ทกท่านครับ รวมทั้งคริสตศาสนกชนด้วย
1. เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่เรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าพระเจ้า?องค์พระผู้เป็นเจ้าคือ จิตมหาบริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า พระพุทธเจ้าองค์ปฐม หรืออาทิพุทธเจ้า หรือพระธรรม สาเหตุที่พระพุทธเจ้าไม่เรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าพระเจ้า? แต่เพิ่มคำว่า
"พุทธ"ไว้ตรงกลางด้วย = พระ(พุทธ)เจ้า เพราะพระองค์ท่านรู้ว่า ไม่มีการสร้างอะไรด้วยอัตตาของจริงเลย
ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นความว่างเปล่าที่ถูกอัดแน่น มีความเข้มข้ม ความถี่และคลื่นต่างระดับกันเท่านั้น แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากๆ และวิทยาการทางกายภาพของเรา ก็ก้าวหน้าไปได้แค่ขึ้นหนึ่งเท่านั้น ยังไม่สามารถพิสูจน์ให้ชัดเจนได้ว่า ความจริงเป็นอย่างไร จึงต้องใช้จิตเท่านั้น แล้วคนที่จะมีจิตรู้ถึงขั้นนั้นอย่างน้อยต้องบรรลุอรหันต์ ผมจึงขอผ่านเรื่องนี้ไปก่อน
เอาเป็นว่า...ทุกสรรพสิ่งที่ท่านรู้เห็นรอบตัวท่าน ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ข้าวของ เงินทอง รถยนต์ ล้วนเป็นของปลอม ที่เกิดจากจิตของพวกท่านทำบุญกุศลเอาไว้ เลยต้องมีและได้สิ่งเหล่านี้ คนที่ไม่ค่อยทำบุญกุศล ก็ไม่ค่อยมี และไม่ค่อยได้สิ่งเหล่านี้ ความตายและคนทุกข์ยากต่างๆล้วนเกิดจากเขาเคยทำบาปหรืออกุศลเอาไว้ จิตของเขาจึงโดนหลอกหลอนให้คิดปรุงแต่งว่า มีการเสียทรัพย์ เสียแขนขา ฯลฯ ซึ่งเป็นของเขา
พูดง่ายๆ...พวกเราทั้งหมดกำลังอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ และโลกแห่งความฝันของจิตใต้สำนึกของท่าน ซึ่งเชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึกของคนอื่นๆ เหมือนกับระบบอินเตอร์เน็ต
สรุป คนที่เรียกสิ่งสูงสุดว่า พระเจ้า เพราะเขาคิดว่า ทุกสรรพสิ่งเป็นของจริงของแท้ แต่คนที่รู้แล้วว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ใช่ของจริง เป็นแค่สิ่งมายาเกิดจากกรรม จะเรียก "พระเจ้า ว่า พระพุทธเจ้า"
2. พระ(พุทธ)เจ้าอยู่ในจิตของพวกท่านทุกท่าน แต่พวกท่านจะไปหาพระองค์ได้อย่างไร?ตอบว่าเป็นการยากเหลือเกินที่มนุษย์ที่โดนปกคลุมด้วยกิเลสตัณหาจะหาพระ(พุทธ)เจ้าในตัวเองเจอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีมารในใจพวกท่านคอยล่อหลอกด้วย มีแต่ผู้มีบารมีเท่านั้น จึงจะพ้นบ่วงมารที่คอยดักจับได้ อย่างไรก็ตาม ศาสนาพุทธเถรวาท ศาสนาพุทธมหายาน และศาสนาคริสต์ ก็มีวิธีการเข้าไปหาพระพุทธเจ้า โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิที่ไหนให้เสียเวลา
--- วิธีการเข้าไปหาพระ(พุทธ)เจ้าของเถรวาท โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิศาสนาพุทธเถรวาท พระพุทธองค์สอนให้พึ่งพระรัตนตรัยและพระพุทธเจ้าเอาไว้ก่อน จะไม่ตกนรก ขึ้นสวรรค์อย่างเดียว แล้วก็ค่อยๆฝึกวิชาละกิเลสต่อไปเรื่อยๆในโลก
"ผู้ถือเอาพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้นั้น ชื่อว่าพ้นจากอบาย ทั้งยังจะได้เกิดในเทวโลก"
"ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จักไม่เข้าสู่อบายภูมิ ครั้นละจากอัตภาพของมนุษย์แล้ว ย่อมยังกายของเทพให้บริบูรณ์"
"ผู้ถึงพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยคุณอันอุดมอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้นย่อมไม่มี อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ" --- วิธีการเข้าไปหาพระ(พุทธ)เจ้าของมหายาน โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิคนในประเทศจีน ญี่ปุ่น และประเทศที่นับถือศาสนาพุทธมหายาน พวกเขาซื้อประกันไว้แล้วว่า เมื่อเขาตายไปแล้วจะไม่ตกนรกในสังสารวัฎฎ์ โดยเข้าไปเกิดในแดนสุขาวดี
ในหลายพระสูตรมากทีเดียว พระพุทธองค์สอนให้พึ่งพระพุทธเจ้านามพระอมิตาภพุทธเจ้า เพื่อเข้าไปเกิดในแดนสุขาวดี จะไม่ตกนรก แล้วก็ค่อยๆฝึกวิชาละกิเลสต่อไปเรื่อยในแดนสุขาวดี ไม่ต้องไปเกิดในภูมิต่ำ และไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่าปณิธานข้อหนึ่ง ที่ภิกขุธรรมกรตั้งจิตปณิธานไว้ 48 ประการต่อพระพักตร์ของ พระโลเกศวรพุทธเจ้า ก่อนที่ภิกขุธรรมกรจะบรรลุธรรมกลายเป็นพระพุทธเจ้า นาม "อมิตา" มีว่า:
"ถ้าสรรพสัตว์ทั่วทุกทิศ มีจิตศรัทธาปราถนาจะบังเกิดในสุขาวดีแล้ว พึงมนสิการในใจอยู่ 1 ครั้ง หรือ 10 ครั้งก็ตาม หากมิได้อุบัติตามปราถนา ข้าพระบาท(ภิกขุธรรมกร) จักไม่ขอบรรลุโพธิญาณ"--- วิธีการเข้าไปหาพระ(พุทธ)เจ้าของชาวคริสต์ โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งพระโพธิสัตว์ต่างๆมาเพื่อจะช่วยมนุษย์ พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งชื่อ "เยซู" องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เรียกว่า พระบิดา ได้ประทานพุทธเกษตร หรือสวรรค์แบบหนึ่งให้ปกครอง สวรรค์ของพระคริสต์นี้ จะเข้าไปได้ต้องทำตามกฎที่ท่านตั้งไว้ คือ ทานปังปอน และดื่มเหล้าองุ่น จากสาวกที่สืบต่อกันมาของพระองค์ เป็นตัวแทนของร่างกายและโลหิตของพระเยซู วิญญาณของท่านก็จะไม่ต้องมาวนเวียนรับกรรมในโลกอีก ยกเว้นว่า ท่านต้องการ = เมื่อเข้าไปอยู่ในศาสนาคริสต์ เมื่อตายแล้ว วิญญาณจะไปอยู่ในสวรรค์ของพระคริสต์ และท่านจะอยู่ที่นั่นได้ตลอดไป ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
หลักความเชื่อและคำสอนของคริสเตียน 10.3 ผู้เชื่อจะได้อยู่ในสวรรค์ตลอดไป ไม่มีสิ้นสุด จะได้อยู่กับพระเจ้า และไม่มีการลงโทษ น้ำตา ความเจ็บปวด ความมืด และความบาปอีกต่อไป เป็นสถานที่บริสุทธิ์ เฉพาะคนที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว คือ ผู้ถูกไถ่ให้พ้นบาป ด้วยโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ด้วยเหตุนี้ สวรรค์ของพระคริสต์ จึงไม่ใช่สวรรค์นิรันดรของพระบิดา หรือนิพพาน แต่สวรรค์ของพระคริสต์เกิดขึ้นจากการไถ่บาปด้วยโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเราจะอยู่ที่นั่นได้ตลอดไปเช่นกัน แม้ว่าเราจะทำจิตให้บริสุทธิ์ระดับพระเยซูไม่ได้
อนึ่ง...พึงระลึกว่า พระเยซูสร้างหลักประกันว่าจะไม่ตกนรกของศาสนาคริสต์
มัทธิว 7:13-14 พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า
13 "จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก"
14 "เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย"“ประตูแคบ" = สรวงสวรรค์ที่พระบิดาประทานให้พระคริสต์ปกครอง
"ประตูใหญ่” = การเวียนว่ายตายเกิด
โรม 3:23 - การเข้าแผ่นดินสวรรค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าความดีของเรามีมากกว่าความชั่ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว คงไม่มีสักคนที่จะเข้าไปได้
“แต่ถ้าพวกเขาได้รับความรอดโดยทางพระคุณของพระเจ้า... ".....ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ
"ประตูใหญ่” = การเวียนว่ายตายเกิด ชาวพุทธเถรวาทมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะสมมุติสงฆ์ของไทยไม่ยอมสอนเรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม และไม่สอนเรื่องให้ยึดเอาพระพุทธเจ้าและพระรัตนตรัยเป็นสรณะแบบจริงๆจังจัง เพียงแต่พูดๆไปอย่างนั้นเอง
สรุป สวรรค์ของพระคริสต์ = พุทธเกษตร ชัดๆ เพราะสวรรค์ของพระคริสต์มีอยู่สำหรับผู้เชื่อจะได้อยู่ในสวรรค์ตลอดไป ไม่มีสิ้นสุด และมีกฎการรับเข้าไปในสวรรค์(พุทธเกษตร)แห่งนี้ด้วย ... เฉพาะคนที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว คือ ผู้ถูกไถ่ให้พ้นบาป ด้วยโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าของเรา
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศสูตร ว่า:“
พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้ อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดินกลับไปอาศัยอากาศเพื่อนสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใด พระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือ
ในการยังพระพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง”
ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงสามารถสร้างพุทธเกษตร ที่ชื่อว่า สรวงสวรรค์ของพระคริสต์ได้ เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง โดยผู้ที่จะสามารถเข้าไปได้ต้องเชื่อและศรัทธาในพระเยซู และรับพิธีมิสซา ดื่มเหล้าองุ่น แทนโลหิตของพระเยซู ทานปังปอน แทน ร่างกายของพระเยซู