดยใช้ต้นฉบับของสถาบันมิถิลา ประเทศอินเดีย ซึ่งมี ดร.พิ แอล ไวทยะ เป็นบรรณาธิการ จัดพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2503 ข้าพเจ้ามีส่วนช่วยขัดเกลาสำนวนภาษาไทยบ้างเล็กน้อย และตรวจสอบคำแปลบางศัพท์ให้ตรงกับหลักธรรมและคติมหายาน



ทรงวิทย์ แก้วศรี
บรรณาธิการ


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553 10:38:17 »




พระสูตรสัทธรรมปุณฑรีกะ

วัดโพธิ์แมนคุณาราม
นายชะเอม แก้วคล้าย แปลจากต้นฉบับสันสกฤต

 
                โอม ข้าพเจ้าขอนมัสการพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ข้าพเจ้าขอนมัสการ พระตถาคต พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสาวกทั้งปวง และพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่มีในอดีตอนาคตและปัจจุบัน ข้าพเจ้าจักพรรณนา สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ซึ่งเป็นสูตรที่สมบูรณ์และสำคัญ เป็นสูตรที่แสดงการจุติ (อวตาร) เพื่อแนะนำประโยชน์สูงสุด และเป็นแนวทางอันยิ่งใหญ่แก่สัตว์ทั้งหลาย

บทที่1 นิทานปริวรรต
บทนำ


                ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ว่า สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฎ ในเมืองราชคฤห์ พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก คือพระภิกษุ 1200 รูป ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ หมดทุกข์ ปราศจากกิเลส มีจิตและปัญญาหลุดพ้นแล้ว เป็นบุรุษอาชาไนย ได้กระทำกิจอันความกระทำแล้ว เหมือนพญาช้างผู้มีภารกิจที่ได้ทำสำเร็จแล้ว เพราะความรู้ชอบในการควบคุมความคิดทั้งปวง ได้ฌานอภิญญา พระมหาสาวกเหล่านั้น อาทิ ท่านอัชญาตเกาณฑินยะ ท่านอัสวชิตะ ท่านวาษปะ ท่านมหานามะ ท่านภัทริกะ ท่านมหากาศยปะ ท่านอุรุวิลวกาศยปะ ท่านนทีกาศยปะ ท่านคยากาศยปะ ท่านศาริบุตร ท่านมหาเมาทคัลยายะ ท่านมหากาตยายนะ ท่านอนิรุทธะ ท่านเรวตะ ท่านกัปผินะ ท่านความปติ ท่านปิลินทวัตสะ ท่านพักกุละ ท่านมหาเกาษฐิละ ท่านภรทวาชะ ท่านมหานันทะ ท่านอุปนันทะ ท่านสุนทรนันทะ ท่านปูรณไมตรายณีปุตระ ท่านสุภูติ และท่านราหุล พร้อมทั้งมหาสาวกอื่นๆนอกจากที่กล่าวแล้ว  อาทิ ท่านอานนท์ผู้เป็นเสขบุคคล พร้อมด้วยพระภิกษุอื่นอีก 2000 รูป บางรูปเป็นพระเสขะ บางรูปเป็นพระอเสขะ ภิกษุณี 6000 รูป มีพระนางมหาประชาบดีเป็นประมุข และท่านภิกษุณียโสธรา ผู้เป็นพระมารดาของพระราหุล รวมทั้งบริวารด้วย กับ พระโพธิสัตว์ 80000 องค์

ทุกองค์เป็นผู้ไม่หวั่นไหว มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดเพียงชาติเดียว เป็นผู้ได้ธารณีในการตรัสรู้อันประเสริฐยิ่ง เป็นผู้ดำรงอยู่ มีมหาปฎิภานยิ่ง ผู้ได้เข้าใกล้ พระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ ที่ได้หมุนธรรมจักรให้เคลื่อนไป ผู้มีกุศลมูล ที่ได้ทำกับพระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ ผู้ได้สดุดีพระพุทธเจ้านับแสนพระองค์มาแล้ว ผู้มีกายและจิตอันเปี่ยมด้วยเมตตา ผู้มีสายสกุลสืบต่อปัญญาของพระตถาคต มีปัญญามาก เข้าถึงคติแห่งปรัชญาปารมิตา เป็นที่รู้จักในหลายแสนโลกธาตุ และเป็นผู้ช่วยเหลือสัตว์จำนวนหลายหมื่นโกฎิ เหมือนอย่างพระโพธิสัตว์มหาสัตว์มัญชุศรีกุมารภูตะ พระอวโลกิเตศวร พระมหาสถามปราปตะ พระสรวารถนามัน พระนิตโยทยุกตะ พระอนิกษิปตธุระ พระรัตนปาณี พระไภษัชยราช  พระไภษัชยสมุทคตะ  พระวยูหราช พระประทานศูระ พระรัตนจันทระ พระรัตนประภานะ พระสตตสมิตาภิยุกตะ พระธรณีธระ พระอักษยมติ  พระปัทมศรี  พระนักษัตรราช  พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ไมไตรยะ  พระโพธิสัตว์มหาสัตว์สิงหะ กับสัตบุรุษ16 คน ซึ่งมีภัทรปาละ เป็นผู้น้ำ คือภัทรปาละ  รัตนากระ  สุสารถวาหะ  นรทัตตะ คุยหคุปตะ  อรุณทัตตะ อินทรทัตตะ อุตตรมติ  วิเศษมติ  วรรธมานมติ  อโมฆทรรศี  สุสัมประสถิตะ  สุวิกรานตวิกรามี  อนุปมมติ  สูรยครรภะ  และธรณีนธระ  พร้อมกับพระโพธิสัตว์ 80,000องค์ 

ซึ่งท่านที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นผู้นำ พร้อมด้วยท้าวสักกะ จอมแห่งทวยเทพ  ซึ่งมีเทพบุตร 20,000 องค์  เป็นบริวาร อาทิ  จันทรเทพบุตร  สูรยเทพบุตร  สมันตคันธเทพบุตร  รัตนประภาเทพบุตร  อวภาสประภาเทพบุตร และเทพบุตร 20,000 องค์ ซึ่งมีเทพที่กล่าวมาแล้วเป็นผู้นำ และพร้อมทั้งมหาราชทั้ง 4 ซึ่งมีเทพบุตร 30,000 องค์ เป็นบริวาร คือมหาราชวิรูตกะ  มหาราชวิรูปากษะ  มหาราชธฤตราษฎระ  และมหาราชไวศรวณะ  และเทพบุตรอีศวร  เทพบุตรมเหศวร  ซึ่งทั้งสองมีเทพบุตร 30,000 องค์เป็นบริวาร และพร้อมทั้งสหามบดีพรหม  ซึ่งมีเทพบุตรรูปพรหม 12,000 องค์เป็นบริวาร ได้แก่ ศิบิพรหม และชโยติษประภาพรหม เป็นต้น พร้อมด้วยเทพบุตรรูปพรหม 12,000 องค์ ซึ่งมีพรหมที่กล่าวนามมาแล้วเป็นผู้นำ  พร้อมด้วยพญานาคราช ทั้งแปด ซึ่งมีพญานาคราชหลายแสนโกฏิเป็นบริวาร  ได้แก่ นาคราชนันทะ  นาคราชอุปนันทะ  นาคราชสาคระ  นาคราชวาสุกี  นาคราชตักษกะ  นาคราชมนัสวิน  นาคราชอนวตัปตะ  และนาคราชอุตปลกะ  พร้อมด้วยกินนรราชทั้งสี่  ซึ่งมีกินนรหลายแสนโกฏิเป็นบริวาร  ได้แก่กินนรราชทรุมะ  กินนรมหาธรรมะ  กินนรสุธรรมะ  กินนรธรรมธระ  และเทพบุตรคนธรรพ์ทั้งสี่  ซึ่งมีคนธรรพ์หลายแสนเป็นบริวาร  คืนคนธรรพ์มโนชญ์  คนธรรพ์มโนชญ์สวระ  คนธรรพ์มธุระ  และคนธรรพ์มธุรสวระ  จอมอสูรทั้งสี่ ซึ่งมีอสูรหลายแสนโกฏิเป็นบริวาร  คือจอมอสูรพลี  จอมอสูรบรัสกันธะ  จอมอสูรเวมจิตรี และจอมอสูรราหู  กับจอมครุฑทั้งสี่  ซึ่งมีครุฑหลายแสนโกฏิเป็นบริวาร  คือจอมครุฑมหาเตชะ  จอมครุฑมหากายะ  จอมครุฑมหาปูรณะ  จอมครุฑมหาฤทธิปราปตะ  รวมทั้งพระเจ้าอชาตศัตรูราชาแห่งมคธนคร ผู้เป็นโอรสของพระนางเวเทหิด้วย


                นัยว่า สมัยนั้นพระผู้มีพระภาค  ซึ่งมีบริษัทสี่ แวดล้อม ถวายความเคารพ นบนอบ ยกย่อง นับถือ สรรเสริญ บูชา และนอบน้อมแล้ว หลังจากได้ตรัสพระสูตรธรรมบรรยายที่ซึ่อว่า “มหานิรเทศ”  อันเป็นคำสอนที่ไพบูลย์ยิ่ง เป็นคำสอนที่ทรงแสดงแก่พระโพธิสัตว์และเป็นคำสอนที่เกื้อหนุนต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย แล้วทรงประทับนั่งบนธรรมาสน์ใหญ่นั้น นั่นแล ทรงเข้าสมาธิที่เรียกว่า “อนันตนิรเทศประดิษฐาน” มีพระวรกายนิ่ง จิตสงบ ก็ในขณะที่พระผู้มีพระภาค ทรงเข้าสมาธินั้น สายฝน ดอกไม้ทิพย์จำนวนมาก คือดอกมณฑารพ ดอกมหามณฑารพ ดอกมัญชูษกะ และดอกมหามัญชูษกะ ได้โปรยลงเหมือนสายฝนตกต้องที่พระผู้มีพระภาค และบริษัททั้งสี่ ทำให้พุทธเกษตรทั้งปวง สั่นสะเทือนเป็นหกจังหวะคือ เคลื่อนไป-เคลื่อนมา ฟูขึ้น-ยุบลง โคลงไป-โคลงมา นัยว่า สมัยนั้น ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร พญานาค มนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งอยู่ในที่ประชุมนั้น ทั้งพระราชา พระจักรพรรดิผู้มีพลัง ที่ครองนครทั้งหลายและจักรพรรดิผู้ครองทวีปทั้งสี่ ซึ่งประทับนั่งอยู่ที่นั้น ทั้งหมดพร้อมด้วยบริวาร ได้พากันมองมาที่พระผู้มีพระภาค และได้ถึงความประหลาดใจ อัศจรรย์ใจไปตามๆกัน

                ก็ในเวลานั้นแล  รัศมีดวงหนึ่งได้ฉายออกมาจากกลุ่มพระอูรณะ (พระโลมารูปวงกลม) ระหว่างพระขนงของพระผู้มีพระภาค พระรัศมีนั้นแผ่คลุมไปทั่ว 18,000 พุทธเกษตร ในทิศบูรพา และพุทธเกษตรทั้งหมดนั้น ได้ปรากฏ สว่างไสวไปด้วยแสงรัศมีนั้น จนถึงอเวจีมหานรก และจรดจุดสูงสุดของขอบจักรวาล อนึ่งในพุทธเกษตรเหล่านั้น สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่มีอยู่ในคติทั้งหก ก็เห็นกันโดยถ้วนทั่ว และในพุทธเกษตรเหล่านั้น  พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง ที่ทรงประทับยืน นั่ง และดำเนินไปอยู่  ก็ได้เห็นกันทั่ว พระธรรมทั้งหมด  ที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย แสดงก็ได้ยินกันอย่างทั่วถึง ในพุทธเกษตรเหล่านั้น ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ฝึกโยคะ ผู้บรรลุ และยังไม่ได้บรรลุผลวิเศษทุกคนก็ได้เห็นกันถ้วนทั่ว ในพุทธเกษตรเหล่านั้น พระโพธิสัตว์ มหาสัตว์ ทั้งหมด  ที่ประพฤติข้อวัตร ปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ ด้วยความฉลาดในอุบาย อันมีการฟัง การยึดมั่นและการน้อมใจเชื่อเป็นเหตุต่างๆ มิใช่น้อย ก็ได้ปรากฏให้เห็นในพุทธเกษตรทั้งหลายเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวงที่ปรินิพพานแล้ว ก็มาปรากฏให้เห็นในพุทธเกษตรเหล่านั้น  แม้พระสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายทั้งปวง ที่สร้างด้วยรัตนะต่างๆ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ผู้ดับขันธปรินิพพานนานแล้ว ก็ปรากฏให้เป็นเช่นกัน

                ครั้งนั้นแล พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ไมเตรยะ ได้ทรงมีดำริว่า พระตถาคตได้ทรงทำมหานิมิตปาฏิหาริย์นี้ จักมีเหตุอะไรหนอ  อะไรเป็นเหตุให้พระผู้มีพระภาค ได้ทรงกระทำมหานิมิตปาฏิหาริย์เห็นปานนี้ และพระผู้มีพระภาค ได้ทรงเข้าสมาธิแล้ว ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์เห็นปานนี้ จึงเป็นอจินไตย ได้ปรากฏให้เห็นแล้ว เราควรจะถามเนื้อความที่ควรจะถามนี้หรือหนอแล ณ ที่นี้ ใครหนอ พึงเป็นผู้สามารถที่จะทำให้เนื้อความนี้กระจ่างได้ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ไมเตรยะนั้น ได้ทรงมีดำริต่อไปว่า พระโพธิสัตว์มัญชุศรีกุมารภูตะองค์นี้ผู้มีอธิการได้กระทำแล้วต่อพระชินเจ้าองค์ก่อนๆ มีกุศลมูลอันปลูกฝังไว้แล้ว (ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ)และได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าจำนวนแล้ว อนึ่ง นิมิตเช่นนี้ ของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อน จักเป็นสิ่งที่พระโพธิสัตว์มัญชุศรีกุมารภูตะนี้ได้เคยเห็นมาแล้ว ก็แล การถามธรรมะอันยิ่งใหญ่ก็เคยมีมาแล้ว เราควรถามข้อความนี้กะท่านพระมัญชุศรีกุมารภูตะ ดีไหมหนอ? บริษัทสี่ คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร พญานาค มนุษย์ และอมนุษย์ ทั้งหลาย จำนวนมากเหล่านั้น เห็นปรากฏการณ์แห่งปาฏิหาริย์ ที่เป็นเช่นนี้ เป็นนิมิตหมายอันยิ่งใหญ่ของผู้มีพระภาค ก็ประหลาด มหัศจรรย์ใจ โกลาหล คิดกันว่า ทำไมหนอ พวกเราจึงไม่ถามปรากฏการณ์แห่งอิทธิปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่เห็นปานนี้ของพระผู้มีพระภาค

                ขณะนั้นแล พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ไมเตรยะ ได้ทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของบริษัทสี่ด้วยจิตเช่นกันและตนเองก็สงสัยในธรรม จึงได้ถามพระโพธิสัตว์มัญชุศรีกุมารภูตะในเวลานั้นว่า ข้าแต่พระมัญชุศรี ณ ที่นี้ อะไรเล่าเป็นเหตุ อะไรเล่าเป็นปัจจัย ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์แห่งฤทธิ์ของพระผู้มีพระภาค ที่เป็นมหัศจรรย์ถึงเพียงนี้และพุทธเกษตร 18000 เหล่านี้ ที่มีพระตถาคตซึ่งปรินิพพานแล้ว และพระตถาคตที่กำลังสั่งสอนศาสนาธรรมอยู่ ปรากฏเห็นเป็นวิจิตรสวยงามน่าดูเป็นอย่างยิ่ง
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553 10:53:58 »


   ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ไมเตรยะ ได้ทรงกล่าวกับพระมัญชุศรีกุมารภูตะ ด้วยคาถาทั้งหลายว่า

1         ข้าแต่พระมัญชุศรี เพราะเหตุใดเล่า พระผู้นำของนรชน (พระผู้มีพระภาค) จึงทรงเปล่งพระรัศมีออกมา และพระรัศมีซึ่งมีแสงประกายนี้ ได้ปรากฏจากกลุ่มพระอูรณะ ซึ่งอยู่ระหว่างพระขนง

2         ทวยเทพทั้งหลาย มีความยินดีได้โปรยปรายดอกมณฑารพ ดอกมัญชูษกะผสมผงผงจันทน์ซึ่งเป็นทิพย์ มีกลิ่นหอมน่ารื่นรมย์ ลงมาเป็นห่าฝน

3         ปฐพีทั้งปวงงามไปทั่วทุกสารทิศ บริษัททั้งสี่ก็ได้รับความปิติ และพุทธเกษตรทั้งปวง ก็สั่นสะเทือนถึงหกจังหวะอย่างน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

4         ก็แลรัศมีนั้น แผ่ไปทั่วทั้ง 18,000 พุทธเกษตรในทิศบูรพา และพุทธเกษตรทั้งหมด สว่างไสวปานสีทองพร้อมกัน

5         สัตว์ทั้งหลาย ที่อยู่ในภูมิทั้ง 6 ทั้งที่ตายและกำลังเกิดอยู่ในสถานที่ต่างๆ ตั้งต้นแต่ อเวจีมหานรกจนถึงพรหมโลก (เราก็เห็นสัตว์เหล่านั้นได้)

6         กรรมชนิดต่างๆ ของสรรพสัตว์ที่มีสุขและมีทุกข์ ที่เลว ประณีต และปานกลาง ที่ปรากฏในคติทั้งหลาย ผู้ยืนอยู่ที่นี่ก็สามารถมองเห็นกรรมทั้งหมดนั้นได้

7         ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นจอมแห่งพระราชา ซึ่งกำลังประกาศและแสดงธรรม ยกอุทาหรณ์ให้ปรากฏแก่สรรพสัตว์จำนวนหลายโกฏิ ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ

8         พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อประกาศพุทธธรรม ด้วยการแสดงเหตุผลหลายหมื่นโกฏิวิธี ย่อมทรงเปล่งพระสุรเสียงลึกซึ้งไพเราะ และอัศจรรย์ ในพุทธเกษตรของแต่ละพระองค์

9         ก็แลสัตว์ที่โง่เขลาเบาปัญญา ถูกความทุกข์บีบคั้น มีจิตใจเดือดร้อน เพราะการเกิดและความแก่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ทรงประกาศวัตรปฏิบัติเพื่อความสงบสุขแก่สัตว์เหล่านั้น ด้วยพระดำรัสว่า โอ ภิกษุทั้งหลาย นี่คือที่สุดแห่งความทุกข์

10     ส่วนชนที่มีพลังแข็งกล้า ถึงพร้อมด้วยบุญบารมี ประกอบด้วยทัศนะที่ดีต่อพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะทรงแสดงธรรมเครื่องนำทางแก่เขาก็ตรัสยานเฉพาะแก่เขา

11     ส่วนชนเหล่าอื่น ที่เป็นบุตรพระสุคต ที่กำลังแสวงหาญาณอันวิเศษสุด ซึ่งได้ทำงานมาตลอดกาล พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมตรัสสอนพรต เพื่อการตรัสรู้แก่เขา

12     ข้าแต่ท่านมัญชุโฆษะ ข้าพเจ้ายืนอยู่ ณ ที่นี้ย่อมได้ยินและเห็นเรื่องเช่นนี้และเรื่องพิเศษอื่นๆ รวมเป็นจำนวนพันโกฏิเรื่อง จากเรื่องเหล่านั้น ข้าพเจ้าจะเล่าเพียงบางเรื่อง

13     ในพุทธเกษตรจำนวนมากมายนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นพระโพธิสัตว์จำนวนมากหลายพันโกฏิ มีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ที่ได้บรรลุโพธิญาณ ด้วยความเพียรต่างๆกัน

14     พระโพธิสัตว์บางพวกในทาน คือ การบริจาคทรัพย์สมบัติ เงินทอง แก้วมุกดา แก้วมณี สังข์ ศิลา แก่ประพาฬ ทาสชาย ทาสหญิง รถ ม้า และแกะ เป็นต้น

15     พระโพธิสัตว์บางพวกมีจิตเบิกบานทำตนให้เจริญอยู่ เพื่อการตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐในโลก ในทานด้วยการบริจาคควอ และเครื่องประดับที่เป็นรัตนะทั้งหลาย ด้วยคิดว่า เรา เมื่อน้อมใจไปอยู่ พึงได้ยานในพระโพธิญาณอันประเสริฐนี้

16     พระโพธิสัตว์บางพวก ในทานเช่นนี้ ด้วยคิดว่า พุทธยาน ที่พระสุคตทั้งหลายได้แสดงแล้ว เป็นยานที่ประเสริฐและวิเศษสุด ในโลกธาตุทั้งสาม เราจงได้พุทธยานนั้นโดยพลันเถิด

17     พระโพธิสัตว์บางพวก ให้ทาน เช่นรถเทียมม้า 4 ตัว ซึ่งมีที่นั่งประดับด้วยดอกไม้และธงชัยพร้อมทั้งธงเวชยันต์ และบางพวกบริจาควัตถุทั้งหลายที่ทำด้วยรัตนะ

18     พระโพธิสัตว์บางพวก บริจาคบุตรชาย และบุตรหญิงทั้งหลาย บางพวกบริจาคเนื้อหนังอันเป็นที่รักของตน และบางพวกปรารถนาธรรมอันเลิศนี้ ได้บริจาคมือและเท้าทั้งหลาย ที่บุคคลอื่นขอ

19     พระโพธิสัตว์บางพวก บริจาคศีรษะ บางพวกบริจาคนัยน์ตา บางพวกบริจาคร่างกายอันประเสริฐ ก็แล ครั้นบริจาคทานทั้งหลายแล้ว เป็นผู้มีจิตผ่องใส ย่อมปรารถนาการบรรลุญาณของพระตถาคตทั้งหลาย

20     ข้าแต่พระมัญชุศรี ข้าพเจ้าเห็นว่า ในที่บางแห่ง กษัตริย์ทั้งหลาย สละราชสมบัติจำนวนมาก สละถิ่นที่ประทับ ทวีป อำมาตย์ และพระญาติทั้งปวง สละทุกสิ่งทุกอย่าง

21     กษัตริย์เหล่านั้น เข้าไปเฝ้าพระผู้นำของชาวโลกทั้งหลาย (พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย) เพื่อความเป็นสิริมงคล แล้วถามข้อธรรมอันประเสริฐ ทรงตัดพระเกศา พระมัสสุ แล้งครองผ้ากาสาวพัสตร์

22     และข้าพเจ้าได้พบเห็นพระโพธิสัตว์ทั้งหลายบางพวก ที่เป็นเช่นภิกษุผู้อยู่ในป่าใหญ่ บางพวกอาศัยป่าที่ว่างเปล่า และยินดีในการศึกษาค้นคว้า (พระธรรม)

23     อนึ่งข้าพเจ้าได้พบเห็นพระโพธิสัตว์ของท่านซึ่งมีปัญญา เข้าไปสู่ถ้ำที่ภูเขาเจริญวิปัสสนา ใคร่ครวญพุทธญาณ พิจารณาตนเองอยู่

24     บุตรทั้งหลายเหล่าอื่นของพระสุคต ละกามโดยไม่เหลือ อบรมตนจนมีอารมณ์บริสุทธิ์ ได้บรรลุอภิญญา5 อาศัยอยู่ในป่า

25     บางพวกที่ปราชญ์ ยืนชิดเท้าประคองอัญชลีต่อหน้าพระผู้นำทั้งหลาย (พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย) กล่าวสดุดีพระชิเนนทรราช ที่ก่อให้เกิดความหรรษาด้วยคาถาหลายพัน

26     บางพวกมีสติ ฝึกอินทรีย์ได้แล้ว เป็นผู้คงแก่เรียนและรู้ศิลปะทั้งปวง ถามซึ่งธรรมของพระสุคตผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ และครั้นได้ฟังแล้วก็จดจำธรรมนั้นไว้

27     ข้าพเจ้าได้เห็นพระชิเนนทรบุตรบางพวก ซึ่งได้อบรมตนแล้ว ณ ที่นั้นๆ แสดงธรรมแก่มนุษย์ จำนวนหลายโกฏิ ด้วยการแสดงเหตุผลหลายหมื่นอย่าง

28     พระชิเนนทรบุตรเหล่านั้น เกิดความปราโมทย์  ชักชวนพระโพธิสัตว์จำนวนมากให้เผยแผ่ธรรมอยู่ ท่านเหล่านั้นได้ทำลายมารผู้มีกำลัง  พร้อมทั้งเสนามารได้แล้ว จึงลั่นกลองธรรม

29     ข้าพเจ้าได้เห็นบุตรตถาคต บางพวกผู้ไม่เย่อหยิ่ง ถ่อมตน มีจริยวัตรสงบเสงี่ยมในศาสนาของพระตถาคต เป็นที่บูชาของมนุษย์ เทพ ยักษ์ และรากษสทั้งหลาย

30     บางพวกอาศัยอยู่ในป่าทึบ เปล่งรัศมีจากกาย ยกสัตว์ทั้งหลายขึ้นจากนรกให้เตรียมพร้อมเพื่อพระโพธิญาณ

31     พระชินบุตรบางพวกเหล่าอื่น ตั้งอยู่ในความเพียร ละความเกียจคร้านได้โดยสิ้นเชิง ประกอบการเดินจงกรม ตั้งอยู่ในความบริสุทธิ์ด้วยความเพียร ท่านเหล่านั้น ย่อมบรรลุธรรมอันวิเศษได้

32     และพระชินบุตรบางพวก รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ไม่ให้ด่างพร้อยทุกเมื่อ เช่นเดียวกับแก้วมณีและรัตนะทั้งหลาย และมีความประพฤติอันสมบูรณ์แบบ ท่านเหล่านั้นสามารถบรรลุพระโพธิญาณอันประเสริฐได้ด้วยศีลนั้น ณ ที่นั้น

33     พระชินบุตรทั้งหลาย บางพวก มีความอดทนเป็นพลัง ย่อมอดทนต่อภิกษุทั้งหลายที่มีความเย่อหยิ่ง ด่าบริภาษและติเตียน พระชินบุตรเหล่านั้น สามารถบรรลุพระโพธิญาณอันประเสริฐได้ ด้วยความอดทนนั้น

34     ข้าพเจ้าได้พบเห็นพระโพธิสัตว์ บางพวก ละความยินดีในโลกิยสุขทั้งปวง ละทิ้งสหายผู้เป็นพาลทั้งหลายแล้ว ยินดีการสังสรรค์ ดำรงอยู่กับหมู่ชนผู้เป็นอริยะทั้งหลาย

35     พระโพธิสัตว์เหล่านั้น ละความคิดที่ฟุ้งซ่าน เข้าสมาธิทำจิตให้เป็นอารมณ์เดียวในป่าและถ้ำเป็นเวลาหลายพันโกฏิปี ท่านเหล่านั้น สามารถบรรลุพระโพธิญาณอันประเสริฐได้ด้วยสมาธินั้น

36     พระชินบุตรบางพวก บริจาคสิ่งของที่เป็นขาทนียะ โภชนียะควรเคี้ยว ข้าว น้ำ ยารักษาโรค จำนวนมาก ให้เป็นทาน ณ เบื้องพระพักตร์ ของพระชินเจ้าพร้อมทั้งหมู่ศิษย์

37     พระชินบุตรบางพวก ทำการบริจาคผ้าจำนวนร้อยโกฏิ ซึ่งมีมูลค่าหลายร้อยพันโกฏิ และบางพวกบริจาคผ้าทั้งหลายที่มีค่านับไม่ได้ ณ เบื้องพระพักตร์ พระชินเจ้าพร้อมทั้งหมู่ศิษย์

38     พระชินบุตรบางพวก ให้สร้างวิหารตั้งร้อยโกฏิ ประดับประดาด้วยรัตนะ และไม้จันทน์ ที่นอนที่นั่งมากมาย ให้เป็นทาน ณ เบื้องพระพักตร์ของพระสุคตเจ้าทั้งหลาย

39     พระชินบุตรบางพวก ถวายสวนอันสะอาดและน่ารื่นรมย์ ซึ่งมีผลไม้และดอกไม้หลากสี แด่พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย พร้อมด้วยสาวกเพื่อพักผ่อน ในเวลากลางวัน

40     ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีความยินดีปรีดา บริจาคทานหลายอย่างที่วิจิตร ก็แล ครั้นบริจาคแล้ว ได้ทำความเพียรให้เกิดขึ้นเพื่อพระโพธิญาณ ท่านเหล่านั้นย่อมบรรลุธรรมอันวิเศษได้ด้วยทานนั้น

41     พระชินบุตรบางพวก อธิบายธรรมอันเกี่ยวกับความสงบด้วยการแสดงเหตุผลเป็นจำนวนไม่น้อย นับได้หลายหมื่นอย่าง และแสดงธรรมนั้นแก่ประชาชนจำนวนหลายพันโกฏิ ท่านเหล่านั้นย่อมบรรลุธรรมอันวิเศษได้ด้วยญาณนั้น

42     บุตรพระตถาคตเจ้าบางพวก รู้อยู่ ไม่ปรารถนา ไม่ยึดติดสิ่งใด เหมือนความเสมอภาคของพระอาทิตย์  แล้วประพฤติธรรมเป็นทวีคูณ ท่านเหล่านั้นย่อมบรรลุธรรมอันวิเศษได้ ด้วยปัญญา

43     ข้าแต่ท่านมัญชุโฆษะ ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้ายังได้เห็นพระโพธิสัตว์จำนวนมาก ผู้มั่นคงในพระศาสนาของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ที่ปรินิพพานแล้ว ยังทำการสักการะพระธาตุของพระชินเจ้าทั้งหลาย


44     ข้าพเจ้าเห็นพระสถูปมากมายหลายพันโกฏิ เท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ที่พระชินบุตรทั้งหลาย ให้สร้างขึ้นประดับแผ่นดินเป็นจำนวนหลายโกฏิ

45     พระสถูปอันประเสริฐทั้งหลาย สร้างด้วยวัตถุมีค่า 7 ประการ สูง 5,000 โยชน์ และวัดโดยรอบที่ฐาน 2,000 โยชน์ ที่พระสถูปนั้นมีทั้งฉัตรและธงหลายพันโกฏิ

46     ตลอดเวลา พระสถูปประดับด้วยธงและมีเสียงกลุ่มระฆังดังอยู่เป็นนิจ และงดงามยิ่งนัก มนุษย์ เทวดา ยักษ์ รากษส บูชาพระสถูปนั้นด้วยดอกไม้ ของหอมและดนตรี

47     บุตรทั้งหลายของพระสุคต ให้การะทำการบูชา พระบรมสารีริกธาตุ ของพระชินเจ้าทั้งหลายเช่นนี้อยู่ ประหนึ่งว่าทิศทั้งสิบ สวยงามด้วยต้นปาริชาตทั้งหลาย ที่ออกดอกสะพรั่ง

48     ข้าพเจ้าและสัตว์โลกจำนวนหลายโกฏิเหล่านี้ ซึ่งยืนอยู่ ณ ที่นี่ ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง แม้พระรัศมีหนึ่งเดียวนี้ ที่พระชินเจ้าเปล่งออกสู่โลกนี้ ซึ่งมีดอกไม้เบ่งบาน รวมทั้งเทวโลก

49     โอ อำนาจของพระผู้มีพระภาค โอ พระโพธิญาณของพระองค์บริสุทธิ์ไพบูลย์ยิ่งนั้น พระรัศมีนิดหนึ่งของพระองค์ได้แผ่ไปทั่วโลก ย่อมส่องให้เห็นพุทธเกษตร มากมายหลายพันแห่ง

50      พวกข้าพเจ้าได้เห็นนิมิตนี้ที่ปรากฏ ไม่มีสิ่งใดจะเปรียบได้เช่นนี้แล้ว ได้เกิดความมหัศจรรย์ใจยิ่งนั้น ข้าแต่ท่านพุทธบุตรมัญชุสวระ ขอท่านได้โปรดอธิบาย ข้อความนี้ ของท่านจงกำจัดความสงสัยของพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด

51     ข้าแต่ท่านผู้กล้าหาญ บริษัทที่เหล่านี้ มีจิตผ่องใส กำลังเฝ้ามองดูท่านและข้าพเจ้าอยู่ ณ ที่นี้ ข้าแต่ท่านสุคตบุตร ขอท่านจงทำความรื่นเริงให้เกิดขึ้นขจัดความสงสัย (ของเขาเหล่านั้น)และจงชี้แจงให้ประจักษ์เถิด

52     เหตุใดวันนี้ พระสุคตเจ้าจึงทรงเปล่งพระรัศมีเช่นนี้ โอ อำนาจพระสุคต โอ พระโพธิญาณของพระองค์ บริสุทธิ์ไพบูลย์ยิ่งนัก

53     พระรัศมีนิดหนึ่งของพระองค์แผ่ไปทั่วโลก ส่องให้เห็นไปถึงหลายพันพุทธเกษตร การที่พระองค์ทรงเปล่งรัศมีอันไพบูลย์เช่นนี้ คงจะมีประโยชน์แน่

54     พระสุคตเจ้า ผู้เป็นยอดบุรุษ เป็นนาถะแห่งโลก มีพระประสงค์จะแสดงธรรมอันเลิศที่พระองค์ได้สัมผัส (ตรัสรู้) แล้ว ณ โพธิมณฑลนั้น หรือว่าพระองค์จะทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย

55     การที่พุทธเกษตรจำนวนหลายพัน ปรากฏสวยงามด้วยสิ่งวิจิตร ทั้งโศภิต แพรวพราวด้วยรัตนะและพระพุทธเจ้าจำนวนมาก ที่ปรากฏแก่จักษุโดยไม่มีที่สุด เหตุการณ์นี้น่ากลัวมิใช่น้อย

56     ขณะที่ท่านไมเตรยะ กำลังถามพระชินบุตรอยู่นั้น มนุษย์ เทวดา ยักษ์ รากษส และบริษัทสี่ในธรรมสภานั้น กำลังตั้งตารอคอยอยู่ว่า พระมัญชุสวระจะพยากรณ์อย่างไร
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553 11:25:39 »


นัยว่า ครั้งนั้น พระมัญชุศรีกุมารภูตะ ได้ตรัสกับพระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ และหมู่พระโพธิสัตว์ทั้งปวงว่า ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย วันนี้ พระตถาคตทรงมีพระประสงค์ทำให้ฝน คือหลักธรรมตกลงมา ทำการตีกลองหลักธรรม ทำการชักธงหลักธรรม ทำการจุดประทีปหลักธรรมให้สว่างไสว  ทำการเป่าสังข์หลักธรรม ทำการตีกลองเภรีหลักธรรม  และทรงการแสดงหลักธรรม ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าเคยรู้และเคยเห็นมา ปุพพนิมิตอย่างนี้ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย พระองค์ก่อนๆ ก็ได้เคยทรงเปล่งพระรัศมีสว่างไสวอย่างนี้ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเข้าใจว่า พระตถาคตคงประสงค์จะทำการสนทนาถึงหลักธรรม ประสงค์ให้ได้ยินเสียงธรรม เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงแสดงปุพพนิมิตเช่นนี้ ข้อนั้นเป็นเพราะอะไร? พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประสงค์ให้ธรรมบรรยายได้ยินไปถึงฝ่ายตรงกันข้ามในโลกทั้งปวง ฉะนั้นจึงทรงแสดงปุพพนิมิตเป็นมหาปาฏิหาริย์ จึงเปล่งพระรัศมีสว่างไสวอย่างที่เห็นนี้

ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ข้าพเจ้าจำได้ว่า สมัยอดีตกาล ที่ล่วงมาแล้วช้านาน หลายกัลป์จนนับไม่ได้ นานเกินกว่าที่จะนับ คำนวณก็ไม่ได้ คิดก็ไม่ได้ ประมาณก็ไม่ได้ กาลสมัยนั้น พระตถาคตอรหัตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า จันทรสูรยประทีป ได้อุบัติขึ้นในโลก พระองค์ทรงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นพระสุคต รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษที่ประเสริฐ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่น เป็นผู้มีโชค พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น ท่านกลางและที่สุด ได้ทรงประกาศพรหมจรรย์มีเนื้อความงาม มีพยัญชนะงาม อันบริสุทธิ์ บริบูรณ์สะอาดหมดจดโดยสิ้นเชิง กล่าวคือพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมมีอริยสัจสี่ พร้อมกับปฏิจจสมุปบาท โดยลำดับ ตั้งแต่ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะโศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จบลงด้วยนิพพาน แก่พระสาวกทั้งหลาย สำหรับพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมอันยิ่ง ซึ่งประกอบด้วยบารมีหก เริ่มจากสัมมาสัมโพธิ และจบลงด้วย พระสัพพัญญุตญาณ

ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ก็แลหลังจากพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จันทรสูรยประทีปพระองค์นั้นแล้ว ได้มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ทรงอุบัติขึ้นในโลก มีพระนามว่า จันทรสูรยประทีปเช่นกัน ดูก่อนอชิตะ ในกาลลำดับต่อมานั้น  ได้มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจำนวน 20,000องค์ ที่มีพระนามว่า จันทรสูรยประทีป ซึ่งมีนามเรียกขานตระกูลและโคตรเป็นนามเดียวกัน เหมือนที่มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่มีพระนามว่า ภรัทวาชะ ซึ่งตระกูลและโคตรเป็นนามเดียวกัน ดูก่อนอชิตะ บรรดาพระตถาคต 20,000 องค์เหล่านั้น เริ่มแต่พระองค์แรก จนถึงพระองค์สุดท้าย มีพระนามว่า จันทรสูรยประทีป เป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นามว่า ภัทระ ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นพระสุคต  เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ประเสริฐ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่น เป็นผู้มีโชค พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด ได้ประกาศพรหมจรรย์ มีเนื้อความงาม มีพยัญชนะงามอันบริสุทธิ์บริบูรณ์ สะอาดหมดจดโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ พระองค์ได้ทรงแสดงธรรม มีอริยสัจสี่ พร้อมกับปฏิจจสมุปบาท โดยลำดับ ตั้งแต่ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะโศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จบลงด้วยนิพพาน แก่พระสาวกทั้งหลาย สำหรับพระโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมอันซึ่งประกอบด้วย บารมีหก เริ่มจากสัมมาสัมโพธิ และจบลงด้วย พระสัพพัญญุตญาณ

ดูก่อน อชิตะ ก็แล พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระนามว่า จันทรสูรยประทีป ขณะที่ยังทรงเป็นราชกุมาร ยังมิได้ทรงสละราชสมบัติ ก่อนออกผนวช ได้ทรงมีพระโอรส 8 พระองค์ คือพระราชกุมารมติ พระราชกุมารสุมติ พระราชกุมารอนันตมติ พระราชกุมารรัตนมติ พระราชกุมารวิเศษมติ พระราชกุมารวิมติสมุทฆาฏี  พระราชกุมารโฆษมติ  และพระราชกุมารธรรมมติ ดูก่อนอชิตะ ก็นัยว่า พระราชกุมารผู้เป็นพระโอรสของตถาคตพระนามว่า จันทรสูรยประทีป ทั้ง 8 พระองค์เหล่านั้น ทรงมีฤทธิ์มาก แต่ละพระองค์ได้ทรงปกครอง 5 มหาทวีป และทุกพระองค์ได้ทรงครองราชย์ด้วย พระราชกุมารทั้งหมด เหล่านั้น ครั้นทรงทราบว่า พระผู้มีพระภาค (พระบิดา) ได้สละราชสมบัติ ทรงออกผนวชและทรงสดับว่าพระองค์ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ได้สละราชสมบัติและการปกครองทั้งปวง ผนวชตามพระบิดาที่เป็นพระผู้มีพระภาคนั้น ทุกพระองค์ทรงสำเร็จพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณและประกาศธรรม พระราชกุมารเหล่านั้นทรงเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์และได้ทรงสร้างบุญกุศลไว้ในพระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ในอดีตกาลที่ผ่านมา

ดูก่อนอชิตะ ก็นัยว่าสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จันทรสูรยประทีปนั้น ได้ทรงแสดงพระสูตรอันเป็นธรรมบรรยายชื่อว่า “มหานิรเทศ” ซึ่งมีเนื้อความกว้างขวาง เป็นคำสอนที่เหมาะแก่พระโพธิสัตว์ และเป็นที่ยึดถือของพระพุทธเจ้าทั้งปวง ในขณะเดียวกัน ณ ที่ประชุมบริษัทนั้น (พระองค์) ทรงขึ้นประทับบนธรรมมาสน์ ทรงเข้าอนัตตนิรเทศประดิษฐานสมาธิ ด้วยพระวรกายและจิตที่ตั้งมั่นสงบนิ่ง ก็แลในขณะที่พระผู้มีพระภาคทรงเข้าสมาธิอยู่นั้น ฝนดอกไม้ทิพย์ ดอกมณฑารพ ดอกมหามณฑารพ ดอกมัญชูษกะและดอกมหามัญชูษกะ โปรยลงมา ฝนนั้นได้ถูกต้องพระผู้มีพระภาค พร้อมทั้งเหล่าบริษัทพุทธเกษตรทั้งปวง ก็สั่นสะเทือนเป็นหกจังหวะ คือ เคลื่อนไป-เคลื่อนมา ฟูขึ้น-ยุบลง โคลงไป-โคลงมา   ดูก่อนอชิตะ ก็กาลสมัยนั้น ในที่ประชุมนั้น ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร พญานาค มนุษย์ อมนุษย์ รวมทั้งพระราชา พระจักรพรรดิ ผู้มีพลัง ซึ่งครองนครโดยรอบและพระจักรพรรดิผู้ครองทวีปทั้งสี่ ที่นั่งประชุม รวมกันทั้งหมด พร้อมทั้งบริวาร พากันจ้องมองพระผู้มีพระภาค ต่างประหลาดอัศจรรย์ใจไปตามๆกัน ก็แล ในเวลานั้น พระรัศมีดวงหนึ่งได้ฉายออกจากกลุ่มพระจูรณะ ระหว่างพระขนงของพระผู้มีพระภาคตถาคตจันทรสูรยประทีปนั้น พระรัศมีนั้น แผ่คลุมไปทั่ว 18000 พุทธเกษตร ในทิศบูรพา พุทธเกษตรทั้งหมดนั้น ได้ปรากฏสว่างไสวไปด้วยแสงพระรัศมีนั้น ดูก่อนอชิตะปรากฏการณ์นั้นก็เป็นเช่นเดียวกับพุทธเกษตรทั้งหลาย ที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้

ดูก่อนอชิตะ ก็โดยสมัยนั้น พระโพธิสัตว์จำนวน 20 โกฏิ ได้ติดตามพระผู้มีพระภาคนั้น ท่านเหล่านั้น ซึ่งฟังธรรมอยู่ในที่ประชุมนั้น ครั้นได้เห็นโลก สว่างไสวด้วยแสงของพระรัศมีนั้น ก็เกิดความประหลาด อัศจรรย์ใจไปตามๆกัน

ดูก่อนอชิตะ โดยสมัยนั้น ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น (จันทรสูรยประทีป) ได้มีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งมีนามว่า “วรประภา” ซึ่งมีศิษยานุศิษย์ 800 องค์ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ได้ทรงออกจากสมาธิแล้ว ทรงปรารภถึง วรประภาโพธิสัตว์นั้นจึงทรงแสดงธรรมบรรยายที่ชื่อว่า “สัทธรรมปุณฑรีกสูตร” พระองค์ทรงประทับนั่ง ณ ที่ประทับ แห่งเดียว โดยมีพระวรกายไม่ไหวติง และทรงมีพระหทัยจิตตั้งมั่น แสดงธรรมนั้นอยู่เป็นเวลา 60 กัลป์บริบูรณ์ บริษัททั้งหมดที่นั่งอยู่ ณ อาสนะเดียวนั้น ได้ฟังธรรมอยู่ใกล้ๆ พระองค์ตลอด 60 กัลป์ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากายและใจ จะได้มีแก่ใครสักคนหนึ่ง ในที่ประชุมนั้น ก็หาไม่

ต่อมา พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จันทรสูรยประทีปนั้น ครั้น ทรงแสดงธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันเป็นสูตรที่มีเนื้อความกว้างขวาง เป็นคำสอน ที่เหมาะแก่พระโพธิสัตว์ และเป็นที่ยึดถือของพระพุทธเจ้าทั้งปวง เป็นเวลาถึง 60 กัลป์แล้ว ในชั่วขณะนั้น ก็ได้ทรงประกาศพระนิพพานเบื้องหน้าประชาชน พร้อมทั้งเทพ มาร พรหม และสมณะพราหมณ์พร้อมด้วยเทวดา มนุษย์และอสูรว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในมัชฌิมยาม คืนนี้แล ตถาคตจะดับขันธปรินิพพาน โดยอนุปาทิเสสนิพพานแล

ดูก่อนอชิตะ พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจันทรสูรยประทีปนั้น ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า “ศรีครรภ” ไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วได้ตรัสกับบริษัททั้งปวงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ศรีครรภ นี้ จักบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณต่อจากเรา เป็นพระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า “วิมลเนตร” ดังนี้

ดูก่อนอชิตะ นัยว่าครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านามว่า จันทรสูรยประทีป ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน โดยอนุปาทิเสสนิพพานในมัชฌิมยาม คืนนั้นแล และพระโพธิสัตว์มหาสัตว์วรประภานั้น ได้ทรงจำธรรมบรรยายที่ชื่อว่า “สัทธรรมปุณฑรีกสูตร” นั้นไว้ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์วรประภานั้น ได้ทรงจำ และได้ประกาศคำสอนของพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นเวลา 80 กัลป์ ในขณะนั้น พระโอรสทั้ง 8 พระองค์ของพระผู้มีพระภาคนั้น ซึ่งมีพระราชกุมารมติเป็นประมุข ก็ได้เป็นอันเตวาสิกของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ วรประภานั่นเอง ท่านเหล่านั้นได้สั่งสมบารมีเพื่อตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และหลังจากนั้นท่านเหล่านั้นได้ทรงเห็นและทรงสักการะพระพุทธเจ้าหลายหมื่นแสนโกฏิ ก็แลท่านเหล่านั้นทั้งหมด ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์สุดท้าย คือพระทีปังกรพุทธเจ้า

บรรดาอันเตวาสิกทั้ง 8 องค์นั้น พระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง เป็นผู้หนักในลาภสักการะ สรรเสริญ และยศ มากยิ่งเหลือประมาณ  บทและพยัญชนะทั้งหลาย ที่แสดงแล้วแสดงอีกแก่ท่าน ท่านก็ทำให้ลบเลือนหายไป ท่านมิได้ทรงจำบทและพยัญชนะเหล่านั้น ฉะนั้น ท่านจึงถูกขนานนามว่า “ยศัสกาม” ด้วยกุศลมูลที่ท่านได้เลื่อมใสพระพุทธเจ้าหลายหมื่นแสนโกฏิพระองค์ และเมื่อเลื่อมใสแล้วท่านได้สักการะ เคารพ นบนอบ บูชา นับถือและยกย่องพระพุทธเจ้าหลายหมื่นแสนโกฏิยุตเหล่านั้น ดูก่อนอชิตะ ท่านคงสงสัย คลางแคลง ลังเลใจว่า โดยกาลสมัยนั้น ยังจะมีพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้แสดงธรรม นามว่า วรประภา องค์อื่นอีกหรือ ? ก็แล ท่านไม่ควรคิดเห็นเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรเล่า ? เพราะโดยกาลสมัยนั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้สอนธรรม นามว่า วรประภา นั้นคือ ข้าพเจ้าเอง ส่วนพระโพธิสัตว์ผู้เกียจคร้านนามว่า ยศัสกาม นั้นก็คือตัวท่านนั่นเอง

ดูก่อนอชิตะ ด้วยการบรรยายนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นปุพพนิมิตนั้น ของพระผู้มีพระภาคเหมือนกับรัศมีที่แผ่ซ่านไปอย่างนี้ จึงอนุมานว่า พระผู้มีพระภาคทรงปรารถนาจะตรัสพระสูตร ธรรมบรรยายชื่อว่า สัทธรรมปุณฑรีกะ นั้น ซึ่งเป็นสูตรที่ไพบูลย์ยิ่ง เหมาะแก่การศึกษาของพระโพธิสัตว์ และเป็นที่ยอมรับของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553 13:49:00 »


ดังนั้นแล พระมัญชุศรีกุมารภูตะ เมื่อจะชี้ให้เห็นข้อความเดียวนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้นจึงได้ตรัสคาถาเหล่านี้ในเวลานั้น ว่า

57     ข้าพเจ้าได้ระลึกถึงอดีตกาลในกัลป์ ที่ใครคิดไม่ได้ และนับไม่ได้ ครั้งนั้น  พระชินเจ้านามว่า จันทรสูรยประทีป เป็นผู้สูงสุดแห่งชนทั้งหลาย

58     พระองค์เป็นผู้นำของชนทั้งหลาย ทรงแสดงพระสัทธรรม ทรงแนะนำสัตว์ทั้งหลายมากมายนับไม่ได้ว่ากี่โกฏิ ทรงให้พระโพธิสัตว์จำนวนมาก ตั้งมั่นอยู่นพระพุทธญาณ อันสูงสุดและเป็นอจินไตย

59     พระโอรสทั้ง 8 พระองค์ ของพระกุมารภูตะ (จันทรสูรยประทีป) ซึ่งเป็นผู้นำที่วิเศษ เห็นพระมหามุนีนั้น (พระบิดา) ที่ผนวชแล้ว จึงพากันละกามเสีย แล้วทั้งหมดก็พากันผนวชโดยพลัน

60     ก็พระองค์ (จันทรสูรยประทีป) ผู้เป็นโลกนาถนั้น เมื่อประกาศธรรมแก่สรรพสัตว์หลายแสนโกฏิ ทรงแสดงพระสูตร มีชื่อว่า “อนันตนิรเทศวรสูตร” ซึ่งเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “ไวปุลยสูตร

61     ทันทีที่แสดงจบลง พระมุนีผู้ประเสริฐ ผู้เป็นที่พึ่งของชาวโลก พระองค์นั้น ทรงนั่งขัดสมาธิ บนธรรมมาสน์ เข้าอนันตนิรเทศวรสมาธิ

62     ได้มีสายฝนดอกมณฑารพอันเป็นทิพย์ตกลงมา และกลองทั้งหมดได้ดังขึ้นโดยไม่มีคนตี เทวดาทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในอากาศ และพวกยักษ์ได้ทำการบูชาพระมุนีผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์นั้น

63     ในขณะนั้น พุทธเกษตรทั้งปวงก็สั่นสะเทือน ได้ปรากฏความอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาค ได้ทรงเปล่งพระรัศมีที่งดงามยิ่งดวงหนึ่งออกจากท่ามกลางพระขนงของพระองค์

64     ก็แล พระรัศมีนั้นพุ่งไปสู่ทิศบูรพา แผ่ไปทั่ว 18000 พุทธเกษตรสว่างจ้า ทำให้โลกสว่างไสวไปทั่ว การจุติและการเกิดได้ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย

65     เพราะรัศมีของพระผู้ทรงเป็นผู้นำนั้น ทำให้พุทธเกษตรบางแห่งปรากฏเหมือนประดับด้วยเพชรนิลจินดา บางแห่งมองเห็นเหมือนแสงแก้วไพทูรย์

66     ในโลกธาตุทั้งหลาย เทวดา มนุษย์ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ นางอัปสร กินนร และผู้ใฝ่ใจในการบูชาพระสุคต ย่อมปรากฏเห็นได้อย่างชัดเจน แล้วทำการบูชา (พระตถาคต)

67     พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นพระสยัมภู ปรากฏพระรูปสวยงามเหมือนทองคำ แสดงธรรมอยู่ ท่ามกลางบริษัท (ปรากฏเหมือน) พระประติมาทองคำ ในท่ามกลางแก้วไพทูรย์

68     ไม่มีการนับจำนวนพระสาวก เพราะพระสาวกของพระสุคต มีจำนวนมากจนประมาณไม่ได้ แม้กกระนั้นแสงพระรัศมีของพระผู้มีพระภาค ก็ส่องสว่างให้เห็นกันได้ทั่วไปในแต่ละพุทธเกษตร

69     บุตรแห่งพระตถาคต (ผู้นำแห่งนรชน) ผู้ประกอบด้วยความเพียร มีศีลไม่ด่างพร้อย บริสุทธิ์ผ่องใสเหมือนมณีรัตนะ ได้อาศัยอยู่ที่ถ้ำตามภูเขา

70     พระโพธิสัตว์จำนวนมากดุจเม็ดทราย ในแม่น้ำคงคา แม้ทั้งหมดเป็นปราชญ์ที่กำลังบริจาคทานทุกชนิด มีขันติเป็นพลัง ยินดีในสมาธิ ปรากฏให้เห็นได้ ด้วยพระรัศมีนั้น

71     บุตรทั้งหลายที่เป็นโอรสแท้ๆ ของพระสุคตนั้น มีจิตมั่นคง ไม่เอนเอียงไม่หวั่นไหว ตั้งมั่นในขันติ ยินดีในสมาธิ เป็นที่ปรากฏ ท่านเหล่านั้นได้บรรลุพระโพธิญาณ อันประเสริฐด้วยสมาธินั้น

72     (พุทธบุตรทั้งหลาย) ย่อมมีความรู้ ประกาศสัจบท อันสงบ และไม่มีอาสวะ แสดงธรรมในโลกธาตุจำนวนมาก การกระทำเช่นนี้ เป็นอานุภาพของพระสุคต

73     บริษัทสี่เหล่านั้น เห็นปรากฏการณ์นี้ของพระสุคตจันทรสูรยประทีป ผู้เป็นเช่นนั้น แล้วมีความปลื้มปิติ ต่างก็ถามกันและกัน ขณะนั้นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นอย่างไร

74     ไม่นานนัก พระสุคตจันทรสูรยประทีปพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้นำของชาวโลกที่มนุษย์ เทวดาและยักษ์บูชาแล้ว ได้ทรงออกจากสมาธิแล้ว ตรัสกับพระโอรสวรประภา ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ที่ฉลาด และเป็นผู้ประกาศธรรมว่า

75     ท่านเป็นจักษุและเป็นคติ (ที่พึ่งที่อาศัย) ของชาวโลก ท่านเป็นผู้มีความรู้ควรแก่การไว้วางใจ และเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมของเรา ก็ ณ ที่นี้ ท่านจะเป็นพยานในหลักธรรม (ธรรมโกศ) ที่เราจักแสดง เพื่อประโยชน์แก่หมู่สัตว์ทั้งหลาย

76     พระชินเจ้าพระองค์นั้น ทรงให้พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ตั้งมั่นหรรษาสังวรรณนา และสรรเสริญแล้ว ทรงประกาศธรรมอันเลิศทั้งหลาย ตลอด 60 กัลป์บริบูรณ์

77     พระโลกนาถ พระองค์นั้น ซึ่งประทับบนอาสนะเดียว ได้ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐใดไว้ พระชินบุตร วรประภา ผู้ประกาศธรรม ได้ทรงจำธรรมนั้นไว้ได้ทั้งหมด

78     พระชินเจ้าที่เป็นผู้นำพระองค์นั้น ทรงตรัสธรรมอันเลิศ ให้หมู่ชนจำนวนมาก รื่นเริงหรรษา ในวันนั้น ทรงตรัสธรรมต่อหน้าชาวโลก พร้อมทั้งเทวดาว่า

79     “เรา (ตถาคต) ได้ประกาศผู้นำแห่งธรรมแล้ว สภาวะแห่งธรรมเป็นเช่นใด เราก็ได้กล่าวแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คืนวันนี้ ในมัชฌิมยาม กาลเป็นที่ดับขันธปรินิพพานของเรา (ได้มาถึงแล้ว)”

80     “ท่านทั้งหลายจงอย่าประมาท จงตั้งมั่นเพื่อความหลุดพ้น เอาใจใส่ในธรรมคำสอนของเรา พระชินเจ้ามหามุนีทั้งหลาย เป็นผู้ที่หายาก ต้องใช้เวลาหลายหมื่นโกฏิกัลป์กว่าจะอุบัติขึ้น

81     พุทธบุตรจำนวนมาก เกิดความไม่สบายใจและทุกข์ใจยิ่งนัก เมื่อได้ยินคำว่าพระตถาคตจะเสด็จดับขันธปรินิพพานในเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นพระสุรเสียงของพระตถาคต (ผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์

82     พระตถาคต ผู้เป็นนเรนทรราช ได้ทรงปลอบโยนสรรพสัตว์ทั้งหลายจำนวนมากหลายโกฏิ ที่คิดคำนวณไม่ได้เหล่านั้นว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่ากลัวไปเลย เมื่อเรานิพพานแล้ว ต่อจากเราไปจะมีพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง(อุบัติขึ้น)”

83     พระศรีครรภโพธิสัตว์ผู้นี้ มีความรู้ บรรลุคติโนฌานอันปราศจากอาสวะแล้ว จักบรรลุพระโพธิญาณ อันประเสริฐสูงสุด และจักเป็นพระชินเจ้ามีพระนามว่า “วิมลาครเนตร”

84     ในมัชฌิมยามของคืนนั้น พระตถาคตเจ้าก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน ดุจดวงประทีปที่ดับลงแล้ว เพราะสิ้นเหตุปัจจัยฉะนั้น พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ ได้รับการแบ่งปันกันไป และพระสถูปสำหรับพระบรมสารีริกธาตุมีอยู่ทั่วไปหลายหมื่นโกฏิ

85     ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายจำนวนไม่น้อย ณ ที่นั้น เท่ากับจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ได้ปฏิบัติตนอยู่ในธรรมคำสอนของพระสุคตพระองค์นั้น จนได้ถึงพระโพธิญาณอันประเสริฐและสูงสุด

86     ภิกษุนามว่า วรประภา ผู้ประกาศธรรมและทรงจำธรรมไว้ ได้แสดงธรรมอันประเสริฐตามคำสอนของพระตถาคตนั้น เป็นเวลานานถึง 80 กัลป์บริบูรณ์

87     ท่าน(วรประภา) มีศิษย์ 800 คน ซึ่งทุกคนท่านได้อบรมดีแล้ว ศิษย์ทั้งหมดนั้นได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าจำนวนมากหลายโกฏิและได้ทำการสักการะพระมหามุนีพุทธเจ้าเหล่านั้น

88     ศิษย์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ประพฤติธรรมตามลำดับ จนได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในหลายโลกธาตุ และท่านเหล่านั้นได้สอนธรรมเพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐแก่องค์อื่นๆต่อเนื่องกันตามลำดับ

89     ก็โดยลำดับของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น พระทีปังกรพุทธเจ้า ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย พระองค์ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ทรงเป็นผู้ที่หมู่ฤษียกย่องบูชา ได้ทรงแนะนำพร่ำสอนสรรพสัตว์จำนวนหลายพันโกฏิ

90     พระสุคตบุตร วรประภา ผู้สอนธรรมพระองค์นั้น ได้มีศิษย์คนหนึ่งซึ่งขี้เกียจโลเล และชอบแสวงหาลาภ พร้อมทั้งชื่อเสียงเกียรติยศ

91     (ศิษย์คนนั้น) เป็นผู้ทะเยอทะยานในชื่อเสียงเกียรติยศ ถือตัว จะต้องเกิดอีกหลายชาติ คำสอนที่ได้ฟังและเรียนทั้งหมด ย่อมไม่ติดอยู่ในสมองเขาเลย (ไม่มีเพื่อกล่าว) ในขณะนั้น

92     ศิษย์คนนั้นปรากฏชื่อทั่วไปในทุกทิศว่า “ยศัสกาม” เขาจึงได้มีชื่ออย่างนี้ เขาได้กระทำทั้งกรรมที่เป็นกุศลและอกุศลปะปนกันไป

93     เขา (ยศัสกาม) เลื่อมใสพระพุทธเจ้าหลายพันโกฏิพระองค์ และได้ทำการสักการะบูชาอย่างกว้างขวางต่อพระพุทธเจ้าเหล่านั้น เป็นผู้รอบรู้ มีความประพฤติคล้อยตามผู้ประเสริฐ และได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าศากยสิงหะนี้ด้วย

94     เขา (ยศัสกาม) ผู้เกิดในไมเตรยะโคตรจะเป็นคนสุดท้าย ที่จะได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า สั่งสอนสรรสัตว์จำนวนหลายพันโกฏิ

95     เขา (ยศัสกาม) ผู้เป็นเช่นนี้ที่ถึงเกียจคร้านในคำสอนของพระสุคต ซึ่งเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว (ในกาลครั้งนั้น) คือท่าน (พระไมเตรยะ) ส่วนในขณะนี้ และพระวรประภา ผู้ประกาศธรรม (ในขณะนั้น คือข้าพเจ้า (พระมัญชุศรี)

96     เพราะเหตุการณ์นี้ ข้าพเจ้าได้เห็นนิมิตอย่างนี้ ที่พระองค์ ผู้ทรงญาณแสดง จึงได้กล่าวถึงนิมิต ที่ข้าพเจ้าได้เห็นในครั้งแรก ณ ที่นั้นว่า

97     แน่นอน พระตถาคตผู้เป็นจอมแห่งชินะ ผู้เป็นอธิราชแห่งศากยะ ผู้ทรงมีพระจักษุโดยรอบ (สมันตจักษุ) ผู้ทรงเห็นประโยชน์สูงสุด ปรารถนาจะแสดงธรรมบรรยายอันประเสริฐ ที่ข้าพเจ้าเคยฟังมาแล้ว

98     วันนี้พระศากสิงหะกระทำนิมิตที่บริบูรณ์นี้นั่นแล ให้เป็นข้อกำหนดความฉลาดในอุบาย (อุปายโกศล) ของพระผู้นำแห่งโลกทั้งหลาย (ว่า) พระองค์จะประกาศสภาวธรรมที่สำคัญ

99     ท่านทั้งหลายจงทำจิตให้สงบ ประคองอัญชลีไว้ พระองค์ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์ต่อชาวโลก จักแสดงธรรมดุจสายฝนตกลงอย่างไม่ขาดสาย สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ดำรงอยู่เพื่อเหตุแห่งการตรัสรู้ จักได้เอิบอิ่ม

100  บุตรตถาคตและพระโพธิสัตว์ที่ตั้งอยู่ในโพธิผู้ใด มีความสงสัย ข้องใจ ลังเลใจ ในเรื่องนี้ พระตถาคตผู้ทรงปัญญา ก็จะขจัดความสงสัยข้องใจ และความลังเลใจของผู้นั้นให้หมดไปได้



บทที่1 นิทานปริวรรต ว่าด้วยบทนำ
ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ
มีเพียงเท่านี้




www mahayan in th/tmayana/พระสูตรสัทธรรมปุณฑริก/สัทธรรมปุณทรีกะบท1.htm
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,2318.0.html
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553 13:57:24 »




พระสูตรสัทธรรมปุณฑรีกะ
วัดโพธิ์แมนคุณาราม
นายชะเอม แก้วคล้าย แปลจากต้นฉบับสันสกฤต
บทที่ 2
อุปายโกศลปริวรรต
ว่าด้วยความฉลาดในอุบาย

 
                ครั้งนั้น หลังจากที่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงมีพระสติและปัญญา ทรงออกจากสมาธิครั้นออกแล้ว ได้ตรัสกะท่านพระศาริบุตรว่า ดูก่อน ศาริบุตร พุทธญาณ เป็นสิ่งซึ่งลึกซึ้งเข้าใจยากและรู้ยาก  เป็นสิ่งที่พระสาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวงก็เข้าใจยาก แต่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายได้รู้แล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่าพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้บูชาสักการะพระพุทธเจ้าจำนวนมาก หลายหมื่นแสนโกฏิมาแล้ว ได้ประพฤติธรรมมากับพระพุทธเจ้าหลายหมื่นแสนโกฏิ ถึงพร้อมในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ทำความเพียร จนบรรลุธรรมอันน่าอัศจรรย์และเป็นจริง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยธรรมที่รู้ได้ยากและเข้าใจธรรมที่เข้าใจได้ยาก

               ดูก่อนศาริบุตร การแสดงธรรมของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก เพราะเหตุไร ? เพราะว่า พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายทรงประกาศธรรมทั้งหลายที่เป็นเฉพาะพระองค์ เพื่อให้สัตว์ผู้ข้องอยู่ในสิ่งต่างๆ หลุดพ้นไปด้วยกุศโลบายต่าง ๆ คือ ด้วยญาณทัศนะ การแสดงเหตุผล อารมณ์ นิรุกติ และการทำให้เข้าใจ ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความเป็นผู้ฉลาดในอุบายอันยิ่งใหญ่ ญาณทัศนะและพระบารมีจึงสูงยิ่ง เพราะ(พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย) ทรงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความไม่ข้อง (ในสิ่งต่างๆ) ด้วยความรู้ที่ไม่มีผู้ใดขัดข้องได้ ด้วยทัศนะ ด้วยพลัง ด้วยความแกล้วกล้า ด้วยธรรมอันวิเศษ อินทรีย์พละ โพชฌงค์  ฌาน วิมุตติ สมาธิ สมาบัติ และธรรมอื่นๆ ทรงเป็นผู้ประกาศธรรมนานัปการ ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงเป็นผู้ถึงความมหัศจรรย์ ดูก่อนศาริบุตร เป็นการสมควรที่จะกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงเป็นผู้ถึงซึ่งความมหัศจรรย์ยิ่ง ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตนั้นแล พึง แสดงธรรมที่พระองค์ทรงรู้แล้ว แก่พระตถาคต ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตนั้น ทรงแสดงธรรมแม้ทั้งปวง พระตถาคตนั้นแลทรงรู้ธรรมทั้งปวง ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น เป็นอะไรเป็นอย่างไร เป็นเช่นไร มีลักษณะอย่างไร มีสภาพอย่างไร พระตถาคตนั่นแล ทรงเป็นผู้รู้ประจักษ์ในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น

        ก็แล ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงแสดงเนื้อความให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น จึงตรัสคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า

1               สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่อาจจะรู้ได้ว่า ในโลกที่มีเทวดาและมนุษย์ มีพระตถาคตที่กล้าหาญยิ่งอยู่มาก ซึ่งไม่อาจประมาณจำนวนได้

2               ใครๆ ไม่อาจรู้ได้ว่า พระตถาคตทั้งหลายมีพลัง และเป็นผู้หลุดพ้น มีความฉลาด เช่นใด มีพุทธธรรมเป็นเช่นไร

3               ในอดีตกาล พระตถาคต ได้ทรงประพฤติธรรมอยู่ใกล้ๆพระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์ ธรรมนั้นลึกซึ้งละเอียดสุขุม ใครๆ รู้ได้ยาก และเห็นได้ยาก

4               ในขณะที่ทรงประพฤติธรรมอยู่หลายโกฏิกัลป์จนจำไม่ได้ ก็บัดนี้ เรา(ตถาคต) ได้เห็นผล ที่มณฑปอันเป็นที่ตรัสรู้

5               เรา ผู้นำแห่งโลกคนอื่นๆ ย่อมรู้ธรรมนั้นว่า เป็นประการใด เป็นอะไร เป็นเช่นไร และมีลักษณะอย่างไร


6               ไม่มีใครสามารถแสดงธรรมนั้นได้ จึงไม่มีโวหารแห่งธรรมนั้นบุคคลใดๆ ที่เป็นเช่นนั้น (คือสามารถกล่าวธรรมนั้นได้) ก็ไม่มีในโลก

7               เว้นจากพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเสียแล้ว ใครจะแสดงธรรมนั้นแก่ผู้ใด ใครจะรู้ธรรมที่แสดงแล้ว และชนเหล่าใดจะเป็นผู้ที่ตั้งมั่นในอธิโมกข์ได้

8               วิสัยในญาณของพระชินเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่มีในชนทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของพระตถาคต ผู้ปฏิบัติกิจแล้ว ผู้ที่พระสุคตทรงสรรเสริญแล้ว ผู้สิ้นอาสวะแล้วและผู้ดำรงชีวิตเป็นชาติสุดท้าย

9               ถ้าว่าโลกธาตุทั้งปวงพึงเต็มไปด้วยชนทั้งหลาย เช่นกับพระศาริบุตร และชนเหล่านั้นมาร่วมกันคิด เขาเหล่านั้นก็ไม่สามารถรู้ญาณของพระสุคตได้

10           ถ้าว่าทิศทั้งสิบพึงเต็มไปด้วยบัณฑิตทั้งหลายอย่างท่าน โลกก็จะเต็มไปด้วยบัณฑิตผู้เป็นสาวกของเรา (ตถาคต) นั่นเอง

11           และเขาเหล่านั้นทั้งหมดพึงมาประชุมกัน พิจารณาญาณของพระสุคต เขาเหล่านั้นทั้งหมด แม้จะประชุมกันแล้ว ก็ไม่อาจรู้พุทธญาณ ที่ประมาณไม่ได้ของเรา(ตถาคต)

12           ทิศทั้งสิบพึงเต็มไปด้วยพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้สิ้นอาสวะ ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ผู้มีร่างกายอยู่ในภพสุดท้ายแล้ว ดุจต้นอ้อหรือต้นไผ่ในป่า

13           ก็แลพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นทั้งหมด พึงมาประชุมกันพิจารณาธรรมอันประเสริฐของเรา (ตถาคต) เพียงส่วนเดียวตลอดหลายหมื่นโกฏิกัลป์ติดต่อกันไป ท่านเหล่านั้นก็ไม่เข้าใจอรรถอันแท้จริงของธรรมอันประเสริฐนั้นได้

14           พระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้อยู่บนยานใหม่ มีกิจอันได้กระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์ ผู้กล่าวอรรถที่พิจารณาดีแล้ว  และกล่าวธรรมจำนวนมาก ทิศทั้งสิบควรเต็มไปด้วยพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น

15           หากโลกทั้งปวงพึงเต็มไปด้วยพระโพธิสัตว์ จนไม่มีที่ว่างเหมือนไม้อ้อและต้นไผ่(ในป่า) พระโพธิสัตว์เหล่านั้น มาประชุมกันพิจารณาธรรมที่พระสุคตเจ้าทรงเห็นแล้วเป็นนิจกาล


16           พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีจิตแน่วแน่ไม่คิดเป็นอื่นด้วยปัญญาอันสุขุม คิดพิจารณาอยู่หลายโกฏิกัลป์จนนับไม่ได้ เหมือนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา แค่คติวิสัยในญาณ ของพระสุคต ย่อมไม่มีแก่พระโพธิสัตว์เหล่านั้น

17           พระโพธิสัตว์จำนวนไม่น้อยดุจเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ผู้ไม่ถอยกลับ และมีจิตแน่แน่ว ไม่คิดเป็นอย่างอื่น พึงคิดพิจารณาญาณ (ของพระสุคต) แต่คติวิสัยในญาณ (ของพระสุคต) ย่อมไม่มีแม้แก่พระโพธิสัตว์เหล่านั้น

18           ธรรมที่ลึกซึ้งสุขุมอย่างไร เช่นไร พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง ผู้บริสุทธิ์ ปราศจากอาสวะ และเรา (ตถาคต)หรือพระชินเจ้าทั้งหลาย ในทิศทั้งสิบ ในโลก ก็ย่อมรู้ได้

19           ดูก่อนศาริบุตร พระสุคตตรัสธรรมใดท่านจงเชื่อในธรรมนั้น พระชินเจ้ามหามุนีผู้มีปกติไม่ตรัสเป็นอย่างอื่น ได้ตรัสเนื้อความประเสริฐสุด มาช้านานแล้ว

20           เรา (ตถาคต) ได้เรียกพระสาวกทั้งหมด ที่ปรารถนาจะบรรลุปัจเจกโพธิมา ซึ่งเป็นผู้ที่เราช่วยให้ตั้งอยู่ในนิรวารณธรรม และเป็นผู้ที่เราช่วยให้พ้นแล้วจากความทุกข์ตลอดไป

21           เรา (ตถาคต) ใช้อุบายโกศล อันประเสริฐของเรา กล่าวธรรมหลากหลายวิธีในโลกจนปลดเปลื้องผู้ข้องในพันธะทั้งปวง แล้วแสดงยานทั้งสามให้ปรากฏ

ครั้งนั้นแล  ในบริษัทที่ประชุมบริษัทนั้น ได้มีพระอรหันตขีณาสพ มหาสาวกจำนวน 1200 องค์

 ซึ่งมีพระอาชญาตเกานฑินยะ (พระอัญญาโกณฑัญญะ) เป็นประมุข ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกาทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติในสาวกยาน และ(ชนอื่นๆ) ผู้ตั้งอยู่ในปัจเจกพุทธยาน ทั้งหมดนั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า อะไรหนอเป็นเหตุ ที่ทำให้พระผู้มีพระภาค ตรัสสรรเสริญ อุบายโกศลของพระตถาคตทั้งหลาย เป็นอย่างยิ่ง ตรัสว่า ธรรมอันลึกซึ้งนี้อันเรา (ตถาคต) ได้ตรัสรู้แล้ว และตรัสว่า อันพระสาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวง พึงทราบได้โดยยาก เพราะพระผู้มีพระภาคตรัสความหลุดพ้นอย่างเดียวเท่านั้น แม้เราทั้งหลายได้รับพุทธธรรม ก็จักบรรลุพระนิพพาน เราทั้งหลายไม่เข้าใจความหมายพระดำรัส ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสครั้งนี้

                ครั้งนั้นแล พระศาริบุตรผู้มีอายุ ทราบความลังเลใจ ความสงสัยของบริษัทสี่เหล่านั้น และเข้าใจความปริวิตกที่เกิดขึ้นในจิตของบริษัทเหล่านั้น ด้วยจิต แม้ตนเองก็มีความสงสัยในธรรม จึงทูลกับพระผู้มีพระภาค ในเวลานั้นว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้พระผู้มีพระภาค ทรงสรรเสริญอุบายโกศลญาณทัศนะ และการแสดงธรรมของพระตถาคตทั้งหลายบ่อยๆนัก และพระผู้มีพระภาค ย่อมตรัสเสมอว่า เราได้ตรัสรู้ธรรมอันลึกซึ้ง และธรรมของพระตถาคต เป็นสิ่งที่เข้าใจยากยิ่ง ก็ข้าพระองค์ ไม่เคยฟังธรรมบรรยายเช่นนี้ ในที่ใกล้ชิดพระผู้มีพระภาคมาก่อนเลย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ก็แลบริษัทสี่เหล่านี้มีความลังเลใจ และสงสัยยิ่งนัก ดังข้าพระองค์จะขอโอกาสพระตถาคต พระตถาคตทรงประสงค์สิ่งใดจึงตรัสสรรเสริญธรรมของพระตถาคตซึ่งลึกซึ้งบ่อยๆ ขอพระผู้มีพระภาค โปรดทรงชี้แจงสิ่งนั้นด้วยเถิด

                ก็แล ในเวลานั้นท่านศาริบุตร ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ว่า

22           พระสุคตผู้ประเสริฐ แห่งนรชนทั้งหลาย ย่อมตรัสพระดำรัสเช่นนี้ ในวันนี้ เป็นเวลาช้านานว่า เราได้บรรลุ พละ วิโมกษะ และญาณ อันหาประมาณมิได้แล้ว

23           พระองค์ตรัสสภาวะแห่งความรู้แจ้ง โดยไม่มีผู้ใดทูลถาม และพระองค์ตรัสพระธรรม โดยปราศจากผู้ทูลถามพระองค์

24           พระองค์ทรงตรัสและพรรณนาจริยาของพระองค์โดยไม่มีผู้ทูลถาม และพระองค์ตรัสอย่างชัดเจนถึงการตรัสรู้ญาณและพระธรรมอันลึกซึ้ง

25           วันนี้ ชนเหล่านี้ ผู้สำรวมตนแล้ว ไม่มีอาสวะ ผู้จะเข้าถึงพระนิพพานแล้ว มีความสงสัยว่า เพราะเหตุไร พระชินเจ้าจึงตรัสความข้อนี้


26           ภิกษุ ภิกษุณี เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์และพญานาคทั้งหลาย ผู้ปรารถนาปัจเจกโพธิ

27           กำลังสนทนากะกันและกันอยู่ กำลังเฝ้ามองพระองค์ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ เขาเหล่านั้น เป็นผู้มีความคลางแคลงใจ คิดอยู่ว่า ขอพระองค์ผู้เป็นพระมหามุนีได้โปรดพยากรณ์ให้แจ่มแจ้งด้วยเถิด

28           พระสาวกทั้งปวงของพระสุคต มีจำนวนเท่าใด ข้าพระองค์ คือผู้ที่พระมุนี ผู้ประเสริฐได้พยากรณ์ไว้แล้ว จึงได้สะสมบารมีไว้ในโลกนี้

29           ข้าแต่ผู้ประเสริฐสุดในหมู่ชน ณ ที่นี้ แม้ข้าพระองค์ยังมีความสงสัยในสถานะของตนว่า ข้อปฏิบัติที่แสดงแล้วแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์จะตั้งอยู่ในพระนิพพานหรือ

30           ขอพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงว่า นี้คือธรรม ให้กึกก้องดุจเสียงกลองอันประเสริฐ พุทธบุตรเหล่านี้ของพระชินเจ้า ได้ยืนประคองอัญชลีเฝ้าพระชินเจ้าอยู่แล้ว

31           เทวดา นาค ยักษ์ และรากษสทั้งหลาย มีจำนวนหลายพันโกฏิ เสมอเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา แม้ผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณ ซึ่งมีจำนวน 80,000 คน ก็ยืนพร้อมกันอยู่ที่นี่

32           ราชามหาบดี และพระเจ้าจักรพรรดิทั้งหลาย ผู้เสด็จมาแล้วจากหลายพันโกฏิ (พุทธ) เกษตร ทุกท่านมีความเคารพ (ในพระองค์) ได้ยืนประคองอัญชลี ด้วยคิดว่า เราทั้งหลายจะประพฤติให้บริบูรณ์ได้อย่างไรหนอ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มิถุนายน 2554 17:45:38 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553 14:15:00 »




ครั้นเมื่อ พระศาริบุตรกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระศาริบุตรว่า

พอละ ศาริบุตร ประโยชน์อะไรด้วยการกล่าวอรรถนี้ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่า เมื่อเรา(ตถาคต) กล่าวอธิบายอรรถนี้อยู่ ชาวโลกและเทวดาจะตกใจกลัว

          พระศาริบุตร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค แม้เป็นคำรบสองว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงตรัสอรรถนี้นั่นแล ของพระสุคตจงตรัสอรรถนั่นแล ข้อนั้นเป็นเพราะอะไร ข้อแต่พระผู้มีพระภาค เพราะในบริษัท (ที่ประชุม) นั้น มีสรรพสัตว์จำนวนมาก นับเป็นร้อย พัน แสน และหลายหมื่นแสนโกฏิ ที่เคยเฝ้าพระพุทธเจ้ามาแล้ว เป็นผู้มีปัญญา จักมีศรัทธาเชื่อถือและรับเอาพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคได้

          ครั้งนั้นแล ท่านศาริบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถานี้ ว่า

33       ข้าแต่พระชินเจ้าผู้ประเสริฐสุด ขอพระองค์จงตรัสให้ชัดเจนเถิด บรรดาสรรพสัตว์จำนวนพันในบริษัทนี้ มีความศรัทธา เลื่อมใส เคารพ ในพระสุคต จักเข้าใจธรรมที่พระองค์ตรัสแล้วนั้น

           ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะพระศาริบุตรผู้มีอายุ เป็นคำรบสองว่า ดูก่อน ศาริบุตร พอละ ไม่มีประโยชน์ ที่จะอธิบายอรรถนี้ ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่าเมื่อเรา (ตถาคต ) กล่าวอธิบายอรรถนี้อยู่ ชาวโลกรวมทั้งเทวโลก จะพากันตกใจกลัว และภิกษุทั้งหลายที่มีอภิมานะ (เย่อหยิ่ง) จักต้องอาบัติหนัก

                ครั้งนั้น ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระคาถานี้ว่า

34       อย่าให้เราประกาศธรรม ณ ที่นี้เลย ธรรมนี้สุขุมลุมลึก เข้าใจยาก คนโง่ที่เย่อหยิ่ง มีจำนวนมาก พวกเขาไม่รู้ก็จะใส่ร้ายธรรมที่เราประกาศแล้วนั้น

                ท่านศาริบุตร ได้ทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคอีก เป็นคำรบสามว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงตรัส ของพระสุคตจงตรัสเนื้อความนี้ นั่นแล ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในบริษัทนี้ บรรดาสรรพสัตว์ผู้เหมือนอย่างข้าพระองค์มีจำนวนหลายร้อย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค และมีสรรพสัตว์จำนวนมากมายนับเป็นร้อย พัน แสน และหลายหมื่นแสนโกฏิ ที่พระผู้มีพระภาคได้อบรมแล้ว ในชาติปางก่อน เขาเหล่านั้น จะมีศรัทธาเชื่อถือและรับเอาพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคได้ พระดำรัสนั้นก็จะเป็นเพื่อประโยชน์ และความสุขแก่เขาทั้งหลายตลอดกาลนาน

                ครั้งนั้น ท่านพระศาริบุตรก็ได้กล่าวคาถาอีกหลายคาถาในเวลานั้นว่า

35                 ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ ข้าพระองค์เป็นบุตรคนโตได้ทูลขอร้องพระองค์ว่า ขอพระองค์จงแสดงธรรมเถิด ณ ที่นี้ มีสรรพสัตว์จำนวนหลายพันโกฏิ ซึ่งจะศรัทธาเชื่อถือธรรมของพระองค์เช่นกัน

36                 และสรรพสัตว์ทั้งหลายที่พระองค์ได้อบรมแล้ว เป็นนิตย์ตลอดกาลช้านานในชาติปางก่อน บัดนี้ ก็ได้ยืนประคองอัญชลีอยู่แล้ว ณ ที่นี้ สรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จะศรัทธาเชื่อถือธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว

37                 มีชนอีก 1200 คนที่เป็นเช่นกับข้าพระองค์ คือปรารถนาจะบรรลุพระโพธิญาณอันประเสริฐ ขอพระสุคตจงทอดพระเนตรเขาเหล่านั้น ทรงตรัสธรรมยังความหรรษาสูงสุดให้เกิดขึ้น แก่เขาทั้งหลาย

ครั้งนั้นแล ครั้นทรงทราบคำทูลของร้องของท่านพระศาริบุตรตลอดทั้งสามวาระแล้ว พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะท่านพระศาริบุตรว่า ดูก่อนศาริบุตร ณ บัดนี้ เนื่องจากเธอขอร้องเราถึงสามครั้ง ดูก่อนศาริบุตร เราจะกล่าวอะไรกะเธอ ผู้ขอร้องอยู่ ดูก่อนศาริบุตร ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงตั้งใจให้ดี จงใส่ใจให้ดี เราจะกล่าวแก่เธอ

เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสถ้อยคำนี้จบลง ลำดับนั้นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ที่มีอภิมานะประมาณ 5,000 ในที่ประชุมนั้น ได้ลุกจากที่นั่งของตนๆ ก้มลงกราบพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาค แล้วหลีกออกไปจากที่ประชุมนั้น เพราะเกิดมีอภิมานะและท่านเหล่านั้นคิดว่าตนจะต้องทุกข์ทรมาน จึงออกไปเสียจากที่ประชุมนั้น และพระผู้มีพระภาคก็ทรงยอมรับโดยดุษณีภาพ

ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพระศาริบุตรว่า ที่ประชุมของเราได้ว่างจากสิ่งที่ไร้ค่า พ้นจากสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ตั้งมั่นอยู่แล้วในศรัทธาสาระ ดูก่อนศาริบุตร ดีละ ผู้มีอภิมานะเหล่านี้ ได้หนีไปแล้ว ดูก่อนศาริบุตร ถ้าอย่างนั้น เราจะกล่าวข้อความนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ดีละ พระศาริบุตรได้ฟังจากพระผู้มีพระภาค เป็นนิจ


พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนศาริบุตร บางครั้งเท่านั้น ที่ตถาคตแสดงพระธรรมเทศนา อย่างนี้ ดูก่อนศาริบุตร ดอกมะเดื่อย่อมปรากฏเป็นบางครั้ง ฉันใด ดูก่อนศาริบุตร ตถาคต ย่อมแสดงธรรมอย่างนี้ เป็นบางครั้ง ฉันนั้น ดูก่อนศาริบุตร เธอจงเชื่อเรา เราย่อมกล่าวคำสัตย์ พูดแต่ความจริง เราไม่กล่าวสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดูก่อนศาริบุตร วาจาของพระตถาคตนั้น เข้าได้ยาก ข้อนั้น เป็นเพราะอะไร?  ดูก่อนศาริบุตร เราได้ประกาศธรรม ด้วยกุศโลบายร้อยพันอย่าง ที่มีการชี้แจง อธิบาย และยกตัวอย่างด้วยศัพท์ต่างๆ ดูก่อนศาริบุตร พระสัทธรรมนั้น เป็นตถาคตญาณ ไม่เป็นไปด้วยเหตุและผลของตรรกะ ข้อนั้น เป็นเพราะอะไร? ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นมาในโลก ด้วยกรณียกิจที่พึงกระทำอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นกรณียกิจที่ยิ่งใหญ่มาก ดูก่อนศาริบุตร กรณียกิจที่ยิ่งใหญ่ของพระตถาคตเป็นอย่างไรหนอ ? พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในโลก ด้วยกิจที่พึงกระทำอย่างหนึ่งคือ แสดงนิมิตที่เป็นเหตุให้สัตว์ได้เข้าถึงตถาคตญาณทัศนะ นิมิตเป็นเหตุให้เห็นตถาคตญาณทัศนะ นิมิตที่เป็นเหตุให้สัตว์ก้าวลงสู่ตถาคตญาณทัศนะ นิมิตที่เป็นเหตุให้สัตว์ บรรลุตถาคตญาณทัศนะ นิมิตที่เป็นเหตุสัตว์ก้าวลงสู่ตถาคตญาณทัศนะ ดูก่อนศาริบุตร นี้คือกรณียกิจที่ควรกระทำอย่างหนึ่ง เป็นมหากรณียกิจที่มีประโยชน์ฝ่ายเดียวซึ่งเกิดขึ้นยากในโลก ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตได้กระทำกรณียกิจอย่างหนึ่ง ที่เป็นมหากรณียกิจอย่างนี้แล ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร ? ดูก่อนศาริบุตร เราเองได้บรรลุตถาคตญาณทัศนะ ได้แสดงตถาคตญาณทัศนะ ได้ก้าวลงสู่ตถาคตญาณทัศนะ ได้รู้แจ้งตถาคตญาณทัศนะ และได้ก้าวลงสู่แนวทางของตถาคตญาณทัศนะ

ดูก่อนศาริบุตร เราอาศัยยานเดียวเท่านั้น แสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย ยานนี้ก็คือพุทธยาน ดูก่อนศาริบุตร ยานที่สองหรือที่สามใดๆนั้นไม่มี ดูก่อนศาริบุตร นี้เป็นธรรมดาทุกที่ในโลกทั้งสิบทิศ  ข้อนั้นเป็นไฉน ?  ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายได้มีแล้วในอดีตกาล ในโลกธาตุทั้งหลาย ที่นับไม่ได้กำหนดไม่ได้ในสิบทิศ เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแห่งชนจำนวนมาก เพื่อการอนุเคราะห์ชาวโลกและเพื่อประโยชน์แก่หมู่ชนส่วนใหญ่ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทั้งหลายเหล่าใด ทรงทราบอารมณ์ต่างๆ (กายและจิต) ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความสนใจมีอารมณ์ต่างๆกัน ได้ทรงแสดงธรรมด้วยอุบายที่ฉลาด คือด้วยอภินิหารต่างๆ การชี้แจงแสดงเหตุผลต่างๆ และด้วยการอธิบายที่มาของคำ ดูก่อนศาริบุตร พระผู้มีพระภาคทั้งปวงแม้เหล่านั้น ได้อาศัยยานเดียวเท่านั้น ทรงแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย นั่นก็คือพุทธยาน อันมีการรู้สิ่งทั้งปวงเป็นที่สุด และนั่นก็คือพระผู้มีพระภาคทั้งปวง ทรงแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเหตุให้ได้รับญาณทัศนะแห่งตถาคต เป็นเครื่องสอนญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องเปิดเผยญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเหตุให้เข้าใจญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องชี้ทางแห่งญาณทัศนะแห่งตถาคต ดูก่อนศาริบุตร สัตว์แม้เหล่าใด ได้ฟังพระสัทธรรมจากที่ใกล้แห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ก็จักถึงการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

                ดูก่อนศาริบุตร ในอนาคตกาล พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จักมีในโลกธาตุทั้งหลาย ซึ่งมีจำนวนที่นับไม่ได้ ที่กำหนดไม่ได้ในสิบทิศ เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแห่งชนจำนวนมาก เพื่อการอนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์แก่หมู่ชนจำนวนมากและเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าใด ทรงทราบอารมณ์ต่างๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความสนใจมีอารมณ์ต่างๆ กัน จักทรงแสดงธรรมด้วยอุบายที่ฉลาด คือด้วยอภินิหารต่างๆ การชี้แจงแสดงเหตุผลต่างๆ และด้วยการอธิบายที่มาของคำ ดูก่อนศาริบุตร พระผู้มีพระภาคทั้งปวงแม้เหล่านั้น ได้อาศัยยาน เดียวเท่านั้น ทรงแสดงธรรม นั่นก็คือ พุทธยานมีการรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นที่สุด และนั่นก็คือพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งปวง จักทรงแสดงธรรมที่เป็นเหตุให้ได้รับญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องสอนญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องเปิดเผยญาณทัศนะแห่งตถาคต  ที่เป็นเหตุให้เข้าใจญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องชี้ทางแห่งญาณทัศนะแห่งตถาคต แก่สัตว์ทั้งหลาย ดูก่อนศาริบุตร ลัตว์ทั้งหลายเหล่าใดจักฟังธรรมนั้นจากที่ใกล้พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอนาคตนั้น สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ก็จักถึงการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

                ดูก่อนศาริบุตร ในปัจจุบันนี้ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย สถิตดำรง ทรงอยู่ ทรงแสดงธรรมอยู่ในโลกธาตุ มีจำนวนที่นับไม่ได้ในสิบทิศ เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นจำนวนมาก เพื่อความสุขแห่งชนจำนวนมาก เพื่อการอนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์แก่หมู่ชนส่วนมาก และเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ทรงทราบอารมณ์ต่างๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความสนใจมีอารมณ์ต่างๆกัน ย่อมทรงแสดงธรรมด้วยอุบายที่ฉลาด คือด้วยอภินิหาร การชี้แจง แสดงเหตุผลต่างๆ การอธิบายที่มาของคำ ดูก่อนศาริบุตร พระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งปวงเหล่านั้น ได้ทรงอาศัยเพียงยานเดียวเท่านั้น ทรงแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย นั่นคือพุทธยาน ที่มีการรู้สิ่งทั้งปวงเป็นที่สุด กล่าวคือพระผู้มีพระภาคพุทธทั้งปวง ย่อมทรงแสดงธรรมที่เป็นเหตุให้ได้รับญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องเปิดเผยญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเหตุให้เข้าใจญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องชี้ทางแห่งญาณทัศนะของตถาคต แก่สัตว์ทั้งหลาย ดูก่อนศาริบุตร สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด ได้ฟังธรรมอยู่ ณ ที่ใกล้ของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจุบัน สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดจักได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

                ดูก่อนศาริบุตร ณ บัดนี้ แม้เรา ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้อารมณ์ต่างๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความสนใจ มีอารมณ์ต่างๆกัน แสดงธรรมอยู่ ด้วยอุบายที่ฉลาด คือด้วยอภินิหารต่างๆ การชี้แจง แสดงเหตุผลต่างๆ และด้วยการอธิบายที่มาของคำ เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์แก่หมู่ชน ส่วนมาก และเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ดูก่อนศาริบุตร แม้เราก็อาศัยเพียงยานเดียว แสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย นั่นคือพุทธยาน ที่มีการรู้สิ่งทั้งปวงเป็นที่สุดกล่าวคือ เราตถาคตแสดงอยู่ซึ่งธรรม ที่เป็นเหตุให้รับญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องสอนญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องเปิดเผยญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเหตุให้เข้าใจญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องชี้ทางแห่งญาณทัศนะของตถาคต แก่สัตว์ทั้งหลาย ดูก่อนศาริบุตร สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด ได้ฟังธรรมนี้ของเรา ณ บัดนี้ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จักได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดูก่อนศาริบุตร เพราะฉะนั้น พึงทราบตามคำบรรยายนี้อย่างนี้ คือไม่มีการประกาศยานที่สองในโลกทั้งสิบทิศ ไม่ว่าที่ใด ดังนั้น จะมีการประกาศยานทั้งสาม ณ ที่ใดเล่า

                ดูก่อนศาริบุตร แม้เมื่อใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย อุบัติขึ้นในกัลป์ที่หม่นหมอง หรือสรรพสัตว์หม่นหมอง หรือว่าในสมัยที่มี ความหม่นหมองเพรากิเลส หม่นหมองเพราะทิฏฐิ หม่นหมองเพราะอายุ ดูก่อนศาริบุตร เมื่อสัตว์ทั้งหลายจำนวนมาผู้มีกุศลมูลเพียงเล็กน้อย  เดือดร้อนใจและหม่นหมองในกัลป์ ถึงปานนี้ ดูก่อนศาริบุตร เมื่อนั้นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมแสดงพุทธยานเพียงหนึ่งเดียว โดยแยกแสดงเป็น 3 ยาน ด้วยอุบายที่ฉลาด ดูก่อนศาริบุตร ณ ที่นั้น ชนเหล่าใด ซึ่งเป็นสาวกอรหันต์หรือเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ฟัง ไม่ไตร่ตรอง ไม่เข้าใจกิริยานี้ ที่เป็นเหตุให้ถึงพุทธยานของตถาคต ดูก่อนศาริบุตร ทุกคนควรทราบเถิดว่า ชนเหล่านั้น ไม่ใช่สาวกของตถาคต ไม่ใช่พระอรหันต์ ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า

                ดูก่อนศาริบุตร ถ้าหากภิกษุหรือภิกษุณีผู้ใดผู้หนึ่ง พึงปฏิญาณความเป็นอรหันต์พึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เป็นผู้ตัดขาดแล้วจากพุทธยาน (และ) พึงกล่าว ถึงพระนิพพานว่า เป็นชาติสุดท้ายของเราเช่นนี้ ดูก่อนศาริบุตร พึงรู้เถิดว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้มีอภิมานะ ข้อนั้น เพราะอะไร ดูก่อนศาริบุตร เพราะไม่ใช่ฐานะและเป็นไปไม่ได้ที่ภิกษุหรือพระอรหันต์ ที่สิ้นอาสวะแล้ว ฟังธรรมนี้จากพระตถาคต ผู้อยู่เบื้องหน้าแล้ว ไม่มีศรัทธาเชื่อถือ นอกจากพระตถาคตปรินิพพานไปแล้วเท่านั้น ข้อนั้น เพราะเหตุไร ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่า เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว ในกาลสมัยนั้น สาวกทั้งหลายก็จะไม่อาจทรงจำ หรือแสดงพระสูตรทั้งหลายเห็นปานนี้ได้ ดูก่อนศาริบุตร เขาเหล่านั้นจะหมดความสงสัย ก็ต่อเมื่อมีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าอื่น (อุบัติขึ้นมา) ดูก่อนศาริบุตร ท่านจงเชื่อในพุทธธรรมทั้งหลายเหล่านี้ของเรา จงทำความคุ้นเคยและเข้าใจพุทธธรรมเหล่านี้เถิด ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่า ตถาคตไม่ได้พูดโกหก ดูก่อนศาริบุตร มียานอยู่ชนิดเดียวเท่านั้น คือพุทธยาน



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มิถุนายน 2554 19:23:36 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553 14:32:18 »



                 

ขณะนั้นแล พระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงชี้แจงเนื้อความนั้นให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นจึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า

38                 ก็ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ผู้มีอภิมานะ(ถือตัว) ปราศจากศรัทธา มีจำนวนไม่          น้อยกว่า 5000 คน

39                 (เขาเหล่านั้น) เมื่อไม่เห็นโทษอย่างนี้ มีการศึกษาอบรมมาอย่างผิดๆ ทั้งยังรักษาสิ่งที่ผิดไว้ มีความรู้ผิด ได้หลีกออกไปแล้ว

40                 พระโลกนาถ ทรงทราบความเศร้าหมองของบริษัท จึงได้ตรัสว่า เขาเหล่านั้น ไม่มี บุญกุศลที่จะฟังธรรมนี้

41                 บริษัทของเราบริสุทธิ์แล้ว ปราศจากเครื่องเศร้าหมองแล้ว ปราศจากสิ่งไร้คุณค่าดำรงอยู่ดีแล้ว และบัดนี้สิ่งที่เป็นสาระแก่นสารทั้งหมดได้ตั้งมั่นแล้ว

42                 ดูก่อนศาริบุตร เธอจงฟังเราเถิดว่า ธรรมนี้ เป็นธรรมที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เลิศแห่งมนุษย์ ได้ตรัสรู้แล้วอย่างไร และพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้นำ ย่อมตรัสด้วยอุบายอันฉลาดหลายร้อยวิธีอย่างไร

43                 เรา (ตถาคต) รู้อัธยาศัยจริตและความน้อมนึกแห่งจิตต่างๆ กันของสัตว์จำนวนหลายโกฏิ ณ ที่นี้ ทั้งรู้การกระทำต่างๆ และกุศลกรรมที่สัตว์เหล่านั้นได้กระทำแล้ว ในชาติปางก่อน

44                 เราจึงแสดงธรรม แก่สัตว์เหล่านั้น ด้วยการอธิบายเหตุผลต่างๆ การยกอุทาหรณ์หลายร้อยอย่างให้เห็น และสรรพสัตว์ก็ยินดี กับวิธีการนั้น

45                 เรา (ตถาคต) จะตรัสพระสูตร คาถา อติวฤตตกะ ชาตกะ อัทภูตะ เคยะ อุปเทศะ พร้อมด้วยนิทานและอุปมาหลายร้อยอย่างต่างๆ กัน

46                 เราจะแสงดทางพระนิพพาน แก่ชนทั้งหลาย ผู้ไม่มีความรู้ ยินดีในความเสื่อมข้องติดอยู่ในสังสารวัฏ มีความทุกข์ และไม่ประพฤติธรรมในพระพุทธเจ้าที่มีมากหลายโกฏิ

47                 พระสวยัมภู ทรงใช้อุบายนี้เพื่อทำให้สัตว์เข้าใจประโยชน์ของการรู้พุทธญาณ แต่พระองค์ก็มิได้ตรัสกะชนทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลาย จงอย่ากังวล ท่านทั้งหลายจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลกนี้ ณ สมัยใดสมัยหนึ่ง

48                 เหตุใด พระสวยัมภูตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพิจารณากาลเวลาแล้ว และทรงพบโอกาสแล้ว จึงตรัสในภายหลังว่า ได้เวลานี้แล้ว เราจะกล่าข้อความตามที่เป็นจริง ณ ที่นี้

49                 เรา (ตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า) ได้ประกาศนวังคศาสน์แล้ว ตามกำลังน้อยใหญ่ของสัตว์ทั้งหลาย เราผู้ให้สิ่งประเสริฐ ได้แสดงอุบายนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของสัตว์ที่จะเข้าถึงพุทธญาณ

50                 ณ ที่นี้ ชนเหล่าใด เป็นผู้บริสุทธิ์ ฉลาด สะอาด มีใจกรุณา เป็นพุทธบุตร และได้สร้างอธิการไว้ ในพระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์มีอยู่ เราก็จะแสดงพระสูตรที่กว้างขวางยิ่งขึ้น แก่ชนเหล่านั้น

51                 เพราะเหตุนั้น เรา (ตถาคต) จึงกล่าวถึงชนเหล่านั้น ผู้มีกายบริสุทธิ์ มีใจเบิกบานว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์ (ต่อสรรพสัตว์)

52                 เมื่อชนทั้งหมดเหล่านั้น ได้ฟังแล้ว เกิดความยินดีว่า พวกเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นประธานของชาวโลก เราเมื่อรู้ความประพฤติของพวกขาเหล่านั้น จึงประกาศพระสูครให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

53                 พวกเขาเหล่านั้น ซึ่งเป็นสาวกของพระตถาคต ได้เคยฟังคำสอนอันประเสริฐนี้ แม้ได้ฟัง หรือจดจำเพียงคาถาเดียว ก็ไม่น่าจะมีปัญหา (ความสงสัย) ในการตรัสรู้ธรรมทั้งปวง

54                 จริงอยู่ ในกาลไหนๆ ก็มีเพียงยานเดียว ยานที่สองไม่มี ยานที่สามก็ไม่มี นอกจากว่า พระผู้มีพระภาค ใช้อุบายจึงแสดงว่า มียานต่างๆ

55                 พระโลกนาถ ยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นในโลก ด้วยการประกาศพุทธธรรม ภารกิจมีเพียงอย่างเดียว ภารกิจที่สองไม่มี เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่นำสัตว์ไปด้วยหีนยาน

56                 พระสวยัมภู (ตถาคต) เองดำรงมั่นแล้ว ในธรรมเช่นใด ที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว พระองค์ยังสัตว์เหล่านั้น ที่มีพลังและอินทรีย์หลุดพ้นแล้วด้วยสมาธิ ให้ตั้งมั่นในธรรมเล่านั้นด้วย

57                 ก็แล โทษที่เกิดจากความริษยาจะพึงมีแก่เรา (ตถาคต) ผู้บรรลุโพธิญาณอันปราศจากโทษและประเสริฐสุดแล้ว ถ้าให้สัตว์แม้ผู้หนึ่งดำรงอยู่ในหีนยาน การกระทำอย่างนี้ไม่สมควรแก่เรา

58                 ความเลวร้าย ความริษยา ฉันทะ และราคะ ไม่มีแก่เรา ธรรมทั้งปวงของเราก็เป็นธรรมที่ไร้บาป ฉะนั้น เราจึงเป็นพระพุทธเจ้า เพราะให้ชาวโลกตรัสรู้ตาม (ด้วย)

59                 เมื่อสรรพสัตว์มิใช่น้อย ได้นับถือเครื่องหมายของสภาวธรรม เป็นเครื่องชี้นำ เราจึงทำโลกนี้ให้สว่างไสว ด้วยลักษณะต่างๆของเรา

60                 ดูก่อนศาริบุตร ดังนั้น เรา (ตถาคต) จึงคิดว่า สรรพสัตว์ในโลกนี้ พึงเป็นผู้มีมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ จะเป็นพระสวยัมประภา พระโลกวิทู และพรสวยัมภู ได้อย่างไรหนอ?

61                 เรา (ตถาคต) เห็นอย่างไร คิดอย่างไร และความหวังในกาลก่อนของเรามีอย่างไร ประณิธานนั้นของเราบริบูรณ์แล้วทั้งความเป็นพุทธะ และเราจะประกาศพุทธธรรม ต่อไป

62                 ดูก่อนศาริบุตร ถ้าเราพึงกล่าวกะสัตว์ทั้งหลายว่า ขอให้พวกเธอจงยังความพอใจ ให้เกิดขึ้น เพื่อการตรัสรู้ พวกเขาทั้งหมดผู้เขลาก็จะไม่เข้าใจคำสอนของเรา พึงเที่ยวไป ณ ที่นี้

63                 เราทราบเรื่องราวของเขาเหล่านั้นว่าในชาติปางก่อน พวกเขาไม่ได้ประพฤติธรรม หมกมุ่น ยึดติดในกามคุณทั้งหลาย ถูกกิเลสตัณหาครอบงำ จนมีโมหจิต

64                 เพราะกามคุณเป็นเหตุ พวกเขาจึงตกไปสู่ทุคติ ถูกทรมานในภูมิทั้งหก เวียนเกิดอยู่เรื่อยไป พวกเขาเป็นผู้มีบุญน้อย ถูกความทุกข์เบียดเบียนอยู่ร่ำไป

65                 พวกเขาจมอยู่กับการยึดทฤษฎีที่ว่า เที่ยง ไม่เที่ยง มี ไม่มี อาศัยทิฏฐิ 62 ดำรงอยู่ด้วยการยึดมั่นในอสันตภาวะ

66                 เขาเหล่านั้น เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ เย่อหยิ่ง หัวดื้อ คดโกง หยาบช้า และโง่เขลา พลา จะไม่ได้ยินเสียงของพระพุทธเจ้าแน่นอน แม้ในหลายโกฏิชาติ

67                 ดูก่อนศาริบุตร เรากล่าวอุบายแก่สัตว์เหล่านั้นว่า เธอทั้งหลายจงสร้างที่สุดแห่งทุกข์ (ขจัดทุกข์ให้หมดไป) เราเห็นสัตว์ที่ถูกความทุกข์เบียดเบียนแล้ว จึงแสดงพระนิพพาน ณ ที่นั้น (แก่พวกเขา)

68                 ก็แล เราแสดงธรรมเหล่านี้ ที่เป็นเครื่องดับทุกข์อยู่เป็นนิตย์ ที่ทำให้สงบในเบื้องต้น ส่วนพุทธบุตรยังวัตรปฏิบัติให้ถึงพร้อม ก็จักเป็นพระชินเจ้าได้ในอนาคต

69                 นี้เป็นอุบายที่ฉลาดของเรา ที่เราแสดงยานเป็นสาม ซึ่งที่แท้ยานมีเพียงหนึ่ง เท่านั้น นัยก็มีหนึ่ง และเทศนาของตถาคตทั้งหลายก็มีเพียงหนึ่ง

70                 ชนเหล่าใด มีความข้องใจสงสัยอยู่ เธอจงขจัดความข้องใจสงสัยของชนเหล่านั้นเสีย ตามปกติ พระโลกนาถทั้งหลาย ไม่ตรัสเป็นอย่างอื่น ยานมีเพียงหนึ่งเท่านั้น ยานที่สองไม่มี

71                 ก็แล ในอดีตกาล พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยก่อน มีจำนวนหลายพันองค์ ไม่สามารถประมาณได้ ที่ได้ปรินิพพานไปแล้ว ในกัลป์อันนับไม่ถ้วน

72                 พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นบุรุษสูงสุดเหล่านั้นทั้งหมด ได้ประกาศธรรมอันบริสุทธิ์หมดจดมากมาย ด้วยการยกตัวอย่าง ด้วยการแสดงเหตุผล และด้วยอุบายที่ฉลาดหลายร้อยวิธี

73                 พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น ได้แสดงยานเดียว และให้สัตว์หลายพันโกฏิ นัยไม่ได้ เข้าถึงยานเดียว ทั้งอบรมสัตว์เหล่านั้นไว้ในยานเดียว

74                 พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกาศธรรมอันประเสริฐสุด ด้วยอุบายอื่นๆ อีกมากมายของพระชินเจ้า พระองค์ทรงทราบความเป็นไปและอุปนิสัยของสัตว์ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก ด้วยอุบายเหล่านั้น




75                 สัตว์ทั้งหลายที่กำลังฟังธรรมอยู่ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นก็ตาม เป็นผู้เคยฟังธรรมมาแล้ว (ในชาติปางก่อน) ก็ตามได้ให้ทานรักษาศีล และประพฤติดี ปฏิบัติชอบด้วยความอดทน

76                 สัตว์ทั้งหลายได้ทำความดีด้วยความเพียร และด้วยสมาธิ ได้ไตร่ตรองพิจารณาธรรมด้วยปัญญา และได้ทำบุญต่างๆ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด มีส่วนได้เพื่อการตรัสรู้

77                 สัตว์ทั้งหลายผู้อดทน มีคนฝึกแล้ว ตั้งมั่นในพระศาสนาของพระชินเจ้าทั้งหลายที่ปรินิพพานแล้ว สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้

78                 สัตว์ทั้งหลาย ผู้ทำการบูชาพระธาตุทั้งหลายของพระชินเจ้า ที่ปรินิพพานไปแล้วและได้สร้างสถูปจำนวนหลายพัน ด้วยรัตนเจ้า ทอง แก้วผลึก

79                 พวกเขาได้สร้างสถูปที่สำเร็จด้วย มรกต การเกตน์ มุกดา ไพฑูรย์ นิล ที่มีคุณภาพดียิ่ง สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้

80                 สัตว์ทั้งหลาย ที่สร้างสถูปด้วยศิลา แก่นไม้จันทน์และกฤษณา ไม่เทพทารุ (ไม้สนหรือไม้ฉำฉา) และด้วยไม้นานาชนิด

81                 สัตว์ทั้งหลาย ที่มีความยินดี สร้างสถูปด้วยอิฐ หรือก้อนดินเหนียวปั้น หรือให้ทำกองฝุ่นเป็นสถูป ในป่าและที่เปลี่ยว อุทิศพระชินเจ้าทั้งหลาย

82                 แม้เด็กๆ เล่นทำเนินทรายให้เป็นสถูป อุทิศ (เจาะจง) พระชินเจ้าทั้งหลาย เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อการตรัสรู้

83                 ชนบางพวกเจาะจงให้สร้างรูปพระชินเจ้าทั้งหลาย ที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะอาการ 32 จากรัตนะ (เพื่อเป็นที่ระลึก) แม้เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้เหมือนกัน

84                 ชนบางพวกให้สร้างรูปของพระสุคตทั้งหลาย ด้วยทองแดงบ้าง ด้วยทองเหลืองบ้าง ประดับด้วยรัตนะ 8 ประการบ้าง ไว้ ณ ที่นั้นๆ เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อการตรัสรู้

85                 ชนเหล่าใดใช้ตะกั่ว เหล็ก หรือดินเหนียว ทำรูปพระสุคตทั้งหลาย ให้เป็นต้นแบบที่งดงาม ชนเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้

86                 ชนเหล่าใดกระทำภาพ (พระสุคต) ที่สมบูรณ์ด้วยปุณยลักษณะ 100 ประการบนฝาผนังที่สวยงาม เขาเขียน (ภาพ) เองก็ตาม ให้ผู้อื่นเขียนก็ตาม เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้

87                 ผู้ใหญ่หรือเด็กก็ตาม ที่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ หรือเล่นอยู่ เพื่อความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เขียนภาพ (ตถาคต) ด้วยเล็บหรือชิ้นไม้ไว้ที่ฝาผนัง

88                 เขาเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีความกรุณา ช่วยเหลือสัตว์เป็นจำนวนหลายพันโกฏิ สนับสนุนพระโพธิสัตว์จำนวนมากให้ข้ามพ้น (สังสารวัฏ) เขาเหล่านั้นทั้งหมดก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้

89                 ชนเหล่าใดถวายดอกไม้และเครื่องหอมทั้งหลาย ไว้ที่พระธาตุทั้งหลาย หรือที่พระสถูปทั้งหลายของตถาคต ที่ปั้นด้วยดินเหนียว หรือรูปวาดของตถาคตที่ฝาผนัง หรือที่สถูปทราย

90                 ชนเหล่าใด ที่เป็นนักดนตรี ได้บรรเลง (ดนตรี) ตีกลอง เป่าสังข์ มีเสียงกึกก้องและตีกลองหน้าเดียวดังกึกก้อง เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ประเสริฐสุด

91                 เด็กหนุ่ม หรือกุมารเยาว์วัย เชื้อสายนักดนตรี ที่สมารถดีดพิณ ตีฉาบ เป่าแตร เป่าปี่ เป่าขลุ่ย ตีกลอง ที่ไพเราะจับใจ (เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า) เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้

92                 ชนทั้งหลายที่ตีฉิ่ง เป่าปี่ หรือเป่าแตร ร้องเพลงอันไพเราะจับเพื่ออุทิศบูชาพระสุคตทั้งหลาย

93                 เขาเหล่านั้นทั้งหมด กระทำการบูชาพระบรมธาตุชนิดต่างๆในโลก ให้บรรเลงเครื่องดนตรีชิ้นเล็กๆ เพียงชิ้นเดียว ร ที่ใกล้พระบรมธาตุของพระสุคต ก็ได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

94                 แม้ผู้มีจิตฟุ้งซ่าน บูชาพระตถาคต ด้วยดอกไม้เพียงดอกเดียว และให้เขียนภาพพระตถาคตบนผนัง แล้วบูชา ก็ได้ได้เฝ้าพระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์ตามกาลอันควร

95                 บางพวกเพียงประนมมือไหว้ บางพวกทำความเคารพอย่างสมบูรณ์แบบ คือยกศีรษะชั่วครู่แล้วน้อมกายลงครั้งหนึ่ง ที่พระสถูปนั้นๆ

96                 ในเวลานั้น แม้พวกที่มีจิตฟุ้งซ่าน กล่าวครั้งหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า” ที่พระสถูปอันเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุทั้งหลาย เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็จักได้บรรลุโพธิญาณอันประเสริฐนี้

97                 สัตว์เหล่าใด แม้ได้ฟังชื่อพระธรรมของพระสุคตทั้งหลาย ผู้ปรินิพพานไปแล้วหรือทรงดำรงอยู่ในกาลนั้น สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้

98                 พระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์ในอนาคต มีจำนวนที่กำหนดไม่ได้ ประมาณมิได้ พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้เป็นพระชินเจ้า เป็นที่พึ่งของชาวโลกที่ประเสริฐสุดจักประกาศอุบายเช่นนี้

99                 พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ซึ่งเป็นผู้แนะนำชาวโลก ก็จะมีความฉลาดในอุบายอันหาที่สุดมิได้ ด้วยความฉลาดในอุบาย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็จะแนะนำสัตว์จำนวนหลายโกฏิในพุทธภาวะ และญาณอันไม่มีอาสวะ

100              ไม่มีสัตว์แม้ผู้เดียวที่ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ว่าเวลาใด จะไม่ได้เป็นพุทธะ พระตถาคตมีพระประณิธานอย่างนี้ว่า “เราประพฤติธรรมแล้วจะต้องให้ผู้อื่นประพฤติธรรม เพื่อตรัสรู้ด้วย”



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มิถุนายน 2554 19:26:01 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553 14:51:05 »





101              ในอนาคตกาล พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จักประกาศแนวทางแห่งการบรรลุธรรมมากมายหลายพันโกฏิ พระองค์เมื่อประกาศยานหนึ่งนี้ ก็จักแสดงธรรม (เพื่อบรรลุ) ความเป็นพระตถาคตด้วย

102              พระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ ทรงทราบว่า หัวข้อและกฎแห่งธรรมที่มั่นคงนี้ ย่อมส่องประกาย (รุ่งเรือง) อยู่เสมอ จึงได้ประกาศเอกยานของเรา

103              พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ประกาศความมั่นคงแห่งธรรม กฎแห่งธรรม ที่ไม่หวั่นไหว ตั้งมั่นในโลกเป็นนิจ และพระโพธิญาณบนพื้นดิน

104              พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีจำนวนเท่าเมล็ดทราย ในแม่น้ำคงคา ที่มนุษย์และเทวดาบูชาแล้วทั้งสิบทิศ ทุกๆ พระองค์ย่อมแสดงพระโพธิญาณอันประเสริฐนี้ เพื่อประโยชน์สุขของสัตว์ทั้งมวลในโลกนี้

105              พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงประกาศความฉลาดในอุบาย ทรงแสดงยานต่างๆ แต่จะประกาศยานหนึ่งเท่านั้นว่า เป็นพื้นฐานของความสงบสูงสุด

106              พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ครั้นทรงทราบจริต และอุปนิสัยที่เคยปฏิบัติ กำลังและความเพียรของสัตว์ทั้งหลายแล้ว ย่อมแสดงธรรมเครื่องหลุดพ้น

107              พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เป็นผู้นำ ย่อมชี้อุทาหรณ์เหตุแลผลมากมาย ด้วยกำลังแห่งพระญาณ พระองค์ทรงทราบว่า สัตว์ทั้งหลายมีอุปนิสัยต่างๆกันแล้ว จึงแสดงอภินิหารต่างๆ

108              แม้เราเอง เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของพระชินเจ้า ย่อมแสดงพุทธโพธิญาณนี้ ด้วยอภินิหารหลายพันโกฏิวิธี ก็เพื่อประโยชน์สุขของสัตว์ทั้งหลาย

109              เราทราบพฤติกรรมและอุปนิสัยของสัตว์ทั้งหลายแล้ว จึงแสดงธรรมหลายประการ เราให้สัตว์แต่ละผู้แต่ละคนรื่นเริงหรรษาด้วยอุบายหลายอย่าง นี้คือ กำลังแห่งญาณของเรา

110              เรามองเห็นสัตว์ผู้ยากไร้ ผู้เสื่อมจากปัญญาและบุญ ผู้ตกอยู่ในความทุกข์ลำบากในสังสารวัฏ ทั้งยังจมอยู่ในกองทุกข์อย่างต่อเนื่อง

111              คนพาล  ผู้หมกมุ่นอยู่ในตัณหาเหมือกับจามรี มืดมนตลอดเวลาเพราะกามเป็นเหตุ เขาเหล่านั้นไม่แสวงหาพุทธะและธรรมะ ที่มีอานุภาพมาก สามารถให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

112              เขาทั้งหลายเหล่านั้นมีจิตยินดีอยู่ในภูมิทั้งหก ตั้งมั่นในมิจฉาทิฏฐิอย่างเหนียวแน่นวิ่งหาทุกข์อยู่ร่ำไป เรามีความการุณต่อพวกเขาเหลือกำลัง

113              เราหลังจากตรัสรู้แล้ว ประทับอยู่โพธิมณฑลสามสัปดาห์เต็ม เพ่งมองต้นไม้พิจารณาเรื่องนี้อยู่

114              เราเพ่งมองต้นไม้นั้นและเดินจงกรมอยู่ภายใต้ต้นไม้นั้น พลางคิดว่านี้คือญาณที่อัศจรรย์และประเสริฐสุด สัตว์เหล่านี้ ช่างโง่เขลาและมืดบอดเหลือเกิน

115              ในกาลนั้น พระพรหม ท้าวศักระ ท้าวโลกาบาลทั้งสี่ พระมเหศวร พระอิศวร และคณะมรุตเทพ จำนวนหลายพันโกฏิมาขอร้องเรา

116              เทพเหล่านั้นทั้งหมด ยืนประคองอัญชลี แสดงความเคารพ เรา (ตถาคต) คิดถึงเรื่องนี้ว่า จะทำอย่างไรดี (ตัดสินใจว่า) เราจะแสดงธรรมอันประเสริฐแก่สัตว์ (ชนชั้น) ทั้งหลาย เพราะสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ถูกความทุกข์ครอบงำ

117              ถ้าพวกเขาจะเพิกเฉยธรรมของเราที่กล่าวเพื่อคนพาล ครั้นพวกเขาเพิกเฉยก็จะเข้าถึงอบายภูมิ จึงเป็นการดีที่เราไม่แสดงธรรมแม้ในกาลไหนๆ ขอให้เราจงนิพพานด้วยความสงสัยเสียในวันนี้เถิด

118              แต่ว่า เมื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อน และอุบายอันฉลาดของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น (เราจึงคิดได้ว่า) เราควรแสดงพุทธโพธิญาณนี้ โดยแบ่งเป็นสามภาค

119              ขณะที่เราคิดข้อธรรมอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ที่ประทับอยู่ในทิศทั้งสิบก็มาปรากฏพระกายต่อหน้าเรา และเปล่งพระสุรเสียงว่า “สาธุ” (แล้วกล่าว่า)

120              ข้าแต่พระมุนี ผู้นำที่ประเสริฐของชาวโลก ดังข้าพเจ้าทั้งหลายจะขอโอกาสพระองค์เมื่อตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐ พิจารณา ศึกษากุศโลบายของพระผู้นำแห่งโลกอยู่

121              แม้ข้าพเจ้าทั้งหลาย หลังจากตรัสรู้แล้วในครั้งนั้น ได้แสดงธรรม (บท) แบ่งเป็นสามภาค เพราะว่า ชนทั้งหลายที่ไม่มีความรู้ และมีอุปนิสัยต่ำทราม จะไม่เชื่อ(คำพยากรณ์ที่ว่า) “พวกเธอจะได้เป็นพระพุทธเจ้า (ในอนาคต)

122              แต่นั้น ด้วยความอนุเคราะห์เป็นเหตุ เราจึงใช้ความฉลาดในอุบาย กล่าวสนับสนุนเรื่องความปรารถนาในอริยผล กะพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย

123              เราได้ฟังพระสุรเสียงอันไพเราะจับใจของพระตถาคตทั้งหลายแล้ว มีปิติปลาบปลื้มใจ เราจึงกล่าวว่า ท่านมหาฤษีทั้งหลาย (พระพุทธเจ้าทั้งหลาย) ผู้ประเสริฐ พระดำรัสของท่านผู้มั่นคง เป็นพระดำรัสที่ไม่มีโมหะ

124              เราจะประพฤติเหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสไว้ เพราะว่า เราบังเกิดในท่ามกลางแห่งความเสื่อมของสัตว์ที่ปวดร้าวและทารุณนี้

125              ดูก่อนศาริบุตร เราครั้นทราบอย่างนี้แล้ว ก็ได้ออกเดินทางไปยังเมืองพาราณสี ในเวลานั้น และได้ประกาศธรรมอันเป็นรากฐานแห่งความสงบ แก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ ด้วยอุบายอันฉลาด

126              แต่นั้น ธรรมจักรของเราตถาคตได้หมุนไป ศัพท์ว่า นิพพาน อรหันต์ ธรรมะ สังฆะ ก็ได้บังเกิดขึ้นในโลก

127              เรากล่าวเรื่องนิพพานเป็นเวลาหลายปี และชี้ว่า พระนิพพานเป็นที่สุดแห่งความทุกข์ในสงสาร เรา (ตถาคต) กล่าวอย่างนี้เป็นนิจกาล

128              ดูก่อนศาริบุตร ในเวลานั้น เราได้เห็นบุตรของชนชั้นสูง จำนวนมากมายหลายพันโกฏิ ที่เข้าใกล้พระโพธิญาณอันประเสริฐและสูงสุด

129              ทุกคนเหล่านั้น เข้ามาสู่ที่ใกล้เรา (ตถาคต) ยืนประคองอัญชลีเคารพเรา เขาเหล่านั้นเคยฟังธรรมของพระชินเจ้าทั้งหลายมาแล้ว และได้ฟังกุศโลบาย ประการต่างๆมาแล้ว

130              แต่นั้นเราได้มีความคิดครู่หนึ่งว่า นี้เป็นกาลสมัยแห่งเรา ที่จะประกาศธรรมอันประเสริฐ(เพราะว่า) เราอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ ก็เพื่อประกาศพระโพธิญาณ อันประเสริฐนั้นและเป็นประโยชน์แก่ชาวโลก

131              การเข้าใจนิมิตในวันนี้ เป็นสิ่งที่รับ (เชื่อ) ได้ยาก สำหรับผู้ที่มีความรู้น้อย ถึงพร้อมด้วยอธิมานะ งมงาน แต่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จะพากันฟังธรรม (ของเรา)

132              เรามีความแกล้วกล้าผ่องใส ละความลังเลใจทั้งปวงเสียแล้ว จะกล่าวในท่ามกลางแห่งบุตรพระสุคตทั้งหลาย และเราจะนำเขาเหล่านั้นให้ตรัสรู้ตามด้วย

133              ก็เราครั้นเห็นพุทธบุตรที่เช่นนี้แล้ว (จึงกล่าวว่า) ท่านทั้งหลายจงขจัดความสงสัยออกไป และสาวกอีก 1200รูปเหล่านี้ ก็จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะทั้งหมดจักเป็นพุทธะในโลกนี้

134              ธรรมของมุนีในอดีตทั้งหลายเหล่านั้น และของพระชินเจ้าในอนาคต ย่อมเป็นเหมือนกับธรรมของเรา คือปราศจากมลทิน ซึ่งเราจะแสดงแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้

135              ไม่ว่าเวลาใด ที่ใด และอย่างไร พระตถาคตทั้งหลาย จะอุบัติขึ้นในโลก ครั้นอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ทุกพระองค์ทรงมีจักษุเป็นทิพย์ ย่อมแสดงธรรมเช่นนี้ทุกครั้ง

136              ธรรมอันประเสริฐเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ตลอดเวลาหลายหมื่นโกฏิกัลป์ และสัตว์ทั้งหลายผู้เช่นนี้ ซึ่งฟังธรรมอันประเสริฐแล้ว เกิดความเลื่อมใส ก็หาได้ยากยิ่ง

137              เหมือนดอกมะเดื่อเป็นสิ่งที่หาได้ยาก อย่างไรก็ตาม บุคคลย่อมพบเห็นในบางคราวและบางแห่ง มันก็ยังเป็นที่เจริญใจของบุคคล ทั้งยังเป็นที่อัศจรรย์แก่ชาวโลกและเทวดาด้วย

138              ก็แล ธรรมที่เรากล่าวยิ่งอัศจรรย์ไปกว่านั้น บุคคลใดได้ฟังธรรมอันเป็นสุภาษิตนี้ แล้วอนุโมทนายินดีกล่าวถ้อยคำแม้เพียงคำเดียว (เกี่ยวกับธรรมนั้น) เขาเหล่านั้นชื่อว่าได้กระทำการบูชาพระพุทธเจ้าทั้งปวงแล้ว

139              ขอให้เธอจงเลิกละความสงสัย คลางแคลงใจในเรื่องนี้เถิด เราผู้เป็นธรรมราชาขอบอกว่า เราจะให้เขาเข้าถึงโพธิญาณอันประเสริฐนี้ ณ ที่นี้ เรายังไม่มีสาวกเลย

140              ดูก่อนศาริบุตร เธอจงทราบความลึกลับนี้ของเราไว้เถิด แม้สาวกทั้งปวงของเรามีพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นประธานเหล่านี้ ก็จงจำความลึกลับของเรา (ตถาคต)ไว้

141              เพราะเหตุไร ในสมัยแห่งความเสื่อมทั้งห้าสัตว์ทั้งหลายผู้ชั่วช้าและต่ำทรามถูกครอบงำด้วยกามทั้งหลาย เป็นผู้โง่เขลาเบาปัญญาในกาลไหนๆ  ย่อมมีความคิดเพื่อการตรัสรู้

142              แลสัตว์ทั้งหลายได้ฟังเพียงยานเดียวของเรา ที่พระชินเจ้าประกาศแล้วท่องเที่ยวไปในอนาคตกาล สลัดพระสูตรทิ้งเสีย ก็จะพึงถึงนรก

143              สัตว์ทั้งหลาย ผู้สงบเสงี่ยม สะอาดหมดจด พยายามเข้าถึงพระโพธิญาณอันประเสริฐสูงสุด เรากล้าจะพรรณนาลักษณะอันไม่สิ้นสุดของเอกยานนั้นแก่เขาทั้งหลาย

144              เทศนาของผู้นำ (ตถาคต) ทั้งหลายเป็นเช่นนี้ นี้คือความฉลาดในอุบาย ที่ประเสริฐสุด เราได้กล่าวด้วยถ้อยคำอันลึกหลากหลาย ยากที่ผู้ไม่ได้รับการศึกษาจะเข้าใจได้

145              เพราะฉะนั้น เธอควรเข้าใจถ้อยคำอันลึกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้สั่งสอนโลกผู้มั่นคงเถิด  จงขจัดความสงสัย จงละความคลางแคลงใจเสีย ก็จะเป็นพุทธะ ยังความหฤหรรษ์ให้เกิดขึ้น



บทที่2 อุปายโกศลปริวรรต ว่าด้วยความฉลาดในอุบาย
ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ
มีเพียงเท่านี้



                                                        


http://www.mahayana.in.th/tmayana/พระสูตรสัทธรรมปุณฑริก/สัทธรรมปุณทรีกะบท2.htm
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,2319.0.html

นำมาแบ่งปันโดย คุณมดเอ๊กซ์
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มิถุนายน 2554 18:48:12 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 3.6.10 Firefox 3.6.10


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553 15:54:16 »



สาธุ.......สาูธุ......สาธุ


............................พี่ แป๋ม.....................


(:LOVE:)อนุโมทนกับ พี่ แป๋ม และ ท่าน มดเอ็กซ์  2 ปรมาจารย์แห่ง สุขใจ รัก


ที่ประเทศญี่ปุ่น สัทธรรมปรุณฑริกสูตร เผยแพร่ โดย พระนิชิเร็นไดโชนิน แตกออกมาเป็น นิกาย นิชิเร็นโชชิว

หากมีโอกาสคงได้เล่าให้ พี่ แป๋ม ฟัง



<a href="http://www.youtube.com/v/kZ6KfGQivYA?fs=1&amp;amp;hl=en_US" target="_blank">http://www.youtube.com/v/kZ6KfGQivYA?fs=1&amp;amp;hl=en_US</a>

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 ตุลาคม 2553 16:08:11 โดย {sometime} » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2553 22:19:17 »

สาธุ ๆ ทั้ง อ.ป้าแป๋ม อ.มดเอ็กซ์ อ.บางครั้ง

อ.ลุง(ป้า)บางครั้งครับ

ไม่ต้องรอเวลาครับ เล่าเลย 5555555555

แต่อันนี้กว่าจะอ่านจบได้นี่ ปวดตาเลยผม


 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2553 12:42:48 »




คลิ๊กเพื่ออ่านพระสูตรบทต่อไป
ตามลิ้งค์ค่ะ
:


สัทธรรมปุณฑรีกะสูตร บทที่ 3 เอาปัมยปริวรรต ว่าด้วยอุปมาการเปรียบเทียบ
 
สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 4 อธิมุกติปริวรรต ว่าด้วยการน้อมใจเชื่อ

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 5 โอษธีปริวรรต ว่าด้วยต้นไม้นานาพันธุ์

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 6 วยากรณปริวรรต ว่าด้วยการพยากรณ์

พระสูตรสัทธรรมปุณฑรีกะ บทที่ 7 ปูรวโยคปริวรรต ว่าด้วยปุพพโยคกรรม

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 8 ปัญจภิกษุศตวยากรณปริวรรต การพยากรณ์ภิกษุห้าร้อย

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 9 อานันทาทิวยากรณปริวรรต การพยากรณ์พระอานนท์

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 10 ธรรมภาณกปริวรรต ว่าด้วยผู้สอนธรรม

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 11 สตูปสันทรรศนปริวรรต ว่าด้วยการสันทัศนาพระสถูป

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 12 อุตสหปริวรรต ว่าด้วยความเพียรพยายาม

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 13 สุขวิหารปริวรรต ว่าด้วยธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 14 ว่าด้วยพระโพธิสัตว์ผุดขึ้นจากรอยแยกของแผ่นดิน

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 15 ว่าด้วยประมาณอายุกาลของพระตถาคต

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 16 ปุณยบรรยายปริวรรต ว่าด้วยบุญบรรยาย

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 17 ว่าด้วยการแสดงบุญจากการอนุโมทนา

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 18 ว่าด้วยอานิสงส์ของผู้กล่าวธรรม

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 19 สทาปรภูตปริวรรต ว่าด้วยสทาปริภูตโพธิสัตว์

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 20 ว่าด้วยอิทธิภิสังขารของพระตถาคต

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 21 ธารณีปริวรรต ว่าด้วยธารณี

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 22 ว่าด้วยปุพพโยคกรรมของพระไภษัชยราช

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 23 คัทคทัสวรปริวรรต ว่าด้วยพระคัทคทัสวรโพธิสัตว์

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 24 สมัตมุขปริวรรต ว่าด้วยการสำแดงร่างของพระอวโลกิเตศวร

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 25 ว่าด้วยปุพพโยคกรรมของพระศุภวยูหราชโพธิสัตว์

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 26 ว่าด้วยความเพียรพยายามของพระสันตภัทรโพธิสัตว์

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ 27 อนุปรีนทนาปริวรรต ว่าด้วยความชื่นชมยินดี




ธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ
ขอบพระคุณ คุณ มดเอ๊กซ์ ผู้นำมาแบ่งปัน
นำลิ้งค์มารวมไว้ที่เดียว เพื่อง่ายต่อผู้สนใจหาอ่านต่อเนื่อง...

ขอบคุณ คุณ อธิปรัชญ์ ผู้รวมลิ้งค์
อนุโมทนาสาธุค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 กรกฎาคม 2554 14:59:12 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: รวมลิ้งค์ค่ะ » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.843 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 20 ธันวาคม 2567 05:17:08